Skip to content
สรุปเนื้อเรื่องซีรีส์ You are My Spring (2021) เธอคือรักที่ผลิบาน

สรุปเนื้อเรื่องซีรีส์ You are My Spring (2021) เธอคือรักที่ผลิบาน

ซีรีส์ You are My Spring : เรื่องราวของหญิงสาวที่มีปมบางอย่างในวัยเด็ก กับจิตแพทย์ระดับเทพที่ต้องอาศัยอยู่ร่วมกันในอาคารที่เพิ่งเกิดเหตุฆาตกรรม …

คะแนน 4/10 เรตติ้ง 2.3
สนุกไหม ? เป็นซีรีส์โรแมนติกที่ใช้คดีฆาตกรรมปริศนาและความลึกลับในวัยเด็กเป็นสตอรีไลน์ในการดึงดูดให้ซีรีส์น่าติดตาม ซึ่งบอกเลยว่าทำได้ดีมาก โดยเฉพาะใน 4 ตอนแรก หลังจากนั้น ซีรีส์พยายามเปลี่ยนสไตล์ตัวเองให้เป็นซีรีส์รอมคอมฟีลกู๊ด (เยียวยาหัวใจ) โดยลดประเด็นฆาตกรรมลงจนเบาบาง … แต่ถามว่าชอบไหม ก็ชอบนะ

EP.1 โซซิโอปาธ

คังดาจอง (รับบทโดย ซอฮยอนจิน) ผู้จัดการแผนกต้อนรับของเชนโรงแรมระดับโลก Grand Hyatt เธอฝันที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งในวัย 34 ปี กับที่พักใหม่ของเธอย่านพุงจี แต่เพื่อนเธอดูจะไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเธอต้องคอยเริ่มต้นชีวิตใหม่เรื่อย ๆ หลังคบกับพวกผู้ชายขยะ ทั้ง ๆ ที่มีผู้ชายดี ๆ คอยตามจีบเธอแต่เธอก็ไม่เคยสนใจ (ผู้ชายขยะ คือ เจ้าชู้ ติดเหล้า เล่นการพนัน ใช้ความรุนแรง บลา ๆ ๆ)

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนธันวาคม ปี 1994 ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในกรุงโซล …

ในตอนนั้นคังดาจองอายุได้เพียง 7 ขวบ เธออาศัยอยุ่กับน้องชาย แม่ และพ่อ พ่อของเธอคือผู้ชายที่ทำให้เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้น เขาคือผู้ชายที่ชอบดูถูกตัวเอง ซ้ำยังคิดว่าคนอื่นก็ดูถูกเขาเหมือนอย่างที่เขาดูถูกตัวเองด้วย ทั้ง ๆ ที่มันไม่เป็นอย่างนั้น วัน ๆ จึงเอาแต่ดื่มเหล้าจนเมามาย ทำอยู่อย่างนั้นทุก ๆ วัน

พ่อของคังดาจองเป็นผู้ชายขยะขี้เมา ที่กลับบ้านมาพร้อมกับความกักขฬะด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ในทุก ๆ คืน เขาทำอยู่อย่างนั้นเป็นเดือน ๆ เป็นปี ๆ “ไอ้พวกลูกเนรคุณ พ่อกลับมาบ้านยังไม่ออกมาทำความเคารพอีก !” แม่ของเธอคอยปกป้องเธอและน้องชายอย่างสุดกำลัง ไม่ว่าพ่อจะทำลายข้าวของพังเสียหาย หรือทำลายจิตใจของแม่จนแตกสลายไปกี่ครั้ง แต่สิ่งเดียวที่แม่ไม่มีทางยอมให้พ่อทำร้ายแม้กระทั่งปลายเล็บก็คือลูก ๆ ของเธอ

คังดาจองอยู่ในห้องที่ล็อกประตูกับน้องชาย ระหว่างนั้นเองเธอก็ปลอบประโลมน้องด้วยการเล่านิทานเรื่อง “แมวดำ” เธอเล่าซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้นทุกวัน ๆ เพราะมันเป็นนิทานเพียงเรื่องเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นใจ บางครั้งเธอก็ปีนหน้าต่างมองลอดออกไปที่บ้านข้าง ๆ ภาพที่เธอเห็นนั้นมันคอนทราสต์กับครอบครัวของเธอราวฟ้ากับเหว เธอฝันว่าคุณลุงข้างบ้านอาจจะเป็นพ่อที่แท้จริงของเธอ แล้วฝันนั้นก็จะจบลงด้วยความสุขแบบหักมุม แต่ทว่ามันก็เป็นเพียงฝันที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง

แม่ของคังดาจองคือดอกไม้ที่เปล่งประกายเมื่อตอนเธอเรียนอยู่มหาวิทยาลัย แต่การเลือกผู้ชายผิดมันทำให้อนาคตที่เปล่งประกายของเธออับเฉาลง แต่อย่างที่บอกว่าเธอจะไม่มีวันที่จะยอมให้ใครแตะต้องลูก ๆ ของเธอได้ คืนหนึ่งเธอจึงคว้ามีดทำครัวขึ้นมาแล้วตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง จากนั้นเธอก็พาคังดาจองและน้องชายหนีไปจากบ้านหลังนั้นเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่

ณ ปัจจุบัน ธันวาคม 2020 ย่านพุงจี กรุงโซล …

จูยองโด (รับบทโดย คิมดงอุค) จิตแพทย์ผู้มีความเชี่ยวชาญทางด้านอาชญาวิทยา เขาเปิดคลินิกรับคำปรึกษาทางจิตเวชแห่งใหม่อยู่ที่อาคารกูกู ใต้ห้องพักของคังดาจอง เขาเคยแต่งงานกับดาราสาวชื่อดังอันกายอง ทั้งคู่พบรักกันในฐานะที่ปรึกษาด้านการแสดงในซีรีส์เรื่อง “หมออาชญากร” แต่หลังจากใช้ชีวิตคู่กันได้เพียง 1 ปีทั้งคู่ก็เลิกรากัน

วันหนึ่ง ด้วยความที่เป็นเพื่อนบ้านกัน ทำให้จูยองโดกับคังดาจองได้มีโอกาสพบกันบนดาดฟ้าระหว่างนั่งที่ทานจัมปง ทั้งสองและเพื่อน ๆ คุยกันไปมา กระทั่งคังดาจองเกิดไปท้าทายความสามารถในการ “สนูปิง” ของจูยองโด แม้ในตอนแรกเขาพยายามจะปฏิเสธแต่สุดท้ายเขาก็ยอมทำตามคำขอ

จูยองโดวิเคราะห์จากสิ่งของและการตกแต่งภายในห้องของคังดาจอง นกที่ไม่มีขา, แม่เหล็กดูดขยะ, แมวดำ และต้นหางกระรอกแดง …

“คุณ (คังดาจอง) เป็นคนกลัวการลงหลักปักฐาน กลัวความสัมพันธ์ที่ผูกมัดทางด้านจิตใจ เพราะเคยเจ็บมาแล้วหลายครั้ง คุณจะเป็นคนอ่านนิยายแนวสืบสวนจากการจบก่อน ถ้าเป็นซีรีส์ก็ชอบอ่านสปอยล์ก่อน ถ้าจบแบบผิดหวังก็จะไม่ดู … แต่จริง ๆ แล้วคุณพยายามจะลงหลักปักฐานในชีวิตมาตลอด เมื่อผิดหวังก็จะคิดว่าตัวเองจะต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง แต่ในความเป็นจริงแล้วมีแต่ผู้ชายขยะที่เข้าหาคุณมาตลอด ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ คุณเองนั่นแหละที่เป็นคนดึงดูดผู้ชายเหล่านั้นเข้ามาหาคุณเอง” จูยองโดร่ายยาว ขณะที่คังดาจองฟังด้วยความตั้งใจ

“การที่คุณพยายามดึงดูดพวกผู้ชายขยะเหล่านั้นเข้ามาในชีวิต เพราะคุณพยายามทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากความเป็นจริงอันเลวร้าย เช่น ถ้าคุณคบกับผู้ชายขี้เมาคุณก็จะพยายามทำให้เขาเลิกเหล้า และแม้คุณจะทำให้เขาเลิกเหล้าได้สำเร็จ แต่มันก็จะสร้างความเลวร้ายใหม่ขึ้นมา ในท้ายที่สุดคุณก็ไม่สามารถเอาชนะมันได้อยู่ดี นี่แหละที่เป็นสาเหตุที่ทำให้คุณย้อนกลับไปหาความเจ็บปวดแบบเดิม ๆ ซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น … ส่วนรูปแมวดำที่แขวนไว้ในห้อง แสดงให้เห็นถึงวัยเด็กของคุณว่าอาจจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นในครอบครัว …” จูยองโดกล่าวถึงถึงตรงนี้ก็โดนขัดจังหวะโดยคังดาจอง เพราะเธอไม่ต้องการให้เขาพูดถึงครอบครัว

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จูยองโดกล่าวออกมาทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นตัวตนของคังดาจองที่เธอพยายามเก็บซ่อนเอาไว้จริง ๆ

ระหว่างนั้น มีผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งชื่อแชจุน (รับบทโดย ยุนพัค) มาตามจีบคังดาจอง แม้ว่าเธอจะพยายามปฏิเสธยังไงแต่เขาก็ตามตื๊อไม่เลิก จนนานวันเข้าเธอก็ดูเหมือนเริ่มจะใจอ่อน

ต่อมา แชจุนก็ได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง เขาทำทีเป็นคนไข้ที่ขอเข้ารับการปรึกษาที่คลินิกของจูยองโด และแท้จริงแล้วเขาเป็นโรคบุคลิกภาพผิดปกติแบบต่อต้านสังคมหรือที่เรียกว่าโซซิโอปาธ (Sociopath) !

