Skip to content

สรุปเนื้อเรื่องซีรีส์ At a Distance, Spring is Green (2021)

At a Distance, Spring is Green : เรื่องราวที่ดำเนินไปพร้อมกับคำถามที่ว่า ในช่วงวัย 20 ที่ว่ากันว่าเป็นวัยที่สวยงามที่สุดในชีวิต แต่พวกเขารู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ หรือ ?

EP.1 เพื่อนกินหาง่าย

ยินดีต้อนรับนักศึกษาใหม่ของมหาวิทยาลัยมยองกิล … ในกลุ่มเด็กปีหนึ่ง ยอจุน (รับบทโดย พัคจีฮุน) เป็นเด็กใหม่ที่ป๊อปที่สุด ด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร อีกทั้งยังเกิดมาในครอบครัวที่เพียบพร้อมทางด้านการเงิน ความป๊อปของเขาถึงขนาดที่ว่ามี FC เป็นของตัวเอง และมีผู้ติดตามในไอจีส่วนตัวนับหมื่นฟอลโลเวอร์

ในขณะที่เด็กปี 4 อย่างนัมซูฮยอน (รับบทโดย แบอินฮยอก) ต้องใช้เวลาว่างหลังจากการเรียนทั้งหมดทำงานพาร์ตไทม์ เขาคือคนที่เรียกได้ว่าใช้ชีวิตแบบปากกัดตีนถีบ ไม่มีเวลาพอที่จะคิดถึงเรื่องเพื่อนหรือแฟน จนทำให้ใคร ๆ ต่างมองว่าเขาเป็นตัวประหลาด

ส่วนอีกคนหนึ่งคือ คิมโซบิน (รับบทโดย คังมินอา) นักศึกษาสาวขี้อาย เด็กปี 3 คณะบริหารธุรกิจ เธอมีความเชี่ยวชาญในการอ่านหนังสือสอบ แต่ดูเหมือนว่ายิ่งเธออ่านหนังสือมากเท่าไรกลับทำให้ชีวิตเธอตกต่ำมากขึ้นเท่านั้น เพราะมันทำให้ภาพในหัวของเธอมีแต่ตัวหนังสือและปากกาไฮไลต์ หรือพูดง่าย ๆ คือนอกจากอ่านหนังสือสอบแล้วเธอทำอะไรไม่เป็นเลย

เรื่องราวเริ่มขึ้นในคลาสเรียนวิชาหนึ่ง ขณะที่ซูฮยอนกำลังงีบด้วยความอ่อนเพลีย ยอจุนที่เห็นอาจารย์กำลังเช็กชื่อ จึงหวังดีเอื้อมมือไปปลุกซูฮยอน ให้บังเอิญว่าเขาดันพลาดไปปัดแก้วกาแฟหกใส่รองเท้าของซูฮยอนซะอย่างนั้น แต่ซูฮยอนจะยังทำหน้านิ่งไม่ได้แสดงความโกรธอะไรออกมา

หลังจบคลาส ยอจุนจึงไปทำความรู้จักและเข้าไปขอโทษ พร้อมกับควักเงินให้ซูฮยอน 1 แสนวอนเพื่อเป็นค่ารองเท้า แต่ซูฮยอนไม่สนใจคำขอโทษและเงินนั่น ว่าที่จริงเขาไม่สนใจยอจุนเลยด้วยซ้ำ แถมยังเรียกยอจุนว่าเป็นตู้เอทีเอ็มเคลื่อนที่ประจำมหาวิทยาลัย เพราะเป็นที่รู้กันว่ายอจุนใช้เงินเพื่อสร้างมิตรภาพ

ที่ยอจุนถูกเรียกว่าตู้เอทีเอ็มเคลื่อนที่ก็เป็นจริงตามนั้น เพราะในคืนนั้น เพื่อนรุ่นพี่ของยอจุนชวนเขาไปดื่ม และยอจุนก็เป็นคนจ่ายทั้งหมด

ความจริงแล้ว ยอจุนไม่มีเพื่อนที่เรียกว่าเพื่อนจริง ๆ เลยสักคน คนที่คบกับเขาล้วนแล้วแต่คบเพราะเงิน และก็ไม่ใช่ว่ายอจุนไม่รู้ เป็นเพียงแต่ว่าเขาทำเป็นไม่สนใจก็เท่านั้น เพราะแท้จริงแล้วเขาก็ต้องการเพื่อนเพื่อปกปิดปมในใจบางอย่างของตัวเองเช่นกัน (เขามักเห็นภาพพ่อของเขากำลังทำร้ายแม่เมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็ก)

ด้วยความที่ซูฮยอนไม่เหมือนคนอื่น ๆ ที่เขาเคยรู้จักมา ทำให้ยอจุนสนใจในตัวซูฮยอนเป็นพิเศษ มันเหมือนเป็นความท้าทายที่จะก้าวข้ามกำแพงที่ซูฮยอนตั้งเอาไว้

อาจารย์ที่ปรึกษาให้คำแนะนำกับโซบินว่า เธอจำเป็นต้องทำเรซูเม่เพื่ออนาคตหลังเรียนจบจะได้หางานทำได้ง่าย เธอจึงไปขอสมัครเป็นผู้ช่วยทำงานวิจัยของอาจารย์ในภาควิชาบริหารธุรกิจ แต่ปัญหาคือยอจุนได้รับเลือกไปแล้ว หมายความว่าทางเดียวที่เธอจะได้ทำงานนี้คือต้องไปขอให้ยอจุนถอนตัว

ในงานกิจกรรมปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ โซบินถูกวางตัวให้ดูแลน้องปีหนึ่งซึ่งเธอค่อยไม่เต็มใจนัก เพราะเธอไม่ใช่เด็กกิจกรรม แต่นั่นก็ทำให้เธอได้มีโอกาสสนิทกับยอจุนมากขึ้น คืนนั้นเอง ยอจุนถูกเพื่อนคนหนึ่งเข้าทำร้าย โซบินที่เห็นเหตุการณ์จึงเข้าไปช่วย จากนั้นเธอก็ทำแผลให้ยอจุน เมื่อเห็นสบช่องโอกาส โซบินจึงกล่าวออกไปว่า “ให้ฉันทำงานวิจัยของอาจารย์ซงได้มั้ย ?” เธอหลับตาปี๋ขณะที่พูดออกไปด้วยความเขินอาย

ยอจุนมองหน้าโซบินอยู่นานหลายวินาทีก่อนที่เขาจะตัดสินใจพูดออกไปว่า “อ๋อ นี่คงเป็นเหตุผลที่เข้ามาช่วยผมสินะ แต่เสียใจด้วย ผมคงให้ไม่ได้หรอก … แต่ถ้ารุ่นพี่ (โซบิน) อยากได้จริง ๆ รุ่นพี่ต้องสนิทกับผมอย่างจริงใจให้ได้เสียก่อน”

วันรุ่งขึ้น ยอจุนชวนโซบินไปกระโดดบันจี้จัมป์ เมื่อได้ยินเช่นนั้นอาการปวดท้องการเมืองของโซบินก็กำเริบขึ้นทันที อย่างไรก็ตาม เพื่ออนาคตของตัวเองโซบินจึงไม่มีทางเลือก

เมื่อขึ้นไปอยู่ด้านบน โซบินก็ได้แต่ทรุดลงไปเกาะราวเหล็กอยู่อย่างนั้น ความสูง ณ จุดจุดนี้ โซบินยืนยันยังไงก็จะไม่กระโดด “ฉันไม่เอาแล้ว นายเอางานนั้นไปทำเถอะ” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ยอจุนจึงพูดขึ้นมาว่า “บางคนยอมพูดทุกอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่พอเอาเข้าจริงกลับปอดแหก หลังจากนั้นก็เสียใจวนไปวนมาอยู่อย่างนั้น ผมว่ารุ่นพี่ไม่ได้ขี้ขลาดแบบนั้นนะ เชื่อใจผมสิครับ”

เหมือนโดนเวทมนตร์สะกดไปชั่วขณะ กลัวก็กลัวงานก็อยากได้ ระหว่างที่ในหัวของโซบินกำลังปั่นป่วนอยู่นั้น ยอจุนก็จับโซบินอุ้มกระโดดลงไปพร้อมกับเขา

ในตอนท้าย ยอจุนวาน พี่ชายของยอจุนขับรถ AUQI สุดเท่เข้ามาในมหาวิทยาลัย เขาเดินเข้าไปหาน้องชายด้วยท่าทางเย็นชาพร้อมกับคำพูดที่ว่า “ฉันถูกย้ายให้มาทำงานที่นี่อาทิตย์หน้า อย่าให้ใครร้ว่าแกรู้จักฉันก็พอ”

EP.2 รอยยิ้มที่ใช้ปกปิดคราบน้ำตา

ในคลาสของอาจารย์พัคได้มอบหมายงานกลุ่มให้นักศึกษาทำ ยอจุนเสนออาจารย์ให้เขาได้อยู่กลุ่มเดียวกับซูฮยอนและโซบิน ซึ่งทำให้ทั้งสามได้ทำงานกลุ่มร่วมกัน

หลังจากนั้นเราก็ได้เห็นความจริงที่ซ่อนอยู่หลังรอยยิ้มของยอจุน เมื่อแม่ของเขาโทร. มาหาเพื่อให้เขามาร่วมทานข้าวที่บ้านเนื่องจากมีญาติมาเยี่ยม และเป็นจังหวะที่พี่ชายของเขาไม่ว่าพอดี แม่บอกกับเขาผ่านสายโทรศัพท์ว่า “ฉันเองก็ไม่ได้ยินดีที่แกจะมานักหรอก อย่างที่รู้กันนั่นแหละว่าแกไม่เป็นที่เชิดหน้าชูตาเอาเสียเลย แต่เป็นเพราะว่าพี่แกไม่ว่าง … นี่แกยังทำผมสีฉูดฉาดอยู่หรือเปล่า ย้อมดำมาด้วย เห็นแล้วมันขัดลูกกะตา ฉันไม่เห็นพี่แกย้อมแบบนั้นเลยสักครั้ง” ยังไม่ทันที่ยอจุนจะได้ตอบอะไรกลับไป แม่ก็วางสายเขาไปเสียแล้ว

ยอจุนไปทานอาหารที่บ้านพร้อมหน้ากับพ่อแม่และญาติที่เดินทางมาเยี่ยม ระหว่างทานอาหารอยู่นั้น ยอจุนได้พูดถึงมหาวิทยาลัยที่เขาเรียนอยู่ ซึ่งแม้จะเป็นมหาวิทยาลัยระดับแนวหน้าในสายตาคนทั่วไป แต่สำหรับคนในครอบครัวมองว่ายังไม่ใช่มหาวิทยาลัยเบอร์หนึ่งของประเทศ การที่เขาพูดออกมาแบบนั้นทำให้พ่อของเขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก

หลังจากญาติกลับไปแล้ว พ่อของเขาโกรธมากเข้ามาตบหน้ายอจุนอย่างแรง … แม่ของเขาเดินเข้ามาดูรอยที่หน้าของยอจุน พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบว่า “ทั้งหมดเป็นความผิดของแม่เองที่ชวนแกมา … ไม่สิ เป็นความผิดของแม่เองที่คลอดแกมาต่างหาก” !!!

จากนั้นแม่ก็เอื้อมมือไปจับผมของยอจุนแล้วกระชากออกมา ปรากฏให้เห็นว่าเขาใส่วิกสีดำเพื่อปกปิดผมที่ย้อมเป็นสีทองของเขา ! แม่โกรธมากที่เขาโกหก แล้วเธอก็รีบไล่เขาออกไปจากบ้านทันที

ในคืนนั้นเอง ระหว่างที่ซูฮยอนกำลังทำงานพาร์ตไทม์ที่ร้านสะดวกซื้อ ยอจุนได้โทร. เข้ามาหาเขาด้วยน้ำเสียงที่เมามาย ยอจุนขอให้ซูฮยอนมากินเหล้าต่เป็นเพื่อนเขาหน่อยถ้าไม่อยากนั้นเขาจะฆ่าตัวตาย !!!

ซูฮยอนโทร. ไปขอให้โซบินไปดูยอจุนที่ตอนนี้กำลังยืนร้องไห้อยู่คนเดียว เมื่อโซบินเข้าไปใกล้เชาก็ได้เซไปในอ้อมกอดของโซบิน แล้วก็เอ่ยออกมาทั้งน้ำตาว่า “รุ่นพี่ครับ ช่วยชอบผมหน่อยได้ไหม ?”

EP.3 คนที่แอบรักมาตั้งแต่แปดขวบ

ยอจุนโดนทำร้ายทางจิตใจอย่างร้ายแรงจากทุกคนในครอบครัว ทั้งพ่อแม่และพี่ชาย ทางออกที่เขาคิดได้ในตอนนี้คือแอลกอฮอล์ … เมื่อดื่มจนเมามาย ยอจุนโทร. ไปชวนซูฮยอนให้ออกมากินเหล้าเป็นเพื่อนถ้าไม่เช่นนั้นเขาจะฆ่าตัวตาย ซูฮยอนจึงโทร. ไปหาโซบินเพื่อให้ไปดูยอจุน

โซบินรีบออกไปหายอจุนด้วยความรีบร้อน ยอจุนเซเข้าหาโซบินด้วยความเมา เขากล่าวกับเธอทั้งน้ำตาว่า “รุ่นพี่ ชอบผมหน่อยได้ไหม” โซบินอึ้งไปหลายวินาทีก่อนที่จะปฏิเสธออกไป “ฉันมีคนที่ชอบอยู่แล้ว” ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ยอจุนภาพตัด ในเวลานั้นเองซูฮยอนก็มาพอดี เขาจึงแบกยอจุนขึ้นหลังเพื่อพาไปส่งบ้าน

เช้าวันต่อมา ยอจุนพยายามคิดว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน แต่ที่แน่ ๆ เขาจำที่โซบินบอกได้ว่าเธอมีคนชอบอยู่แล้ว เมื่อรู้เช่นนั้นเขาจึงเอาเรื่องนี้ไปคุยกับโซบินเพื่อที่จะช่วยให้เธอได้สมหวังกับคนที่ชอบ โซบินเล่าเรื่องผู้ชายที่เธอชอบให้ยอจุนฟังแต่ไม่บอกว่าเขาคนนั้นคือใคร

ในคืนนั้นเอง ยอจุนพยายามคิดว่าใครกันแน่นะที่เป็นคนที่โซบินชอบ จนไปป๊ะเข้ากับชางกีที่อยู่ห้องตรงข้ามกับเขา เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจึงคิดแผนบางอย่างขึ้นมาได้ เมื่อรู้ว่าชางกีจะพาผู้หญิงมาที่ห้องในวันจันทร์ … จากนั้นเขาก็ส่งข้อความไปหาโซบินบอกให้เธอรู้ว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องสารภาพรัก และวันนั้นคือวันจันทร์ !