ยิ่งไปกว่านั้น การที่แชจุนมาหาจูยองโดเหมือนเป็นการท้าทาย เพราะด้วยความที่จรรยาบรรณแพทย์เขาจึงไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลการรักษาให้ผู้อื่นรู้ได้

งานอีกอย่างของจูยองโดคือการเป็นที่ปรึกษาของตำรวจในแผนกคดีอาชญากรรมร้ายแรง เขาให้ความสนใจคดีหนึ่งซึ่งฆาตกรได้ก่อเหตุฆาตกรรมในอาคารกูกูช่วงที่กำลังก่อสร้าง ซึ่งเป็นอาคารที่ออฟฟิศของเขาตั้งอยู่ และจุดที่พบศพก็คือในห้องทำงานของเขานั่นเอง เมื่อจูยองโดทำการประมวลเรื่องราวต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เขาจึงคิดว่ามันมีความเป็นไปได้ที่แชจุนอาจจะเป็นฆาตกรรายนั้น ! เพราะทฤษฎีอาชญาวิทยาได้ระบุเอาไว้ว่า “คนร้ายจะกลับไปที่ก่อเหตุเสมอ”

EP.2 ภาพความทรงจำในวัยเด็ก

คังดาจองไม่เข้าใจว่าทำไมจูยองโดถึงได้ห้ามให้เธอคบกับแชจุน แต่เขาก็ตอบแบบเจาะจงไม่ได้ เป็นเพียงแต่บอกว่าเขามีความรู้สึกแปลก ๆ บางอย่างกับแชจุน ซึ่งตอนนี้กำลังหาหลักฐานบางอย่างอยู่ ทีนี้เมื่อไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน คังดาจองจึงถามเชิงทีเล่นทีจริงว่า “นี่ถามจริง ๆ คุณแอบชอบฉันอยู่ใช่มั้ย ?” แต่จูยองโดก็ปฏิเสธเสียงแข็ง แล้วคังดาจองก็หัวเราะเบา ๆ ออกมาพร้อมกับบอกว่า “ฉันไม่ได้ชอบเขา (แชจุน) เลย”

แต่จริง ๆ แล้วจูยองโดสงสัยว่าแชจุนเป็นฆาตกรโรคจิตที่จัดอยู่ในประเภทที่เรียกว่า “โซซิโอปาธ” (คล้ายกับไซโคปาธ) เมื่อเขาได้พบและสบสายตากับแชจุนในครั้งแรกมันทำให้เขาคิดถึงเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เขาเจอเมื่อ 18 ปีก่อน … ตอนนั้นเขาและเพื่อน ๆ ที่เรียนอยู่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮันกุก ได้ไปดื่มสังสรรค์กันที่ร้านเหล้าแห่งหนึ่ง เมื่อเขาเข้าห้องน้ำ เขาก็พบเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่สวมกางเกงในตัวเดียวกำลังซักเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดอยู่ที่อ่างล้างหน้า เขาได้สบตากับเด็กหนุ่มคนนั้นผ่านกระจก มันเป็นสายตาที่เรียบเฉย ไม่สะทกสะท้าน มันทำให้เขาจดจำสายตานั้นได้ดี และมันทำให้เขาคิดว่าเด็กหนุ่มคนนั้นอาจจะเพิ่งฆ่าใครมา

จูยองโดใช้ความรู้สึกของตัวเองตั้งสมมติฐานว่าเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นฆาตกร เขาจึงพยายามรื้อหาคดีที่เกิดขึ้นเมื่อ 18 ปีก่อน ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ใกล้เคียงกับร้านเหล้าแห่งนั้น แต่เขาก็ไม่พบในฐานข้อมูลของตำรวจ แต่อย่างไรก็ตามเขาก็อดสงสัยแชจุนไม่ได้อยู่ดี เพราะเขาฟันธงไปแล้วว่าแชจุนเป็นจิตเภทที่เรียกว่าโซซิโอปาธ

คังดาจองได้พูดตัดสัมพันธ์กับแชจุน เพราะเธออยากเริ่มต้นชีวิตใหม่จริง ๆ เสียที แต่มันแปลกตรงที่เธอไม่อาจลืมเขาได้สนิทใจ มันเป็นเพราะความฝันของเขามันเหมือนกับความฝันของเธอในวัยเด็ก เธอได้แต่คิดถึงเขาอยู่อย่างนั้นทั้งคืนจนหลับไป

แชจุนนั่งดื่มวิสกี้อยู่ที่บาร์ด้วยสีหน้าแสดงอาการผิดหวังอย่างชัดเจน เขานั่งดื่มอยู่อย่างนั้นคนเดียว แล้วจู่ ๆ คังดาจองก็มาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าเขาอย่างเหลือเชื่อ !

“ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าคุณเห็นอะไรในตัวฉัน คือว่า คืนที่หิมะตก ทีวี และส้ม ห้องในความฝันของคุณ มีแมวด้วยไหมคะ ? อนาคตฉันจะเลี้ยงแมวด้วย” คังดาจองเผยความรู้สึกที่จะมีความฝันร่วมกันกับเขา ซึ่งแชจุนก็ตอบว่ามีด้วยรอยยิ้มแห่งความอิ่มเอม

นับแต่วันนั้น คังดาจองกับแชจุนก็ไปเดตกันและเริ่มเรียนรู้กันและกัน แต่นับวันแชจุนก็เริ่มเพิ่มระดับการทำตัวแปลกประหลาดมากขึ้น กระทั่งมาถึงจุดที่เธอเริ่มรู้สึกตกใจ เมื่อเขาพยายามแอบกดรหัสล็อกเครื่องเพื่อเข้าไปดูโทรศัพท์ของเธอ แล้วจากนั้นเขาก็หายตัวไป ทิ้งข้อความเอาไว้ให้เธอไปเอาของบางอย่างที่เก็บไว้ในล็อกเกอร์

คังดาจองไปเปิดตู้ล็อกเกอร์ก็พบกล่องดนตรีและรูปถ่ายในวัยเด็กตอน 7 ขวบของเธอที่ยืนคู่อยู่กับเด็กชายคนหนึ่ง พร้อมด้วยข้อความในกระดาษที่เขียนเอาไว้ว่า “ฉันตามหามาเป็นเวลานานแล้ว” คังดาจองได้แต่ยืนแน่นิ่งอยู่อย่างนั้น

ในตอนท้ายภาพตัดมาที่อาคารร้างแห่งหนึ่ง แชจุนจอดรถยนต์ BMW ซีรีส์ 5 ของเขาเอาไว้ที่ด้านล่างของตึกแห่งนั้น และตัวเขาก็ไปยืนอยู่ด้านบนของตึก ความมืดปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณ มีเพียงแสงจันทร์เท่านั้นที่ส่องแสงสลัว ๆ ลงมาพอให้เห็นภาพใบหน้าที่ซ่อนความเจ็บช้ำน้ำใจอย่างหาที่สุดไม่ได้เอาไว้ภายในของแชจุน ทันใดนั้นเองเขาก็ตัดสินใจกระโดดลงมา ร่างของเขาตกลงมากระแทกหลังคารถยนต์หรูจากยุโรป กระจกรถแตกเป็นเสี่ยง ๆ เลือดไหลออกมาเป็นทางไม่หยุด !!!