โซบินชวนยอจุนไปซื้อชุดเพื่อที่จะใส่ไปสารภาพรักกับคนที่เธอชอบ ระหว่างนั้นเราก็ได้รู้ว่าโซบินแอบชอบชางกีมาตั้งแต่ตอนเธออายุได้ 8 ขวบ เพราะเขาเป็นคนที่ทำให้เธอยิ้มได้เสมอยามที่เธอทุกข์ใจ

ในขณะที่ ซูฮยอนในเวลานี้กลับต้องประสบปัญหาการเงินอย่างหนัก เพราะน้องเขาจะเรียนต่อจึงทำให้ต้องใช้เงินมาก เขาจึงจำเป็นต้องหางานพาร์ตไทม์ทำมากขึ้นกว่าเดิมเพื่อให้มีรายได้เพียงพอกับค่าใช้จ่าย

โซบินที่ดูเป็นสาวขี้อาย แต่ในวันนี้เธอมาในชุดเดรสสีเหลืองและทำผมดูเป็นผู้หญิงมากขึ้น จากที่ปกติเธอมักจะใส่แต่เสื้อยืดกางเกงยีนธรรมดา ๆ เพราะวันนี้เป็นวันจันทร์ วันที่เธอเตรียมจะไปสารภาพรักกับผู้ชายที่เธอชอบ

ตกค่ำ โซบินไปที่ห้องของชางกี เธอเตรียมจุดเทียนเพื่อสร้างบรรยากาศ แล้วเสียงกดกริ่งก็ดังขึ้น โซบินจึงรีบเดินไปเปิดประตู ปรากฏว่าคนที่ยืนอยู่หน้าห้องคือผู้หญิงคนหนึ่ง … โซบินรีบออกมาจากห้องชางกีทันที ขณะเดียวกันเธอก็พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมา

ยอจุนที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่จึงบอกให้โซบินมาหาเขาที่ห้อง ในตอนนี้โซบินหัวใจแตกสลายเพราะเธอเชื่อมาตลอดว่าชางกีไม่มีวันโกหกเธอ เพราะเขาเคยบอกว่าเลิกกับแฟนไปนานหลายเดือนแล้ว มันทำให้เธอเสียใจเป็นอย่างมาก ยอจุนยืนมองหน้าโซบินแล้วบอกกับเธอว่า “รุ่นพี่ใช้ผมเถอะครับ ใช้ผมเพื่อทำให้ลืมคนคนนั้น … หรืออย่างน้อยก็ทำให้เขารู้ว่า รุ่นพี่ไม่ใช่คนที่เขาจะมาทำร้ายจิตใจได้”

จากนั้น ยอจุนก็ไปทักชางกีที่ระเบียง ก่อนที่โซบินจะเดินออกมาที่ระเบียงพร้อมกับที่ยอจุนได้แนะนำว่า “อ๋อ นี่แฟนผมครับ” แล้วเขาก็เอามือไปโอบเธอไว้แล้วยิ้มอย่างผู้ชนะใส่หน้าชางกี !

EP.4 เด็กน้อยยอจุน

ยอจุนแนะนำกับชางกีว่าโซบินเป็นแฟนของเขา ชางกีเมื่อรู้เช่นนั้นก็ถึงกับอึ้งไป …

ผู้หญิงคนนั้นที่มาหาชางกีที่ห้องจึงพูดกับเขาว่า “ฉันแนะนำนายในฐานะแฟนเก่านะ ถ้านายไม่สามารถตัดโซบินออกจากชีวิตได้ นายก็หาแฟนไม่ได้หรอก ยิ่งเรื่องแต่งงานยิ่งเลิกคิดไปได้เลย” นั่นเท่ากับว่าทั้งหมดเป็นเรื่องที่โซบินเข้าใจชางกีผิดไป โดยมียอจุนเป็นคนเสี้ยม !!!

ยองรันพยายามช่วยหางานพาร์ตไทม์ให้ซูฮยอนโดยปิดบังไม่ให้เขารู้ งานที่เขาได้รับข้อเสนอเป็นงานสบายได้เงินดี แถมยังมีที่พักและอาหารให้ตามที่ซูฮยอนต้องการ แต่เมื่อเขาได้รับการบอกเล่าจากคนสัมภาษณ์งานว่า ตำแหน่งงานนี้เปิดให้เฉพาะเขาโดยเป็นคำสั่งตรงมาจากประธานบริษัท ทำให้ในท้ายที่สุดซูฮยอนรู้ว่าเป็นฝีมือของยองรันที่แอบช่วย เขาจึงปฏิเสธที่จะรับงานไป เนื่องจากเขาหยิ่งในศักดิ์ศรีและไม่ต้องการติดค้างใคร

คูฮยอน น้องชายของซูฮยอนเดินทางมาหาพี่ชายที่มหาวิทยาลัย เหตุการณ์นำพาให้ทั้งสองได้ร่วมโต๊ะเดียวกับยอจุน ในระหว่างที่กินอาหารกันอยู่นั้น ยอจุนได้แต่นั่งมองพี่น้องทั้งสองแล้วย้อนกลับมาคิดถึงพี่ชายตัวเอง เขานึกไปก็เศร้าไปที่พี่ชายของเขาไม่เคยแสดงความรักกับเขาเลย แถมยังเย็นชาในระดับที่รังเกียจเขาด้วยซ้ำ เมื่อซูฮยอนไปเข้าห้องน้ำ คูฮยอนเอ่ยปากชมนาฬิกาของยอจุนว่าสวยและดูดีมาก ยอจุนจึงถอดนาฬิกาเรือนนั้นให้กับคูฮยอนไป

คูฮยอนเอานาฬิกาเรือนที่ยอจุนให้ไปขายได้เงินมาหลายแสนวอน เขาจึงเอาไปจ่ายค่าห้อง แต่เมื่อซูฮยอนรู้ว่าเงินที่น้องของเขาได้มาเป็นของยอจุนก็ร้อนใจเป็นอย่างมาก เพราะเขาไม่ต้องการติดหนี้ใคร อย่างไรก็ตามจะใช้คืนตอนนี้ก็ยังไม่มี เขาจึงไปหายอจุนที่บ้าน

การได้คุยกับยอจุน ทำให้ซูฮยอนเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของยอจุนมากขึ้น เพราะแท้จริงแล้วยอจุนที่ใคร ๆ เห็นว่าเขามีเพื่อนมากมายและมีครอบครัวที่ร่ำรวย แต่ลึก ๆ ภายในใจแล้วไม่มีใครรักเขาอย่างจริงใจเลยสักคน … ยอจุนจึงขอให้ซูฮยอนรับโทรศัพท์ของเขา ซูฮยอนเห็นว่าเขาเป็นหนี้ยอจุนเขาจึงรับปากไปอย่างเสียไม่ได้

ค่ำวันเดียวกันนั้น ชางกีไปรอโซบิน เขาพยายามอธิบายเรื่องในคืนนั้นให้โซบินฟัง เขาบอกว่าเรื่องทั้งหมดเป็นแผนการของยอจุน ที่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะมาหาเขาที่ห้องในคืนนั้น

โซบินลองนึกย้อนกลับไป เธอก็คิดว่ามีความเป็นไปได้ที่ยอจุนจะวางแผนเรื่องในคืนนั้น เธอจึงนัดให้ยอจุนออกมาหาเพื่อที่จะถามความจริง ตอนแรกยอจุนทำทีเป็นปฏิเสธ แต่จนแล้วจนรอดก็ยอมรับว่าเขาเป็นคนวางแผนเรื่องทั้งหมดจริง เขาพยายามอธิบายว่าสิ่งที่เขาทำไปเพราะไม่อยากเห็นเธอต้องทุกข์ใจไม่จบสิ้น จากการที่หวังให้ใครสักคนรักเราทั้ง ๆ ที่ไม่มีวันเป็นจริง เขารู้ดีเพราะเขาก็เป็นเหมือนกัน (ยอจุนนึกถึงแม่ ที่เขาหวังให้แม่รักเขาบ้างแต่มันไม่เคยเป็นจริง)

อย่างไรก็ตาม แม้โซบินจะบอกว่าไม่โกรธยอจุนสำหรับเรื่องที่หลอกเธอในคืนนั้น แต่เธอมองว่ายอจุนน่ากลัวเกินไปกว่าที่เธอจะสนิทกับเขาได้ แล้วโซบินจึงเดินจากไปทิ้งให้ยอจุนยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น

เด็กน้อยยอจุนสตั๊นกับความสัมพันธ์ที่พังทลายอีกครั้ง และทางออกของเขาก็เหมือนเดิมคือแอลกอฮอล์ หลังดื่มเสร็จ เขาจึงโทร. ไปซูฮยอนเพื่อปรึกษาเรื่องที่เขาทำให้โซบินเสียใจ ซูฮยอนจึงแนะนำให้เขาพูดความจริงในใจออกไป เมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาจึงรีบวิ่งไปหาโซบินทันที และเขาก็ไปตะโกนเรียกโซบินอยู่หน้าหอ ในตอนนั้นเองที่ยอจุนได้เอ่ยความรู้สึกในใจจริง ๆ ของตัวเองออกไป

เมื่อเปิดอกคุยกับโซบินเป็นที่เรียบร้อย ยอจุนรู้สึกสบายใจขึ้น เขาจึงโทร. ไปหาซูฮยอนอีกครั้ง แต่ปรากฏว่าซูฮยอนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลไปแล้ว เนื่องจากทำงานอย่างหนักจนพักผ่อนไม่เพียงพอและร่างกายอยู่ในภาวะขาดสารอาหาร ยอจุนจึงรีบไปหาซูฮยอนที่โรงพยาบาล เมื่อซูฮยอนฟื้นทั้งสองจึงได้มีโอกาสได้คุยแบบเปิดอกอีกครั้ง …

EP.5 ความไม่เหมาะสมกัน

ข่าวลือเรื่องที่โซบินเป็นแฟนกับยอจุนแพร่สะพัดไปทั่ว ทำให้โซบินตกเป็นขี้ปากของเพื่อนนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ซึ่งความรู้สึกส่วนใหญ่ก็เป็นไปในทางลบ ด้วยเหตุแห่งความที่ทั้งคู่ดูไม่เหมาะสมกัน โซบินโดนบูลลี่ด้วยความเห็นเชิงลบเป็นจำนวนมาก ทำให้เธอนึกไปถึงตอนที่ยังเป็นเด็ก 8 ขวบ ที่โดนเพื่อนรุมล้อเรื่องที่พ่อกับแม่ของเธอหย่ากัน และเธอถูกเรียกว่า “เด็กกำพร้า”

บาดแผลในใจข้อนี้มันรุนแรงสำหรับเธอมาก จนถึงขั้นทำให้เธอเครียดจนเกิดอาการหอบ เมื่อยอจุนโทร. ไปหาและได้ยินเสียงหายใจที่ผิดปกติของโซบิน เขาก็รีบวิ่งไปหาเธอทันที

โซบินนั่งร้องไห้อยู่คนเดียว เมื่อยอจุนไปเห็นอย่างนั้นเขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อย ๆ ว่า “รุ่นพี่เป็นแบบนี้เพราะผมเหรอครับ” โซบินตอบไปว่า “อืม … เพราะฉะนั้น ฉันเลยไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับนายอีก และฉันก็ไม่อยากรู้เรื่องของนาย เพราะงั้นนายก็ควรทำเหมือนกัน ตอนที่เราไม่รู้จักกันมันไม่เห็นมีปัญหาอะไร กลับไปเป็นเหมือนเดิมแบบตอนนั้นเถอะ”

ยอจุนเดินจากมาด้วยความรู้สึกที่เศร้าเหลือเกิน คำพูดของโซบินมันไปย้ำเตือนบาดแผลในใจของเขาเช่นกัน เขานึกย้อนกลับไปถึงตอนที่แม่เคยด่าว่าเขา “แกอยู่เงียบ ๆ ไม่เป็นหรือไง แกมันดีแต่สร้างปัญหา ดีแต่ทำให้คนรอบข้างไม่สบายใจ ช่วยใช้ชีวิตแบบคนตายไปแล้วเถอะ อย่าเป็นตัวถ่วงของพี่ชายแกเลย ฉันขอร้องล่ะ” แม่พูดไปก็เอานิ้วชี้จิ้มยันไปที่หน้าผากของเขา

ขณะที่ยอจุนกำลังเศร้าในความสัมพันธ์กับโซบิน จู่ ๆ ซูฮยอนก็โทร. มาหาเขาอย่างไม่คาดฝัน ซูฮยอนโทร. มาเพื่อนัดให้เขาไปกินข้าว ยอจุนรีบไปหาซูฮยอนตามนัดทันทีด้วยความดีใจ แต่ …

การที่ซูฮยอนนัดยอจุนมา เขาต้องการคืนเงินให้ยอจุน จากนั้นก็เผยความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง ว่าการที่เขาเจอหน้ายอจุนมันทำให้ตัวเขาเองรู้สึกแย่ เขาอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบชีวิตตัวเองที่ยากจนและลำบาก กับชีวิตของยอจุนที่ร่ำรวยและสุขสบาย เมื่อยอจุนได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกผิดหวัง เพราะเขาไปยุ่งกับใคร คนคนนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจเพราะเขา …