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง จูยองโดได้ตามแชจุนมาก็ได้เห็นร่างของแชจุนนอนจมกองเลือดอยู่บนหลังคารถ เขามองไปด้วยความแปลกใจ …

หมายเหตุ : โซซิโอปาธ (Sociopath) หรือบุคลิกภาพผิดปกติแบบต่อต้านสังคม คล้ายกับไซโคปาธ แต่โซซิโอปาธจะเกิดจากการเลี้ยงดูและสภาพแวดล้อมในวัยเด็ก ส่วนไซโคปาธจะเกิดจากพันธุกรรม โดยส่วนที่แตกต่างกันคือ โซซิโอปาธจะรู้ผิดชอบชั่วดีและมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น (รู้แต่ก็ยังทำ) แต่ไซโคปาธไม่มีรู้สึกผิดและเห็นใจผู้อื่น (แต่อาจจะแสดงออกตรงกันข้ามเพื่อทำให้ตัวเองกลมกลืนในสังคม)

EP.3 คนที่ลูบหัวเธอคือเขาไม่ใช่ฉัน

คังดาจองเปิดกล่องดนตรีที่แชจุนทิ้งไว้ให้เธอในล็อกเกอร์ ในนั้นมีรูปถ่ายของเธอในวัย 7 ขวบกับเด็กชายคนหนึ่ง และในนั้นยังมีจดหมายฉบับหนึ่งที่พิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ …

“ผมเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นด้วยความปรารถนาของผมอย่างแท้จริง

วันที่ 13 มีนาคม 2003 เวลาสามทุ่ม ผมฆ่าคิมมยองจา อาจจะเป็นที่ใช้มีดปอกผลไม้เก่า ๆ ทำให้เลือดไม่ได้ทะลักออกมามากอย่างที่คิดภายในแทงครั้งเดียว ผมเลยต้องแทงซ้ำไปอีกหลายครั้ง มันทำให้ผมหงุดหงิดเพราะว่าเลือดมันเปรอะที่ตัวและเสื้อผ้าของผม

วันที่ 3 มิถุนายนปี 2018 ตอนบ่ายสอง ผมแทงอีจองบอมที่ท้ายซอยของหมู่บ้านโกซี ย่านพุงจี เพราะเขารู้เรื่องของผมมากเกินไป ผมซื้อมีดทำครัวมาในราคาสองวอนจากร้านค้าย่านพุงจี และเพื่อไม่ให้ดูน่าสงสัย ผมจึงซื้อเขียงและถาดมาด้วย

วันที่ 18 ธันวาคม 2020 เวลาตีสอง ผมฆ่าโจควังฮุน เพราะผมรู้ว่าตึกนั้นไม่มีคนอยู่ ผมเลยลงมือโดยไม่เร่งรีบอะไร

เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ไม่ว่าใครเป็นผมก็ต้องทำอย่างที่ผมทำเหมือนกัน เพราะอย่างนั้นผมถึงไม่เสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป นี่เป็นจดหมายสั่งเสียและคำสารภาพของผม เพราะตอนนี้ผมตั้งใจจะจบทุกอย่างลง”

เจ้าหน้าที่ตรวจสอบอัตลักษณ์ศพของแชจุน ปรากฏว่าเขาชื่อชเวจองมิน

คังดาจองนำเอาจดหมายและรูปถ่ายไปที่สถานีตำรวจ เธอให้การกับตำรวจว่าจำเรื่องราวเกี่ยวกับรูปนั้นไม่ได้เลย จำได้แต่เพียงว่าเธอเคยไปโบสถ์แห่งนั้นเพียงครั้งเดียว

ความรู้สึกของคังดาจองไม่ตอนนี้ มันไม่ใช่ทำความเศร้าและความโกรธ แต่มันเหมือนอยู่ในหลอดสุญญากาศที่ว่างเปล่า ไม่มีอากาศหายใจและไม่ได้ยินเสียงใด ๆ

จูยองโดรู้ความรู้สึกของคิมดาจองในตอนนี้เป็นอย่างดี เขาพยายามอยู่กับเธอเพื่อให้ผ่านพ้นในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปให้ได้ เขาจึงอาสาขับรถพาเธอไปเยี่ยมแม่ ระหว่างนั้นเอง คังดาจองได้ระบายความในใจว่า “เขา (แชจุน) ไม่น่าเป็นคนเลวร้ายขนาดนั้นเลย อย่างน้อยฉันก็น่าจะมีสิทธิ์เศร้ามีสิทธิ์ร้องไห้ เป็นแบบนี้ฉันก็เสียน้ำตาให้กับเขาไม่ได้ล่ะสิ” แล้วเธอก็ร้องไห้ออกมา

หัวหน้าโกจินบก ซึ่งพยายามตามสืบหาฆาตกรที่ฆ่าเจ้าหน้าที่อีจองบอมมานานจนเป็นปมที่ติดค้างในใจ เกิดความรู้สึกไม่แน่ใจว่าชเวจองมิน (แชจุน) ใช่คนร้ายตัวจริงหรือเปล่า เพราะหลักฐานทุกอย่างมันเป๊ะจนเซนส์ความเป็นตำรวจของเขารู้สึกถึงความน่าสงสัย แต่จะไม่เชื่อก็ไม่ได้

แต่สำหรับจูยองโด ซึ่งในตอนที่อีจองบอมถูกฆาตกรรม เขาได้รับบริจาคหัวใจจากอีจองบอม จึงทำให้เขามุ่งมั่นที่จะหาตัวฆาตกรมาตลอด แต่ ณ จุดนี้เขาก็ไม่เชื่อว่าชเวจองมินเป็นฆาตกรตัวจริง เขาเชื่อว่าเป็นการบีบบังคับให้ฆ่าตัวตาย เนื่องจากมีจุดแปลกเยอะ อย่างแรกเลยคือชเวจองมินไม่มีเหตุผลที่จะมาตายในตอนนี้ แถมจดหมายสั่งเสียไม่ได้เขียนโดยลายมือ แม้ว่าตำรวจจะพิสูจน์ออกมาแล้วว่าจดหมายฉบับนั้นพิมพ์ออกมาจากเครื่องพิมพ์ที่บ้านของเขาเอง และประโยคที่ใช้ในจดหมายก็ดูไม่เหมือนคนที่กำลังฆ่าตัวตายจะเขียนออกมาแบบนั้น

คังดาจองเริ่มสภาพจิตใจดีขึ้น เธอมาทำงานที่โรงแรมตามปกติ ขณะที่เธอกำลังดูแลความเรียบร้อยของลูกค้าอยู่นั้น เธอเกิดเดินสวนกับลูกค้าชายคนหนึ่งซึ่งมีใบหน้าเหมือนกับแชจุนเป๊ะอย่างกับเป็นฝาแฝดกัน คังดาจองเห็นแล้วถึงกับนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ ในทางกลับกัน เขากลับแสดงท่าทางไม่รู้จักเธอแม้แต่น้อย

ภาพตัดย้อนกลับในอดีตที่โบสถ์นานุมเจอิล เวลานั้นคังดาจองอายุได้ 7 ขวบ เธอเดินไปหาเด็กชายคนหนึ่งแล้วถามว่า “เธอมาลูบหัวฉันทำไม ?” แต่เด็กชายคนนั้นพูดตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแทบจะกระซิบเหมือนกลัวใครจะได้ยินว่า “คนที่ลูบหัวเธอคือเขาไม่ใช่ฉัน”

แท้ที่จริงแล้ว แชจุนหรือชเวจองมินมีฝาแฝด ! หรือสิ่งที่จูยองโดคิดจะเป็นเรื่องจริง ?

EP.4 เดอะดับเบิ้ลไลฟ์ออฟเวโรนิค

คังดาจองถึงกับตกตะลึง เมื่อพบกับแขกที่มาเข้าพักในโรงแรมคนหนึ่งมีใบหน้าและรูปร่างเหมือนกับชเวจองมิน (แชจุน) อย่างกับแกะ เมื่อตั้งสติได้เธอจึงไปตรวจสอบรายชื่อแขกที่มาเข้าพักทันที ปรากฏว่าเขาเดินทางมาจาก L.A. สหรัฐอเมริกา และชื่อของเขาคือ เอียน นอร์มัน เชส เป็นแพทย์ที่เดินทางร่วมทีมมากับคณะแพทย์ เพื่อทำการผ่าตัดเฉพาะกิจให้กับนักธุรกิจระดับสูงคนหนึ่ง

คังดาจองไปพบกับหัวหน้าโกจินบกที่สถานีตำรวจ เพื่อถามเรื่องพี่น้องของชเวจองมิน แต่คำตอบที่ได้คือเขาไม่มีครอบครัวญาติหรือพี่น้องแม้แต่คนเดียว

จากนั้น คังดาจองจึงเล่าเรื่องชายหน้าเหมือนชเวจองมินให้กับจูยองโดฟัง พร้อมกับยกพล็อตของหนังฝรั่งเศสเรื่องหนึ่งขึ้นมาตั้งคำถาม The Double Life of Veronique “มีผู้หญิง 2 คนที่หน้าตาเหมือนกันและเกิดมาในเวลาเดียวกัน คนหนึ่งเป็นคนโปแลนด์ อีกคนหนึ่งเป็นคนฝรั่งเศส พวกเธอไม่ใช่ญาติกันและไม่เคยเจอกันมาก่อนแต่สามารถรับรู้ถึงกันได้ วันหนึ่งคนหนึ่งตายไปอย่างกะทันหัน อีกคนหนึ่งก็ร้องไห้ออกมาโดยไม่รู้สาเหตุ คุณคิดว่าไม่มีจริงไหมคะ?” จูยองโดจึงตอบไปว่า “เป็นไปได้รับ ถ้าสูญเสียคนที่เรารักไป มันจะทำให้เราเชื่อทุกอย่าง”

หัวหน้าโกจินบกเดินทางไปยังโบสถ์นานุมเจอิลที่เป็นโบสถ์ในรูปถ่าย เขาได้ข้อมูลว่าโบสถ์แห่งนี้ถูกเปิดโปงในภายหลังว่าเป็นโบสถ์นอกรีต และยังเปิดสถานรับเลี้ยงเด็กบังหน้า โดยใช้เป็นสถานที่กักขังเด็กอย่างผิดกฎหมาย และกระทำการทารุณกรรมต่อเด็ก