EP.6 การมีเพื่อนที่แท้จริง

โซบินได้รู้ความจริงจากยองรัน ทำให้เธอรู้ว่าเข้าใจยอจุนผิดไป เธอจึงซื้อดอกไฮยาซินธ์ไปให้ยอจุนแล้วกล่าวขอโทษที่เข้าใจผิดเรื่องที่คิดว่าเขาเอาเรื่องที่คบกันไปบอกคนอื่น

โซบินบอกให้ยอจุนลองเสิร์ชหาความหมายของดอกไฮยาซินธ์ดู เพราะนั่นเป็นความในใจของเธอที่อยากจะบอกกับเขา เมื่อพูดจบเธอก็รีบวิ่งหนีไปด้วยความอาย ยอจุนพบความหมายของดอกไฮยาซินธ์จากอินเทอร์เน็ตว่า “รักนิรันดร์และคำขอโทษ”

ณ โรงเรียนประถมฮงดง ยอจุนพาโซบินมาที่นี่ตามคำบอกเล่าของชางกี จากนั้นโซบินเล่าเรื่องของตัวเองในวันเด็กให้ยอจุนฟัง …

“ตอนนั้น เมื่อมาโรงเรียน ฉันมักโดดเรียนแล้วไปแอบตรงนั้นคนเดียว (เครื่องเล่นที่สนามเด็กเล่น) เพราะไม่อยากเข้าห้องเรียนแล้วก็ไม่อยากกลับบ้าน ฉันแอบอยู่ตรงนั้นเพราะไม่อยากให้ใครเจอ มันคงเป็นความรู้สึกกลัว และก็ไม่รู้จะไปไหนดี” โซบินยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นพร้อมด้วยน้ำตาที่หลั่งไหลออกมา ในใจของเธอคิดสงสารตัวเธอเองในวัยเด็ก

ทั้งสองเดินกลับออกมาด้วยกัน จังหวะนั้นเชือกผู้รองเท้าของโซบินเกิดหลุด ทำให้เธอเดินเหยียบเชือกผู้รองเท้าของตัวเองจนเกือบจะหกล้ม ดีที่ยอจุนคว้าตัวเธอเอาไว้ได้ทัน จากนั้นเขาก็ก้มลงไปผู้เชือกรองเท้าให้ ในขณะที่โซบินก็เอามือลูบหัวของยอจุนเพื่อจัดทรงผมให้ มันทำให้ยอจุนรู้สึกแปลกไม่น้อยที่โดนลูบหัว ก่อนที่ยอจุนจะชวนโซบินวิ่งกลับหอ

คืนนั้น ยอจุนนั่งมองดูดอกไฮยาซินธ์ที่โซบินซื้อให้ แล้วคิดย้อนไปถึงตอนที่โซบินลูบหัวของเขา

วันถัดมาที่มหาวิทยาลัยเป็นวันที่กลุ่มของโซบิน ซูฮยอน และยอจุนต้องนำเสนองาน อาจารย์ให้โซบินออกมาตอบคำถามหน้าชั้น ด้วยความที่เธอมีอาการหวาดระแวงเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าผู้คน ทำให้ตอนแรกเธอไม่สามารถตอบคำถามได้ แต่ด้วยความมั่นใจที่ได้จากยอจุนทำให้โซบินผ่านมันไปได้ด้วยดี

และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ดีของทั้งสามคน และมันทำให้ยอจุนเริ่มรู้สึกถึงการมีเพื่อนที่แท้จริงเป็นครั้งแรก เขายิ้มออกมาด้วยความสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

คืนวันนั้นเอง โซบินดื่มเบียร์ฉลองกับยอจุน เธอดื่มไปจนเมามายจนออกอาการไม่เป็นตัวของตัวเอง ทำให้เธอเผลอไปโดนตัวยอจุนบ่อยครั้ง เขาจึงบอกให้เธอทำตัวทำตัวให้พอดีหน่อย แต่โซบินก็ยืนยันว่าเธอจะทำตามที่ตัวเองอยากทำ แล้วยอจุนก็ดึงตัวเธอเข้ามาใกล้เขามองจ้องเธอหน้าต่อหน้าเกือบแนบชิด ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “ถ้ารุ่นพี่ไม่รักษาระยะห่าง อาจจะเจ็บเพราะผมได้นะ”

EP.7 เฟิร์สคิส

“แล้วรุ่นพี่จะรับความเจ็บปวดไหวเหรอ ?” ยอจุนโน้มตัวโซบินให้มาทำท่าจะจูบ “ถ้าให้ผมเริ่มแล้วไม่มีทางหยุดแน่” ณ จุดนี้ แก้มโซบินแดงก่ำทั้งสองข้างไม่ต่างไปจากมะเขือเทศ แล้วยอจุนก็จูบเธออย่างแผ่วเบา แต่ที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าคือสาวขี้อายอย่างโซบินกับจูบตอบยอจุนกลับไป สุดท้าย ยอจุนก็แบกโซบินขี่หลังมาส่งถึงหอในสภาพที่เมาแอ๋ แทบจะไร้สติอยู่กับตัว แล้วก็ไปนอนกลิ้งอยู่หน้าประตูห้อง

รุ่งเช้า โซบินแทบสติแตกเมื่อเธอนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่เธอไปจุ๊บยอจุน … โซบินงงจนทำอะไรไม่ถูกถึงขั้นคิดจะหลบหน้าเขา แต่ในท้ายที่สุด ยอจุนกับโซบินก็เปิดใจให้กัน และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทั้งคู่เริ่มคบเป็นแฟนกันอย่างจริงจัง

ในขณะที่งานเทศกาลงานรื่นเริงของมหาวิทยาลัยมยองอิล ที่จัดโดยกลุ่มนักศึกษาเต็มไปด้วยความสนุกสนาน โซบินรู้สึกยินดีที่เธอช่วยงานอาจารย์ยอจุนวาน (พี่ชายของยอจุน) ทำงานวิจัย โซบินจึงเล่าเรื่องนี้ให้ยอจุนฟัง “อาจารย์ใหม่ เขาดูเย็นชาไปหน่อย แต่ฉันคิดว่าเขาน่าจะเป็นคนดีนะ” โซบินกล่าวอย่างไร้เดียงสา

เมื่อยอจุนรู้ว่าโซบินจะทำงานกับพี่ชายของเขาก็เกิดความไม่พอใจ แต่โซบินไม่รู้ว่าทั้งสองเป็นพี่น้องที่มีเรื่องบาดหมางกัน เพราะเขาโดนพ่อแม่เปรียบเทียบกับพี่ชายมาตั้งแต่เด็ก จนทำให้เขากลายเป็นเด็กมีปัญหาที่มีปมในใจมาถึงตอนนี้

EP.8 “ทุกอย่างมันจบสิ้นแล้ว”

โซบินแปลกใจที่ยอจุนไม่พอใจที่เธอจะไปทำงานกับอาจารย์ยอจุนวาน ยอจุนจึงสารภาพความจริงออกไป “เขา (ยอจุนวาน) เป็นพี่ชายของผมเอง เขาเป็นคนที่ผมเกลียดมากที่สุด พอได้รู้ว่ารุ่นพี่ (โซบิน) ทำงานกับเขา ผมก็เลยไม่พอใจ … ตอนเด็กผมโดนพี่ชายทำร้ายจนเกือบสลบ เรื่องนั้นเป็นบาดแผลในใจผมมาจนถึงตอนนี้”

มีจูพยายามเข้าไปขอเบอร์โทรศัพท์ของซูฮยอนแต่โดนปฏิเสธแบบไร้เยื่อใย … ยองรันที่เห็นมีจูเดินจากไปด้วยสีหน้าผิดหวังจึงเข้ามาถามซูฮยอนว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจึงเล่าให้ฟังแล้วบอกกับยองรันต่อ ซึ่งทำเอาเธอแทบช็อก “ฉันชอบใครก็ไม่มีเวลาคบกันอยู่ดีแหละ ฉันเคยชอบเธอไง แต่ไม่ต้องตกใจนะเพราะมันเป็นอดีตไปแล้ว”

ยองรันแอบชอบซูฮยอนมานานแต่เธอไม่เคยกล้าบอกเขา และก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขาก็แอบชอบเธอมานานเช่นกัน เธอได้แต่คิดว่าถ้าเธอกล้าพอที่จะบอกเขาไปตั้งนานแล้วเรื่องมันก็คงไม่อึดอัดมาจนถึงตอนนี้

แม่ซูฮยอนต้องเข้ารับการผ่าตัดโดยด่วนแต่เขาไม่มีเงิน คูฮยอน (น้องชายของซูฮยอน) เลยไปยืมเงินยอจุน 1 ล้านวอนเพื่อไปเป็นค่ารักษาแม่ เมื่อซูฮยอนรู้จึงนัดเจอกับยอจุนเพื่อขอบคุณเขาที่ช่วย ซูฮยอนบอกว่า “ช่วงเวลาที่น่าสมเพชที่สุดคือตอนที่ไม่มีเงินที่จะใช้ปกป้องคนที่เรารัก” แต่ยอจุนกลับมองในมุมของเขา “แต่บางคนก็มีเงินมากมาย แต่กลับไม่มีคนที่มีค่าพอให้ปกป้อง” แล้วทั้งคู่ก็ยืนปรับทุกข์กันอยู่อย่างนั้น

“แม่ผมบอกว่าเขาเกลียดผมเรียกผมว่า เด็กหน้าไหว้หลังหลอก” ยอจุนเผยความลับที่เขาไม่เคยบอกใครมาก่อนให้กับซูฮยอนได้รับรู้ แต่ซูฮยอนกลับมองในแง่มุมที่ต่างออกไป “สิ่งที่นายบอกมันไม่เป็นจริงเลยสักนิด มันก็แค่มุมมองผิดๆที่แม่มีกับนาย ฉันไม่เคยว่านายเป็นแบบนั้นนะ และฉันก็ไม่เคยเกลียดนายเลย”

หลังมีจูโดนซูฮยอนปฏิเสธ เธอก็ตัดสินใจที่จะสารภาพความในใจกับเขา แต่ซูฮยอนก็ปฏิเสธแบบแทบไม่ต้องคิด มีจูทรุดลงไปกับพื้นแล้วร้องไห้ออกมาอย่างกับเด็ก “ฉันไม่น่าบอกเลย ฉันน่าจะเก็บความรู้สึกไม่เอาไว้คนเดียว”

ทีนี้ ยอจุนเกิดไปเห็นข้อความในไดอารี่ของซูฮยอนที่เขียนเอาไว้ว่า “ทุกอย่างมันจบสิ้นแล้ว” จังหวะเดียวกันนั้น ข้อความเตือนทางโทรศัพท์แจ้งการโอนเงินคืน 1 ล้านวอนจากซูฮยอน ทำให้ยอจุนเป็นห่วงซูฮยอนขึ้นมา

ในขณะที่ซูฮยอนหอบกระเป๋าเสื้อผ้าไปนอนอยู่บริเวณสวนสาธารณะ ยอจุนที่เป็นห่วงซูฮยอนก็พยายามออกตามหาจนไปเจอ แล้วยอจุนก็ชวนซูฮยอนให้ไปอยู่ที่บ้านกับเขา ซึ่งซูฮยอนก็ตอบตกลงอย่างไม่มีทางเลือก

EP.9 อย่าให้ความคิดกักขังความจริง

ในคืนนั้นเองซูฮยอนย้ายเข้าไปอยู่กับยอจุน …

เช้าวันรุ่งขึ้น ยอจุนทำอาหารเช้าให้กิน เมื่อซูฮยอนรู้ว่าในอาหารเช้าใส่เห็ดทรัฟเฟิลราคาขีดละ 300,000 วอน (ประมาณ 8,500 บาท) เข้าไป ก็ถึงก็บ่นอุบออกมาไม่หยุด ถึงขนาดไปบ่นกับโซบินที่มหาวิทยาลัยว่า แค่เห็ดก็ราคาเท่ากับค่าอาหารทั้งเดือนของเขาแล้ว ถ้าอยากกินเห็ดจริง ๆ ไปเก็บเอาเองในป่าก็ได้ ไม่เห็นต้องซื้อแพงขนาดนั้น โซบินได้ยินก็ถึงกับยิ้มออกมา

โซบินได้ทำงานกับอาจารย์ยอจุนวาน ทำให้เธอได้เห็นรู้สึกว่าเขาเป็นห่วงยอจุน แต่เมื่อจะเอาเรื่องนี้ไปบอกกับยอจุน ก็ได้รับคำตอบว่า “ถ้าดูผิวเผินก็อาจจะรู้สึกแบบนั้นได้”

ต่อมา ชอนกุกหลอกโซบินให้เขาไปในห้องของชมรม โดยแอบตั้งกล้องไลฟ์สดเอาไว้ เพื่อหวังทำการล่วงละเมิด เมื่อยอจุนรู้จึงรีบวิ่งเข้าไปช่วย ทั้งสองจึงเกิดการต่อสู้กัน ยอจุนพลาดท่าโดนชอนกุกตุ๊ยท้องไปหลายหมัดจนตัวงอ แต่สุดท้ายยองรันก็โผล่เข้ามากระโดดถีบใส่จนชอนกุกลงไปนอนกองอยู่กับพื้น และชอนกุกก็ถูกนำตัวส่งตำรวจ

ยอจุนวานได้เห็นคลิปที่ยอจุนโดนชกหน้าที่งานเทศกาลก็มาเจอยอจุนด้วยความเป็นห่วง และสั่งห้ามเขาว่าอย่าทำอย่างนี้อีก แต่ยอจุนกลับไม่คิดเช่นนั้น “นายมีสิทธิ์อะไรมาห้าม ในเมื่อนายซ้อมฉันจนปางตาย อย่าบอกนะว่าลืมมันไปแล้ว ถึงนายจะลบมันออกไปจากความทรงจำ แต่ฉันนึกถึงมันอยู่ทุกวัน เพราะงั้นนายห้ามลืม ฉันไม่อนุญาต !” แล้วยอจุนก็เดินจากไปด้วยความโกรธผสมกับความเสียใจที่ถูกระบายออกมาด้วยน้ำตา