ต่อมาเมื่อหัวหน้าโกจินบกได้เห็นภาพข่าวของเอียน ที่เดินทางร่วมทีมคณะแพทย์เพื่อมาทำการนักรักษาอาการป่วนของนักธุรกิจชื่อดังคนหนึ่ง ทำให้เขาตกใจเป็นอย่างมาก จากนั้นเขาจึงสั่งให้ลูกน้องติดตามดูพฤติกรรมของเอียนทุกฝีก้าว แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่พบความผิดปรกติอะไร

ทีนี้ เหตุการณ์ก็ได้นำพาให้คังดาจองพบกับเอียนอีกครั้งโดยไม่ตั้งใจที่บาร์ที่แทจองทำงานอยู่ เอียนจึงเดินมาหาเธอเพื่อที่จะขอคุยด้วย …

“เราเคยเจอกันที่โรงแรมใช่ไหมครับ ์”
“ใช่ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็น่าจะรู้ว่าผมเป็นใคร ?”
“ค่ะ ฉันรู้”
“คุณชื่ออะไรครับ ?”
“คังดาจองค่ะ”
“คุณคังดาจองรู้จักคนที่หน้าเหมือนผมหรือครับ ?”
คังดาจองเงียบไปหลายวินาทีก่อนที่จะเอ่ยถามออกไป “ชเวจองมิน คุณรู้จักเขาไหมคะ ?”
“ทำไมถึงคิดว่าถามคำถามแบบนั้นกับผมได้ล่ะครับ เป็นครอบครัวเหยื่อที่ต้องการคำขอโทษจากผมเพียงเพราะผมหน้าเหมือนกันเหรอครับ ?” น้ำเสียงของเขาเริ่มเพิ่มระดับแสดงความไม่พอใจมากขึ้น “ผมไม่คิดอยากจะรู้เรื่องของคุณเพราะมันไม่เกี่ยวอะไรกับผมอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น คุณเองก็ไม่ต้องมาอยากรู้เรื่องของผม อย่าให้มีรอบที่สอง ! และอย่ามองผมด้วยสายตาแบบนั้นอีก !”

หลังจากนั้นเพื่อนของเอียนก็เข้ามาห้ามทัพ แล้วบอกกับคังดาจองว่าให้ช่วยเห็นใจเขาด้วยเพราะเขาโดนแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว เมื่อรู้เช่นนั้นคังดาจองจึงเอ่ยคำขอโทษออกไป

หัวหน้าโกจินบกเอารูปของเอียนให้จูยองโดดู เมื่อเห็นเขาถึงกับตกใจ และก็คิดได้ในทันทีเลยว่าเอียนกับชเวจองมินน่าจะเป็นฝาแฝดกัน และมันต้องเกิดอะไรบางอย่างขึ้นที่สถานรับเลี้ยงเด็กเถื่อนที่โบสถ์แห่งนั้นแน่ ๆ

ในตอนท้าย จูยองโดได้เดินทางไปยังอาคารร้างซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุอีกครั้ง เขาเดินขึ้นไปชั้นที่ชเวจองมินกระโดดลงมา และก็ได้พบเอียนอยู่ที่นั่น ทั้งสองได้แต่จ้องหน้ากันอยู่อย่างนั้น …

EP.5 ค่ำคืนที่ผีเสื้อได้โบยบิน

จูยองโดไปที่ตึกร้างที่ชเวจองมินใช้เป็นสถานที่จบชีวิตตัวเองอีกครั้ง ที่นั่นเขาได้พบกับเอียนโดยบังเอิญเป็นครั้งแรก การได้เห็นคนที่มีใบหน้าเหมือนกับชเวจองมินราวกับถอดแบบทำสำเนากันมา ทำให้เขาแปลกใจเป็นอย่างมาก เขาเชื่อแทบในทันทีว่าทั้งสองต้องรู้จักกัน ว่าที่จริงเขาเชื่อว่าทั้งสองต้องเป็นฝาแฝดกันอย่างแน่นอน

วันถัดมา คังดาจองต้องดูแลแขกตัวน้อยที่โรงแรมที่แสนดื้อจนไม่มีพนักงานคนไหนเอาอยู่ เธอเห็นสมุดวาดรูปของเด็กน้อย เธอจึงวิดีโอคอลไปถามความหมายที่ซ่อนอยู่ภายในใจของแขกตัวน้อยกับจูยองโด ซึ่งเขาได้อธิบายว่า “ฝนที่วาดในรูปเป็นเหมือนกับปริมาณความเครียด ในรูปเป็นฝนที่เทลงมาอย่างหนัก แถมยังสาดเข้ามาในที่พักด้วย ส่วนการที่วาดรูปตัวเองไม่มีมือแต่มีขาหมายความว่า เขารู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจสิ่งที่เขาพยายามสื่อสารออกไปเลย”

เมื่อคังดาจองพอเข้าใจความรู้สึกของเด็กน้อย เธอก็เริ่มใช้สกิลที่มีมาตั้งแต่เด็ก นั่นคือการดัดแปลงเนื้อเรื่องในนิทาน เธอหยิบเอาหนังสือนิทานที่เด็กน้อยชอบอ่านเรื่องไดโนเสาร์มาแปลกให้เนื้อเรื่องเป็นไปอย่างที่เด็กน้อยต้องการฟัง จากนั้น เด็กน้อยแสนดื้อก็กลายเป็นเด็กน่ารักได้อย่างน่าทึ่ง

เอียนติดต่อขอเข้าพบตำรวจเพื่อต้องการพูดเรื่องของชเวจองมิน ซึ่งเขาก็ไม่ได้พูดอะไรมานอกจากยืนยันว่าเขาเป็นฝาแฝดกับชเวจองมิน แต่การมาครั้งนี้ของเอียนทำให้เขาได้พบกับจูยองโดอีกครั้ง จูยองโดรู้สึกถึงแววตาอันเย็นชาคู่นั้น แววตาของเด็กหนุ่มที่เขามองผ่านกระจกติดผนังของห้องน้ำร้านเหล้าเมื่อ 18 ปีก่อน และแววตาของชายที่มาท้าทายเขาที่คลินิกในฐานะของผู้ป่วย ซึ่งมันแตกต่างไปจากแววตาของชเวจองมินตอนที่ได้พบกับคังดาจองที่มีแววตาที่เปี่ยมสุข !

แม่ของคังดาจองส่งปลาหมึกจำนวนมากมาให้จูยองโดเป็นของขวัญ เขาจึงไปเลือกซื้อหมวกกันน็อกเพื่อเป็นการตอบแทน ระหว่างนั้นเองความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็พัฒนาไปอย่างเป็นลำดับ

และในค่ำคืนนั้นเอง หิมะก็โปรยปรายลงมา คังดาจองยืนอยู่บนดาดฟ้าเอื้อมมือออกไปคว้าหิมะสีขาว ในขณะที่จูยองโดก็ยืนอยู่ข้าง ๆ เธอตรงนั้น …

“วันนั้น ค่ำคืนปลายฤดูใบไม้ผลิ ค่ำคืนที่หิมะฤดูใบไม้ผลิตกลงมา มันทำใครบางคนใช้เป็นข้ออ้างในการกางปีกที่เคยบาดเจ็บอีกครั้ง และบางคนก็กระพือปีกที่ไม่ได้ใช้มานานแสนนาน แล้วก็ถึงเวลาที่ผีเสื้อจะโบยบิน”

EP.6 ความทรงจำในวัยเด็ก

อันกายอง (อดีตภรรยาของจูยองโด) หนีแฟนหนุ่มของเธอ แพทริค ซึ่งเป็นไอดอลหนุ่มที่กำลังมาแรง โดยการมาอยู่ที่โรงแรมแกรนด์ไฮแอท เพราะเธอไม่ต้องการให้อนาคตของเขาในวงการต้องประสบปัญหาที่ต้องมาคบกับเธอ

วันหนึ่ง แพทริคตามมาดักรอที่หน้าโรงแรม อันกายองจึงขอขึ้นรถคังดาจองเพื่อออกจากโรงแรม แต่ทำไปทำมาเธอก็ยอมรับออกมาตรง ๆ ว่าไม่มีที่ไป และสุดท้ายก็ขอไปอยู่บ้านคังดาจองซะอย่างนั้น คังดาจองก็ถึงกับน้ำท่วมปากพูดไม่ออก ต้องยอมเออออไปอย่างงง ๆ