คืนนั้น ยอจุนฝันร้ายว่าพี่ชายเข้ามาทำร้ายเขา แต่เขาได้แต่ตะโกนออกไปว่า “ได้โปรดไว้ชีวิตผมด้วย” วันต่อมา ยอจุนจึงผิดนัดเดตกับโซบินโดยที่ไม่ได้บอกเหตุผล แม้ตอนแรกโซบินจะมีน้อยใจบ้าง แต่เมื่อรู้เหตุผลที่แท้จริงเธอก็กอดเขาเพื่อให้กำลังใจ

ทีนี้ในทริปหนุ่มสาว ซึ่งเป็นทริปท่องเที่ยวที่อาจารย์พัคเป็นคนจัด มีช่วงที่อาจารย์พัคได้เล่าเรื่องเจ็บปวดในอดีตของตัวเอง “อาจารย์เคยมีแฟนเก่าคนหนึ่งที่อยู่ดี ๆ ก็ทิ้งอาจารย์ไปโดยไม่บอกกล่าว ทำให้หลังจากนั้นเป็นเวลาหลายปี อาจารย์ได้แต่คิดว่าที่เธอทิ้งไปเพราะความที่อาจารย์จน แต่ที่จริงแล้วเธอป่วยหนัก ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยรู้เลยว่าเธอป่วย คิดว่าที่เธอเป็นผู้หญิงเห็นแก่เงิน เรื่องนี้มันทำให้อาจารย์ได้รู้ว่า อย่าให้ความคิดของเรากักขังตัวเองจนเสียสิ่งที่มีค่าไป เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าความจริงจะเปิดเผยออกมาเมื่อไร”

คำพูดของอาจารย์พัคทำให้ยอจุนคิดถึงภาพความทรงจำในอดีตของเขากับพี่ชาย มันทำให้เขาไม่แน่ใจว่าความฝันของเขามันตรงกับความเป็นจริงหรือเปล่า เมื่อเป็นเช่นนั้นยอจุนจึงนั่งแท็กซี่ไปหายอจุนวานในทันที

แล้วเขาก็ได้รู้ความจริงว่าคนที่ซ้อมเขาในตอนนั้นพี่ชาย แต่คือพ่อของเขานั่นเอง !

EP.10 พ่อสองแบบที่แตกต่าง

ยอจุนได้รู้ความจริงที่ปวดใจว่า คนที่ซ้อมเขาจนปางตายเมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็กไม่ใช่ยอจุนวานแต่เป็นพ่อของเขานั่นเอง ยอจุนวานอธิบายว่าทำไมเขาต้องปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ “ทางเดียวที่จะปกป้องนายจากพ่อได้คือต้องใช้ชีวิตอย่างที่เขาต้องการ ฉันเลยไม่มีเวลาดูแลนาย ฉันเลือกที่จะใช้ชีวิตแบบนี้ ส่วนนายก็ใช้ชีวิตของนายอย่างอิสระไป” ที่แท้แล้ว สิ่งที่ยอจุนวานทำก็เป็นไปก็เพื่อให้ยอจุนได้ใช้ชีวิตของตัวเองได้อย่างอิสระ

กงมีจูรวบรวมความกล้าเพื่อไปบอกความรู้สึกที่มีต่อซูฮยอนอีกครั้ง เธอเล่าเรื่องเหตุการณ์ในร้านสะดวกซื้อที่เธอทำกระป๋องเบียร์ตก ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เธอได้เจอเขา แล้วก็ของคุณที่เข้ามาในชีวิตเธอ อย่างน้อย ๆ ก็ทำให้เธอได้รู้สึกว่ามีโอกาส

ต่อมา ยอจุนก็นั่งปรับทุกข์กับซูฮยอนเรื่องพ่อ ซูฮยอนเล่าเรื่องของพ่อเขาให้ฟังว่า พ่อของเขาเป็นตำรวจที่อุทิศตนเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ยอมเสียสละแม้กระทั่งชีวิตของตัวเอง จนได้รับเสียงสรรเสริญจากผู้คน พ่อในมุมมองของซูฮยอนเป็นฮีโร่ที่คอยปกป้องทุก ๆ คน แต่พ่อกลับไม่สามารถปกป้องครอบครัวของตัวเองได้ และมันส่งผลให้คนในครอบครัวประสบกับความยากจนและยากลำบาก แต่ยอจุนเล่าว่าพ่อของเขานั้นต่างออกไป “พ่อเป็นคนทำร้ายคนในครอบครัวตัวเอง”

ในตอนท้าย ยอจุนถูกพ่อเรียกตัวให้ไปพบที่บ้าน เพื่อบอกให้เขาย้ายกลับมาอยู่บ้านเพราะไปก่อเรื่องชกต่อยที่งานเทศกาล แต่ยอจุนไม่ยอม พ่อเลยเรียกให้ยอจุนเข้าไปที่ห้องห้องหนึ่งก่อนที่จะปิดประตู ทิ้งความสงสัยเอาไว้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับยอจุน ?

EP.11 สุดท้ายก็ไม่เหลือใคร

พ่อเรียกให้ยอจุนเข้ามาในห้องเพื่อจะทุบตีเขาเหมือนสิ่งที่ทำเมื่อวัยเด็ก แต่ยอจุนวานก็มาช่วยเอาไว้ได้ทัน …

ยอจุนวานเปิดอกคุยกับยอจุน “ตั้งแต่ฉันเห็นพ่อทุบตีนายจนสลบไป ฉันก็ตัดสินใจจะปกป้องนายจากเขา ฉันพยายามกันนายให้อยู่ห่าง ๆ เขา แต่ฉันเสียใจนะที่มันทำให้นายดูแย่ลง จากที่เมื่อก่อนนะเคยเป็นเด็กที่สดใสร่าเริง”

ยอจุนกลับมาถึงบ้านพักก็ร้องไห้ออกมาไม่หยุดเมื่อได้เห็นหน้าของซูฮยอน แม้ยอจุนจะไม่เอ่ยคำพูดใด ๆ ออกมาสักคำ แต่ซูฮยอนก็รู้อยู่เคียงข้างเขา … วันต่อมา ยอจุนจึงได้เปิดอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับซูฮยอนว่า “เมื่อคืน ผมกลับมาเห็นรุ่นพี่น้ำตามันก็ไหลออกมาเอง เพราะสิ่งที่ทำให้ผมเจ็บปวดมานาน พอทิ้งมันไปแล้ว ตัวผมเหมือนได้เป็นคนใหม่”

ยอจุนวานให้แม่ของเขาแจ้งความดำเนินคดีกับพ่อในข้อหาใช้ความรุนแรงกับคนในครอบครัวจนกลายเป็นข่าวใหญ่ เมื่อพ่อกลับไปที่บ่านก็พบว่าแม่เขาไม่อยู่ที่นั่นแล้ว พ่อจึงไปหายอจุน …

ยอจุนคว้ามือพ่อที่กำลังจะตบเขาเอาไว้ “รู้ไหมว่าพวกผมต้องทนทุกข์กับพฤติกรรมของพ่อมานานแค่ไหนแล้ว”
“ไอ้เด็กจองหอง แกลืมไปแล้วหรือว่าใครให้เงินแกใช้ แกหาเงินเองได้เหรอ บ้านหลังนี้ซื้อด้วยเงินใคร”
“พ่อหาเงินเพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการทำร้ายคนในบ้านเหรอครับ เปลี่ยนแปลงตัวเองสักทีเถอะ เพราะเด็กคนที่โดนพ่อทุบตีกลัวจนตัวสั่น มันได้ตายไปแล้ว”