คืนแรกที่คังดาองต้องรับแขกที่ไม่ได้รับเชิญเป็นถึงดาราดังก็ต้องเจอกับเรื่องปวดหัวเข้าให้ เมื่ออันกายองเป็นคนที่ไวต่อเสียงรบกวน ทำให้คังดาจองต้องยอมแบกไอแพดออกมาทำงานข้างนอกด้วยความเกรงใจ (หรือความอึดอัดก็ไม่ทราบได้) ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่จูยองโดก็ต้องปวดประสาทกับเพื่อน ๆ ที่มาดื่มเหล้าจนเมามายที่ห้องของเขา แถมยังมาพร้อมกับเสียงกรนที่ดังสนั่นจนเขานอนไม่หลับ เขาจึงต้องไปนอนที่คลินิก เมื่อจังหวะและเวลาโป๊ะเช๊ะ ทั้งสองก็มาเจอกัน แล้วก็ชวนกันไปนั่งดื่มชากันที่คลินิก

ด้วยความที่คังดาจองเพิ่งเคยเห็นห้องให้คำปรึกษาของจิตแพทย์เป็นครั้งแรก เธอจึงถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “คนไข้จะนอนบนนั้นเพื่อรับคำปรึกษาหรือคะ ์”
“ก็มีบ้างบางคน แต่คืนนี้ผมจะเป็นคนนอนบนนั้น” จูยองโดตอบแบบติดตลกเล็ก ๆ
“ดูจากในหนังตอนสะกดจิตคนไข้ก็ใช้เก้าอี้แบบนั้นเลย จิตแพทย์สะกดจิตด้วยหรือคะ ?”
“มันแล้วแต่วิธีการของแพทย์แต่ละคน แต่ผมไม่ทำแบบนั้น มันไม่ใช่วิธีการที่ใช้ได้ผลกับทุกคน ขึ้นอยู่กับความไวของคนคนนั้น แล้วคุณคังดาจองอยากลองทดสอบไหมล่ะ ?”
คังดาจองตอบกลับไปด้วยเสียงสูงด้วยสีหน้าตื่นเต้นเหมือนเด็กกำลังตื่นเต้นที่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ “นี่คุณคิดว่าฉันจะโดนสะกดจิตได้ง่าย ๆ เหรอคะ ?”
“อันดับแรก มองไปข้างหน้า จากนั้นก็มองด้านบนโดยคิดว่ากำลังมองคิ้วตัวเองอยู่ แล้วก็มองขึ้นไปเรื่อย ๆ ไปจนถึงกลางกระหม่อม”

แล้วคังดาจองก็ถึงกับตะลึงเมื่อเห็นจูยองโดเหลือกตาจนเห็นแต่ตาขาว ! เธอคิดว่ามันเป็นเรื่องตลกที่เขาทำเพื่อแกล้งเธอ แต่เขาก็ยืนยันว่ามันเป็นเรื่องจริง โดยอธิบายว่าความไวต่อการสะกดจิตจะเท่ากับพื้นที่ของตาขาวที่คนคนนั้นเหลือกได้ แต่คังดาจองก็ยังไม่เชื่อพร้อมกับท้าทายออกมา “มันเป็นเรื่องโกหก ฉันขอพนันด้วยมือขวาของฉันและทรัพย์สินทุกอย่างที่ฉันมีว่ามันเป็นเรื่องโกหก”

จูยองโดเดินไปหยิบหนังสือที่เป็นหลักฐานยืนยันคำพูดของเขาว่าเป็นความจริงเอามาให้คังดาจองดู เท่านั้นแหละเธอถึงกับร้องออกมาเสียงหลงว่าหนังสือนี้เป็นหนังสือปลอม “เท่ากับว่าตอนนี้ผมสามารถไปใช้ดาดฟ้าเมื่อไรก็ได้แล้วนะครับ เพราะถือว่าเป็นทรัพย์สินของผมแล้ว อีกอย่างตอนนี้ผมก็มีสามมือแล้วด้วย เพราะมือขวาของคุณคังดาจองก็เป็นของผมแล้วเช่นกัน” แล้วคืนนั้น คังดาจองก็เผลอหลับไปบนโตUะทำงานภายในคลินิกนั่นเอง

ระหว่างนั้น หัวหน้าโกจินบกก็โกรธจัดที่เจ้าหน้าที่พัค ลูกน้องตัวเองโดนแทง ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่สะกดรอยตามเอียน เขาเชื่อสัญชาตญาณความเป็นตำรวจของตัวเองว่าเอียนเป็นคนร้าย แต่เมื่อตรวจดูภาพจากกล้องวงจรปิดทุกอย่างกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม เอียนกลับเป็นคนที่ช่วยเจ้าหน้าที่พัคเอาไว้ แต่อย่างไรก็ตาม หัวหน้าโกจินบกก็ยังเชื่ออยู่ดีว่าเอียนมีผู้สมรู้ร่วมคิด เขาจึงนำคลิปไปให้จูยองโดตรวจวิธีการเดินของคนร้ายเปรียบเทียบกับเอียน

ต่อมาเอียนตามรอยของชเวจองมินมาเรื่อย ๆ จนมาถึงที่อาคารกูกู ซึ่งเขาได้พบกับคังดาจองโดยบังเอิญ ทั้งสองจึงได้นั่งคุยกัน เอียนถามว่า …

“คุณคังดาจองคิดว่าชเวจองมินวางแผนจะทำร้ายคุณหรือเปล่า ?” คังดาจองนิ่งอึ้งไปนานนับนาที “ฉันตอบไม่ได้เพราะไม่รู้จริง ๆ ค่ะ ถ้าเป็นเขาคนนั้นคนที่ฉันเชื่อใจและไว้ใจ ก็คงไม่ค่ะ แต่ปัญหาคือคนที่ชื่อแชจุนไม่เคยมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ตั้งแต่แรก” แล้วเธอก็ตามเขาเรื่องโบสถ์นานุมเจอิล แต่เอียนก็ปฏิเสธว่าความไม่มีความทรงจำในวัยเด็กเรื่องพวกนั้นอยู่เลย

ในคืนนั้น เอียนกลับไปที่โรงแรม เขากินยานอนหลับไปหลายเม็ดเพื่อข่มตาตัวเองให้หลับ แต่ภาพครั้งเมื่อเขายังเป็นเด็กขณะที่โดนจับไปขายยังตามมาหลอกหลอนเป็นฝันร้ายตลอดทั้งคืน เมื่อถึงรุ่งเช้าคังดาจองซึ่งทำหน้าที่เป็นบัตเลอร์ส่วนตัวให้กับเอียนได้เข้ามาปลุกเขา แล้วจังหวะนั้นเอง เขาก็ตื่นขึ้นมาด้วยท่าทางหวาดกลัว พร้อมกับผลักคังดาจองลงไปนอนกับพื้นก่อนที่เขาจะเข้าไปบีบเธออย่างแรง !

EP.7 คำที่เศร้าที่สุดในโลก

คังดาจองเข้าไปภายในห้องพักของเอียนเพื่อปลุกเขาตามหน้าที่ของบัตเลอร์ แต่เมื่อเขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากฤทธิ์ยานอนหลับ เขาก็ผลักตัวเธอลงไปนอนอยู่กับพื้นพร้อมทั้งบีบคอของเธออย่างแรง แต่สักพักหนึ่งผ่านไป เขาก็รู้สึกตัวแล้วปล่อยมือออกจากคอและมือของเธอ

คังดาจองเลือกที่จะปล่อยผ่าน ไม่แจ้งความหรือเอาเรื่องใด ๆ กับเอียน เธอรู้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ เพราะเมื่อตอนเด็กเธอก็นอนฝันร้ายเป็นประจำเหมือนกัน อีกอย่างเธอก็เข้าไปในห้องพักขณะที่เขานอนหลับอยู่ มันจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ แต่เมื่อจูยองโดเห็นรอยช้ำที่ข้อมือและคอของเธอ จูยองโดกลับออกอาการโกรธอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน …

“ทำไมต้องโกรธขนาดนั้นด้วยคะ ฉันบอกว่าไม่เป็นอะไรไง” คังดาจองลั่นออกไปเมื่อเห็นจูยองโดโกรธเหมือนกับว่าเป็นตัวเขาเองที่เจ็บ
“การที่คุณคังดาจองเจ็บ แล้วผมก็โกรธคนที่ทำให้คุณเป็นแบบนี้มาก ๆ ทั้ง ๆ ที่ผมไม่รู้จักคนคนนั้น แต่ผมเป็นเพียงแค่เพื่อนบ้านก็เลยไม่มีสิทธิ์โกรธ มันเลยเหมือนทำให้ผมดูเป็นคนโง่ ผมรู้สึกอึดอัดที่ต้องเป็นแบบนี้ครับ” หลังพูดจบ จูยองโดก็เดินจากไป ปล่อยให้คังดาจองยืนนิ่งอึ้งอยู่อย่างนั้น แต่สักพักเขาก็กลับมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลลงเป็นปกติ “เดี๋ยวผมเอายามาทำแผลให้ครับ”

อันกายองนั่งบนดาดฟ้าจิบเบียร์กระป๋องกับคังดาจอง แล้วก็เล่าเรื่องความลับที่เป็นเหตุผลที่ทำให้เธอหย่ากับจูยองโด ย้อนกลับไปเมื่อเดือนกันยายน 2015 ในตอนนั้นจูยองโดเป็นที่ปรึกษาให้กับเธอในงานการแสดงซีรีส์เรื่องคุณหมออาชญากร วันหนึ่งหลังจากทนทุกข์กับภาวะซึมเศร้ามานาน อันกายองตัดสินใจไปพบกับจูยองโด …

“อากาศแบบนี้เหมาะสำหรับการแขวนคอจริง ๆ มันเป็นคำพูดในบทละครที่ฉันเล่นเมื่อนานมาแล้ว” อันกายองหันมองไปนอกหน้าต่างของคาเฟ่แห่งหนึ่งที่ฝนตกลงมาไม่หยุด “ถ้าฉันเกิดใหม่ ฉันไม่อยากเป็นนักแสดงอีกแล้ว เพราะในทุก ๆ วันชีวิตของฉันคือละคร มันตลกตรงที่ฉันต้องมาแสดงละครต่อหน้ากล้องอีก”

ในตอนนั้น จูยองโดได้ช่วยอันกายองจากภาวะซึมเศร้าที่กำลังนำพาเธอไปสู่การจบชีวิตของตัวเอง เขาจึงยอมแต่งงานกับเธอเพื่อช่วยให้เธอได้มีชีวิตอยู่ต่อไป อันกายองบอกกับคังดาจองว่า “คนอื่นหย่าร้างกันเพราะมีชีวิตคู่ที่ล้มเหลว แต่เราหย่ากันเพราะประสบความสำเร็จ ฉันดีขึ้นมากหลังจากผ่านไปแค่เพียงปีเดียว”

วันรุ่งขึ้น เอียนได้ขอพบกับคังดาจองเป็นการส่วนตัวและขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ดูเหมือนเธอจะเข้าใจเขาเป็นอย่างดีและไม่ถือโทษโกรธอะไร

ทีนี้ ย้อนกลับไปในวัยเด็กของเอียนกับชเวจองมิน ทำให้เราได้รู้ว่าแม่ของทั้งคู่แจ้งเกิดลูกแฝดของเธอเพียงคนเดียว จะด้วยเหตุผลอะไรไม่ทราบได้ แต่มันทำให้หนึ่งในเด็กแฝดไร้ตัวตนในทางกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ปริศนาว่าใครเป็นฆาตกรก็ยังคงเป็นปริศนาต่อไป

ตัดกลับมาที่ความสัมพันธ์ของจูยองโดกับคังดาจอง ด้วยความที่จูยองโดทำงานอย่างหนักในการดูแลคนไข้ที่มารับคำปรึกษา นานวันเข้าก็ทำให้เขาป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการติดเชื้อจากภาวะอ่อนเพลีย คังดาจองจึงไปเยี่ยมเขาที่บ้าน เขาได้เล่าเรื่องที่เคยได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ “อ้ตราการรอดของผู้ที่ผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจเมื่อผ่านไป 50 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าได้หัวใจที่ดีและได้รับการผ่าตัดโดยหมอที่มีฝีมือแบบผม ก็จะมีอัตราการรอดที่สูงขึ้น”

จากนั้น จูยองโดก็ได้เผยความในใจออกมา “จริง ๆ แล้วผมชอบคุณคังดาจองมากเลยนะครับ ปกติถ้าเราชอบใครสักคนหนึ่ง เราก็มักจะสัญญาในสิ่งที่ไม่สามารถรักษาได้ อย่างเช่น อยู่ด้วยกันตลอดไปนะ แต่สำหรับผม เราเป็นเพื่อนกันดีไหมครับ”

เมื่อคังดาจองได้ฟังคำพูดที่ออกจากปากจูยองโด เธอก็ถึงกับนิ่งไป ในหัวของเธอคิดขึ้นมาว่า “ทุกความสัมพันธ์เริ่มต้นด้วยการบอกรัก บางคู่ก็ได้แต่งงานใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน บางคู่ก็เลิกรากัน แต่ความสัมพันธ์นี้กลับจบลงตอนสารภาพรัก ความรู้สึกที่มีจะเก็บเอาไว้ก็ไม่ได้ จะทิ้งไปก็ไม่ได้อีก คำว่าเพื่อนที่ถูกนำมาใช้จึงกลายเป็นคำที่เศร้าที่สุดในโลก” ในตอนท้าย เธอเข้าไปสวมกอดเขา ทั้งสองกอดกันอยู่อย่างนั้น

EP.8 ดอกไม้พับกระดาษ

คังดาจองเขียนเรื่องราวของเธอโดยใช้ชื่อสมมติเข้าไปในรายการที่จูยองโดเป็นผู้ดำเนินรายการร่วม “ผู้ชายคนคนนั้นสารภาพรักฉัน แล้วประโยคต่อมาเขาก็พูดขึ้นมาว่า เราเป็นเพื่อนกันดีไหมครับ ?” หลังจากที่เรื่องของเธอถูกอ่านในรายการ ก็กลายเป็นประเด็นที่ติดเทรนด์ขึ้นมาทันที โดยคอมเมนต์จำนวนมากต่อว่าผู้ชายคนนั้นว่าโง่

จูยองโดฟังไปก็อึ้งไป เพราะเขารู้ว่าผู้ชายในเรื่องนี้คือตัวเขาเอง ก่อนที่จะพูดออกไปว่า “ผมคิดว่าผู้ชายคนนั้นคงไม่รู้ความรู้สึกของตัวเองเหมือนกัน” ในขณะที่คังดาจองฟังวิทยุอยู่ที่บ้าน เธอก็นั่งลงและร้องไห้โฮออกมา

ต่อมาทั้งสองก็ได้นั่งคุยกันที่สวนสาธารณะ คังดาจองบอกว่า มีหลายอย่างที่เธอไม่ได้เขียนลงไป มันอาจทำให้คนไม่รู้ว่าเรื่องราวทั้งหมดมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง จึงทำให้เกิดคอมเมนต์ในเชิงลบเป็นจำนวนมาก ที่สำคัญคือไม่รู้ว่าผู้ชายที่พวกเขาต่อว่าคือคนที่กำลังจัดรายการอยู่ และเธอก็เอ่ยกับจูยองโดออกไปว่า “ฉันไม่ชอบเพื่อน ซึ่งแน่นอนว่าฉันจะไม่พูดแบบนั้น แต่ฉันชอบจูยองโด และแน่นอนว่าฉันจะไม่พูดตอนนี้”

จูยองโดตอบกลับไปว่า “ผมไม่จำเป็นที่จะพูดว่าเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป เพราะผมเชื่อว่าความเป็นนิรันดร์ไม่มีอยู่จริง ในหนังความยาวสองชั่วโมง สองชั่วโมงมันคือความเป็นนิรันดร์ ผมคิดว่าแค่นั้นก็มากเกินพอแล้ว”

ระหว่างนั้น เอียนได้เดินทางไปตรวจอาการของประธานมาแจกุกก่อนทำการผ่าตัดร่วมกับทีมแพทย์ จากนั้นเขาก็ได้พบกับลูกสาวของประธานมาแจกุกที่มายื่นข้อเสนออันแปลกประหลาด นั่นก็คือขอให้เขาทำให้การผ่าตัดคุณพ่อของเธอ (ประธานมาแจกุก) ล้มเหลว พูดง่าย ๆ ก็คือให้เขาฆ่าพ่อของเธอโดยทำให้การผ่าตัดเกิดการผิดพลาด

แล้วซีรีส์ก็แสดงให้เราเห็นชายปริศนาที่ใส่แมสก์ปิดบังใบหน้า ป้วนเปี้ยนไปมาเหมือนคอยสะกดรอยตามเอียนตลอดเวลา เหมือนพยายามทำให้เราเชื่อว่า เรื่องราวแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นมีลูกสาวของท่านประธานมาแจกุกเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ?

ในตอนท้าย เอียนได้นัดเจอกับคังดาจองที่คาเฟ่ชั้นหนึ่งตึกกูกู ระหว่างที่เขาลุกไปสั่งกาแฟ ปรากฏว่ามีดอกไม้พับกระดาษวางอยู่บนโต๊ะ (คาดว่าน่าจะเป็นชายปริศนาใส่แมสก์นำมาวางไว้) เมื่อเขาหยิบขึ้นมาดูก็เป็นจังหวะเดียวกับที่คังดาจองกำลังเดินเข้ามาในคาเฟ่พอดี เมื่อเธอเห็นเอียนถือดอกไม้พับกระดาษที่เหมือนกับที่แชจุน (ชเวจองมิน) เคยให้กับเธอ จังหวะนั้นคังดาจองถึงกับผงะไปด้วยความตกใจ !?