ที่พึ่งสุดท้ายของพ่อตอนนี้ก็คือยอจุนวาน แล้วภาพที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น พ่อลงไปนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นพร้อมกับเอื้อมมือไปกุมมือลูกชายคนโต …

“ฉันทำงานทุกวันโดยไม่มีวันหยุด ทำงานเป็นลูกจ้างระดับล่างจนได้ขึ้นเป็นประธานบริษัท ทั้งหมดเป็นเพราะฝีมือและความมานะอุตสาหะ ฉันทำเพื่อครอบครัวมาตลอด”
“ผมรู้ว่าพ่อเสียสละมามากเพื่อให้ลูก ๆ มีชีวิตที่สุขสบาย” ยอจุนวานตอบกลับด้วยท่าทีที่เย็นชา
“ทำไมเราต้องใช้ชีวิตกันแบบนี้ด้วย แกไปตามแม่กลับมาให้ที ฉันรักแม่นะ”
“แต่กับสิ่งที่ทำลงไปพ่อเรียกมันว่าความรักหรือครับ ตอนนี้พ่อไม่มีครอบครัว ไม่มีลูกไม่มีเมีย ไม่เหลือใครแล้ว”

EP.12 ตอนจบ

ในตอนจบของซีรีส์ At a Distance, Spring is Green เริ่มต้นด้วยการโต้เถียงกันในการเลือกหัวข้อทำงานกลุ่ม ซูฮยอนต้องการทำเกี่ยวกับด้านที่สดใสของช่วงชีวิตวัยรุ่น ตรงกันข้ามกับยอจุนที่ต้องการจะพูดถึงด้านมืด จนกลายเป็นเรื่องน้อยอกน้อยใจกันขึ้นมาถึงขั้นวงแตกตอนประชุมกลุ่ม

โซบินจึงพยายามเข้ามาเป็นตัวกลาง และขอให้ยอจุนยอมประนีประนอมทำตามที่ซูฮยอนต้องการ อย่างไรก็ตาม ยอจุนปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่า “ทุกคนมีด้านมืด มันคือความเป็นจริงของชีวิตเรา ผมไม่ต้องการจะลบความทรงจำด้านมืดแล้วแทนที่ด้วยความทรงจำที่สดใส มันเป็นความจริงที่อยู่ติดตัวไปตลอดแม้ว่าเราจะไม่ต้องการมันก็ตาม”

เมื่อกลับมาบ้าน ทั้งยอจุนและซูฮยอนต่างคนก็ต่างยังวางฟอร์ม แต่สุดท้ายกำแพงนั้นก็ถูกทำลายด้วยมิตรภาพที่ทั้งสองมีให้กัน “รุ่นพี่ ผมขอโทษที่ดื้อตอนประชุมกลุ่ม รุ่นพี่คิดว่าผมจะสามารถเอาชนะและก้าวข้ามมัน (ด้านมืดในใจ) ไปได้มั้ย ?” ซูฮยอนตอบกลับไปว่า “คนเราไม่สามารถเลือกสิ่งที่ตัวเองต้องการได้ แม้ว่าเราจะไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้นก็ตาม แต่บางคนก็เลือกที่จะจมอยู่กับด้านมืดของตัวเองอยู่อย่างนั้น เหมือนยืนอยู่ขอบหน้าผาทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันอันตราย แต่ก็ยังยืนอยู่อย่างนั้น”

วันรุ่งขึ้น ในการประชุมกลุ่ม ยอจุนตัดสินใจที่จะก้าวข้ามบาดแผลในใจของตัวเอง และเลือกที่จะเดินออกมาจากขอบปากเหวนั้น “รุ่นพี่ครับ วันนี้พวกเรามาพูดถึงด้านมืดของแต่ละคนกันดีไหม มันเกี่ยวกับการนำเสนองาน” …

เริ่มต้นด้วยซูฮยอนที่เล่าเรื่องความยากจนของครอบครัวเขาตั้งแต่สมัยเขายังเป็นเด็ก และถึงตอนนี้เขาก็ยังจนอยู่เหมือนเดิม โซบินก็เล่าว่าตัวเธอเป็นคนไม่กล้าตัดสินใจและขี้อาย ทำให้หลายครั้งพลาดโอกาสดี ๆ ในชีวิตไป ทีนี้เมื่อมาถึงยอจุน (เซอร์ไพรส์) เขาเลือกที่จะเล่าว่าในวัยเด็กเขาโดนพ่อทำร้ายทุบตีจนสลบไป ! “ผมต้องตกอยู่ในด้านมืดที่ไม่มีแม้แต่แสงจุดเล็ก ๆ ของหิ่งห้อยเพราะความรุนแรงของพ่อ” ยอจุนเลือกที่ลุกขึ้นเผชิญกับบาดแผลในใจของตัวเองและพยายามเอาชนะมัน

ต่อมา ซูฮยอนสารภาพความรู้สึกในใจอย่างตรงไปตรงมากับยอจุน เขาเล่าว่า “ฉันได้อ่านไดอารีของพ่อแล้วบอกกับตัวเองว่า พ่อของฉันใช้ชีวิตที่ยากลำบากด้วยความคิดแสนเจ็บปวดเมื่อตอนที่เขาอายุเท่า ๆ ฉัน พ่ออยากเป็นพ่อที่ดีที่ดีที่สุดในโลกเท่าที่พ่อคนหนึ่งจะเป็นได้ และตอนนี้ฉันก็อยากจะเป็นอย่างนั้น ฉันอยากเป็นตำรวจเหมือนพ่อ”

พ่อของซูฮยอนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ซื่อสัตย์ แต่เขาเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ สำหรับซูฮยอนแล้ว ตั้งแต่จำความได้เขาก็ใฝ่ฝันที่จะเป็นตำรวจเหมือนพ่อ แต่เขาละทิ้งความฝันที่จะเป็นตำรวจก็เพราะเรื่องนี้ ยอจุนพยายามกระตุ้นเตือน “ทำไมรุ่นพี่ถึงทิ้งมันไปล่ำ ? ผมว่ารุ่นพี่สามารถเขียนตอนจบของตัวเองใหม่ได้นะ”

ทุกสิ่งอย่างเปลี่ยนไปแล้ว จากซูฮยอนที่เคยปฏิเสธความสัมพันธ์กับยอจุน มาถึงตอนนี้เขากลายเป็นคนที่รู้วิธีเข้าหาคนอื่น และมันอาจจะเป็นวิธีที่วัยรุ่นคนหนุ่มสาวสามารถเอาชนะความเจ็บปวด เมื่อเขาได้มีใครสักคนที่รู้สึกว่ายืนอยู่เคียงข้างในวันที่ย่ำแย่

แล้วทุกสิ่งอย่างก็จบลงอย่างมีความสุข แฮปปี้เอ็นดิ้งในทุกมิติ

จบบริบูรณ์

Source: KBS2 Korea