EP.9 รอยจูบแรก

คังดาจองมาพบเอียนที่คาเฟ่ตามนัด เธอเดินมาถึงประตูก็ถึงกับผงะ เมื่อเห็นเอียนถือดอกไม้พับกระดาษอยู่ในมือ ซึ่งเป็นแบบเดียวกับที่แชจุน (ชเวจองมิน) เคยให้กับเธอ ในตอนแรกเธอคิดจะก้าวเท้าถอยหลังออกไป แต่ให้บังเอิญว่าจูยองโดเดินเข้ามาจับบ่าเธอเอาไว้ คังดาจองจึงรวบรวมสติแล้วเดินไปหาเอียนพร้อมกับเอ่ยขอดูดอกไม้พับกระดาษที่อยู่ในมือของเขา …

“คุณทำอันนี้เองหรือเปล่าคะ ?”
“เปล่าครับ มีคนเอามาวางเอาไว้ มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ ?”
“ขอโทษด้วยนะคะ ถ้าธุระที่คุณต้องการคุยไม่ใช่เรื่องด่วน งั้นวันนี้ฉันขอตัวก่อนนะคะ”

เมื่อเอียนเดินกลับมาที่รถ ก็พบดอกไม้แบบเดียวกันนั้นถูกวางเอาไว้ที่กระจกหน้ารถ

ในคืนนั้นเอง จูยองโดส่งข้อความไปบอกคังดาจองว่าคืนนี้เขาทำงานอยู่ที่คลินิกจนดึก เธอจึงเข้าไปหาเขา ทั้งสองคุยกันเรื่องสัพเพเหระ จนถึงตอนหนึ่งเธอได้เล่าเรื่องบาดแผลในวัยเด็กที่ไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อน สำหรับเธอนั้นการที่จะอ้าปากเล่าเรื่องพวกนี้แต่ละคำมันเป็นเรื่องยาก แต่อย่างไรก็ตาม จูยองโดก็ใช้สกิลความเป็นจิตแพทย์พูดให้เธอผ่อนคลายและเอ่ยปากสิ่งที่ค้างคาในใจออกมา …

“เมื่อตอนฉันอายุ 7 ขวบ แม่ฉัน …” คังดาจองร้องไห้โฮออกมา เหมือนดั่งว่าตัวเองย้อนเวลากลับไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นอีกครั้ง “แม่ฉันถูกทุบตีทำร้าย ฉันกลัวแม่จะตาย ฉันกลัวมากแต่ฉันกลับไม่ได้ทำอะไรเลย” เมื่อจูยองโดเข้าไปโอบกอดหญิงสาวที่ร้องไห้ออกมาไม่หยุด ในขณะที่เสียงสะอื้นยิ่งดังขึ้น ๆ มันเหมือนเป็นน้ำตาที่ถูกสั่งสมมาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 30 ปีเพื่อรอวันที่ถูกปลอดปล่อย

จูยองโดโอบกอดคังดาจองเอาไว้ด้วยความละมุน ก่อนจะค่อย ๆ พูดออกมาว่า “ถ้าคุณคังดาจองเป้นคนไข้ของผม ผมจะถามคุณแบบนี้ครับ ถ้าเด็กเจ็ดขวบคนนั้นอยู่ตรงนี้ คุณอยากบอกเด็กคนนั้นว่าอะไร ? ‘ทำไมเธอถึงนิ่งเฉย เธอควรเข้าไปช่วยแม่สิ’ หรือว่าคุณคังดาจองจะเข้าไปโอบกอดเด็กคนนั้นแล้วพูดว่า ‘หลังจากนี้เมื่อเธอโตขึ้นอย่าทรมานตัวเองเพราะความทรงจำพวกนั้นเลย เพราะเธอไม่ได้ทำอะไรผิด และแม่ของเธอก็จะขอบคุณที่เธอสามารถก้าวพ้นช่วงเวลาอันน่ากลัวนั้น และเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้’ ผมคิดว่าคุณจะบอกเธอแบบนั้นครับ”

หลายวันต่อมา เอียนได้นัดทานข้าวกับคังดาจองอีกครั้ง ระหว่างที่กำลังรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยอยู่นั้น คุณป้าเจ้าของร้านได้มาทักทายเขาด้วยท่าทีที่เป็นมิตรแต่ใช้คำพูดที่ค่อนข้างหยาบคาย จากนั้นคังดาจองได้พูดขึ้นมาว่า “บางทีคุณป้าอาจจะต้องเผชิญกับชีวิตที่ยากลำบาก จึงทำให้ท่านเป็นคนหยาบคาย แต่ว่าความตั้งใจของท่านดูจะเป็นมิตรกับคุณ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เอียนจึงถามคังดาจองกลับไปว่า “ดูเหมือนว่าคุณคังดาจองจะเข้าใจคนอื่นมากนะครับ ที่มองความตั้งใจมากกว่าการกระทำ แล้วคุณคังดาจองเข้าใจผมบ้างหรือเปล่าครับ ? มันเป็นครั้งที่สามแล้วที่คุณคังดาจองมองผมด้วยสายตาแบบนั้น ครั้งแรกที่ลิฟต์ ครั้งที่สองในผับ และล่าสุดก็เมื่อวันก่อน ผมคงเข้าใจผิดไปเองว่าคุณสบายใจขึ้น แต่ความเป็นจริงแล้วคุณคังดาจองยังคงรู้สึกอึดอัดที่ได้เจอผม”

สายตาของเอียนเป็นสายตาที่เย็นชาเรียบเฉยและดูขมขื่น ขณะที่จ้องมองไปที่คังดาจอง

ในตอนท้าย ความสัมพันธ์ระหว่างจูยองโดและคังดาจองเริ่มเบ่งบานจนได้ที่ เขานอนหลับอยู่บนดาดฟ้าแล้วก็ฝันไป เขาฝันว่าตัวเองไม่สามารถลึกซึ้งกับเธอได้มากกว่าคำว่าเพื่อน จนเขาร้องออกมาว่า “อย่าไป” จังหวะนั้นเอง คังดาจองเดินมาปลุก เมื่อจูยองโดลืมตาขึ้นมาก็ยกตัวขึ้นไปจูบกับเธอ ทั้งสองจูบกันอยู่อย่างนั้นท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามอัสดง

EP.10 ไม่ใช่แฟนแต่เป็นคนที่ชอบ

จูยองโดนอนหลับอยู่บนดาดฟ้า เขาฝันว่าตัวเองไม่อาจพัฒนาความสัมพันธ์กับคังดาจองได้ไกลเกินกว่าคำว่าเพื่อน เขาจึงพูดออกมาว่า “อย่าไป” ในเวลาเดียวกันนั้นเอง คังดาจองก็เดินมาปลุก เขาก็สะดุ้งตื่นและก็จูบเธอ

ทั้งสองมอบรอยจูบให้กันและกันสักพักใหญ่ จากนั้นคังดาจองก็ผละตัวออกแล้วเดินไปเดินมาเหมือนทำอะไรไม่ถูก ก่อนที่จะพูดแก้เขินออกไปว่า “เมื่อกี้คุณบอกว่ามีเรื่องคุย” จูยองโดก็อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ “อ๋อ ผมลืมไปแล้วว่าจะพูดอะไร” สถานการณ์ในตอนนี้คือเต็มไปด้วยความขวยเขิน เธอจึงตัดบทด้วยการขอตัวไปนอนซะอย่างนั้น ทำเอาจูยองโดยืนงงงวย เพราะพระอาทิตย์เพิ่งลับขอบฟ้าไปได้ไม่นานก็จะนอนซะแล้ว แบบนี้เขาเรียกว่าเขินแหละดูออก

ต่อมาในวันหยุด จูยองโดกับคังดาจองพร้อมด้วยเพื่อน ๆ จึงนัดไปตั้งจุดกางเต็นท์ด้วยกัน ระหว่างนั้นเองทั้งสองก็ได้มีเวลาเรียนรู้ชีวิตของกันและกันมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะช่วงชีวิตและความรู้สึกที่เกิดขึ้นในวัยเด็ก

ณ จุดนี้เอง จูยองโดแนะนำสถานะของคังดาจองให้คนรู้จักของเขาว่า “ไม่ใช่แฟน แต่เป็นคนที่ชอบ” งานนี้เล่นเอาคังดาจองยิ้มไม่หุบ

ตัดภาพมาที่เอียน ที่ตอนนี้ยืนนิ่งเป็นหุ่นไม้ไผ่ เขายืนนิ่งอยู่อย่างนั้นหลังจากได้อ่านข้อความจากคังดาจอง “ถึงคุณจะบอกว่าไม่ว่านานแค่ไหนคุณก็ยืนยันที่จะรอคำตอบ แต่ฉันคิดว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนคำตอบของฉันก็ยังเหมือนเดิม ขอโทษนะคะ”

วันต่อมามีคนถือมีดเข้ามาโวยวายภายในล็อบบี้ของโรงแรมแกรนด์ไฮแอท ขณะที่คังดาจองกับเพื่อนร่วมงานพยายามคิดหาวิธีควบคุมสถานการณ์ ทันใดนั้นเอง เอียนก็โผล่เข้ามา พร้อมกับใช้มือซ้ายกำมีดที่มือของชายคนนั้น เอียนในตอนนี้ที่สายตาเย็นชาไม่แสดงความรู้สึกเจ็บปวดออกมาเลยแม้แต่น้อย แม้เลือดจะไหลออกมาไม่หยุด แต่เขาก็ยังคงกำมันอยู่อย่างนั้น ในที่สุดชายคนนั้นก็ต้องยอมความบ้าที่บ้ากว่าไปในที่สุด

เอียนทำแผลด้วยตัวเองอยู่ภายในห้อง โดยมีคังดาจองยืนอยู่ใกล้ ๆ …

“มือเป็นอะไรมากไหมคะ เลือดไหลไม่หยุดเลย ?”
“ไม่เป็นไรครับ ปรกติผมถนัดมือขวา”
“ไม่ว่ามือซ้ายหรือมือขวาก็ไม่ควรได้รับบาดเจ็บไม่ใช่เหรอคะ ?”
“ผมทำให้คุณคังดาจองกลัวอีกแล้วเหรอครับ ?” เอียนลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินเข้าไปประชิดตัวคังดาจอง ในขณะที่ก้าวเท้าถอยจนหลังไปติดผนังห้อง “ถึงตอนนี้ก็ยังกลัวผมอยู่เหรอครับ ?”

คังดาจองตอบว่าใช่ จากนั้นก็พยายามเดินออกไปจากห้อง แต่เขาใช้มือกันเธอเอาไว้ แล้วเอียนก็พูดประโยคที่น่าอึดอัดออกมา “คุณคังดาจองเป็นคนฉลาดไม่ใช่เหรอ มือข้างซ้ายเป็นข้างที่เลือดออก แล้วทำไมถึงกลัวมือขวาล่ะ ดูเหมือนคุณจะแยกแยะไม่ออกนะว่าคนที่ทำให้คุณกลัวไม่ใช่ผม” เอียนโน้มตัวเข้าไปใกล้ ๆ หูของคังดาจอง พูดออกไปอย่างแผ่วเบาแต่รุนแรงต่อความรู้สึกยิ่งนัก “ยังโง่เหมือนเดิมเลยนะ !”

ต่อมา เอียนได้ไปเจรจาข้อตกลงบางอย่างกับลูกสาวของท่านประธานมาแจกุก เมื่อเขากลับมาถึงที่พัก เอียนก็เกิดวิงเวียนคล้ายจะเป็นลม ก่อนที่จะหมดสติล้มพับลงไปนอนกองอยู่บนพื้นเขาได้โทรหาคนคนหนึ่ง แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรออกไป

เมื่อเอียนฟื้นขึ้นมาก็พบว่ามือตัวเองเปื้อนเลือด และมีร่างที่ไร้วิญญาณของผู้หญิงคนหนึ่ง (คล้ายกับทนายของเขา) ที่เสียชีวิตจากการโดนมีดแทง ทำให้เกิดประเด็นให้ชวนสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น … เขาเป็นคนฆ่าหรือมีใครอยู่เบื้องหลังจัดฉากขึ้นมา !?

EP.11 ความทรงจำที่คิดว่าลืมไปแล้ว

เจ้าหน้าที่ KSI เข้าทำการเก็บหลักฐานทางนิติเวชที่บ้านพักของเอียน ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมโนฮยอนซู ในขณะที่เอียนให้ปากคำกับหัวหน้าโกอยู่ที่สถานีตำรวจ

สิ่งแรกที่เอียนขอให้ตำรวจทำคือตรวจร่างกายเขาเพื่อหาสารบางอย่าง ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นสารที่คนร้ายใส่เอาไว้ในเหล้าทำให้เขาหมดสติไป โดยเขาให้เหตุผลว่าต้องรีบตรวจก่อนที่สารเหล่านั้นจะสลายออกไปจากร่างกาย จากนั้นเขาก็เข้าให้การกับหัวหน้าโกจินบกโดยไม่รอทนายความ …

“หลังจากดื่มเหล้าแก้วนั้นผมก็สลบไปประมาณ 3 ชั่วโมง และด้วยสารนั้นไม่มีสีไม่มีกลิ่น ผมจึงสันนิษฐานว่าเป็นยา GHB (Gamma-Hydroxybutyric Acid)”
“มีคนแอบอยู่ในบ้านพักของคุณ และคนคนนั้นก็วางยาในเหล้า มีเหตุผลที่ทำให้คุณคิดว่าเป็นแบบนั้นไหมครับ ?” หัวหน้าโกจินบกพยายามร้อยเรื่องราว
“นั่นเป็นความเป็นไปได้เดียวที่ผมนึกออกในตอนนี้ครับ”
“คุณเอียนลงมือสังหารคุณโนฮยอนจู จะบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ใช่ไหมครับ ?”
“ครับ เป็นไปไม่ได้”

ตัดภาพมาที่ดาดฟ้าของตึกกูกู อันกายองกับพัคอึนฮากำลังมองต่างมุมกันในเรื่องความรัก ระหว่างนั้นเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์คังดาจองก็ดังขึ้น ซึ่งเป็นสายของจูยองโด ในตอนนั้นเองคังดาจองได้แกล้งทำเป็นเหมือนว่าหัวหน้างานที่โรงแรมโทร. มาหาเพื่อคุยเรื่องงาน ก่อนที่คังดาจองจะขอตัวและเดินเข้าไปในบ้าน เพื่อแอบไปคุยสายกับจูยองโด ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเก็บความสัมพันธ์นี้ไว้เป็นความลับ แต่ทว่า อันกายองกับพัคอึนฮารู้ตั้งแต่วินาทีแรก แต่ทั้งสองก็ตกลงกันว่าจะแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง เพื่อจะไม่ทำให้คังดาจองรู้สึกอึดอัด

ทีนี้ น้องชายของคังดาจองโทร. มาแจ้งข่าวเรื่อง (คนที่เรียกว่า) พ่อเสียชีวิต แถมยังทิ้งหนี้ก้อนโตเอาไว้ให้ต้องจัดการ จากนั้นทั้งสองก็เดินทางไปหาแม่เพื่อจัดการเรื่องหนี้ที่เกิดขึ้น แต่แม่ให้ทั้งสองเลิกสนใจเรื่องนี้ซะ เพราะเธอไปทำเรื่องกับทนายเรียบร้อยแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ความทรงจำที่ทุกคนอย่างลืมมากที่สุดในชีวิตได้ยืนกลับมาสร้างความเจ็บปวดให้กับพวกเขาอีกครั้ง กับคนที่เรียกว่าพ่อ

ในตอนท้าย ระหว่างที่จูยองโดกำลังขับรถ จู่ ๆ ก็เกิดอาการหายใจไม่ออกขึ้น เขาจอดรถเอาไว้กลางถนน และเปิดประตูเดินออกจากที่กลางถนน

EP.12 ห้านาทีสุดท้ายกับผู้ชายขยะ

หัวหน้าโกจินบกได้ภาพบันทึกจากกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งเอาไว้ภายในห้องพักของเอียน ซึ่งเป็นกล้องที่โนฮยอนจูแอบซ่อนเอาไว้เพื่อดูพฤติกรรมของเอียน จากภาพดังกล่าวแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเอียนไม่ใช่ฆาตกร และในภาพก็เห็นหน้าของฆาตกรตัวจริงชัดเจน

ลูกสาวของท่านประธานมาแจกุกนัดพบกับเอียน เธอเล่าว่ากล้องวงจรปิดที่แอบซ่อนเอาไว้ตัวนั้น ถูกติดตั้งเอาไว้ตั้งแต่สมัยที่ชเวจองมินยังมีชีวิตอยู่ เธอบอกด้วยว่าการที่เธอต้องทำแบบนี้ก็เพราะต้องการรู้จุดอ่อนของคนที่จะมาทำงานสำคัญให้กับเธอ และชเวจองมินก็เป็นเพียงคนเดียวที่มีสายเลือดเดียวกับเขา …

“กล้องตัวนั้นถูกติดตั้งตั้งแต่เมื่อไร ?”
“คุณอยากจะดูอะไรเหรออ วันก่อนที่น้องชายคุณจะตายหรือวันที่จะตาย” แล้วเธอก็ยื่นยูเอสบีไดรฟ์ให้กับเขา

ในคืนนั้นเอง ฆาตกรคนนั้นถูกรถยนต์ปริศนาพุ่งเข้าชนจนลงไปนอนกับพื้น ก่อนที่จะมีชายปริศนาเดินลงมาจากรถอีกคันมาเอากระเป๋าแล้วจากไป

ข่าวลือเรื่องการคบกันของอันกายองกับแพทริกแพร่กระจายไปทั่วโลกออนไลน์ ทำให้เกิดกระแสต่อต้านเป็นอย่างมาก อันกายองมาพักที่โรงแรมแกรนด์ไฮแอทที่คังดาจองทำงานอยู่เพื่อรับมือกับสถานการณ์ เธอจัดแถลงข่าวขึ้นที่โรงแรมปฏิเสธข่าวลือที่เกิดขึ้น ด้วยสกิลการเป็นนักแสดงมืออาชีพทำให้เรื่องราวผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แต่จังหวะนั้นเองแพทริกก็ปรากฏตัวขึ้นที่โรงแรมในสภาพอำพรางใบหน้าด้วยการสวมหมวก เมื่อหลังจบการแถลงข่าว คังดาจองจึงจัดพื้นที่ห้องประชุมส่วนตัวให้ทั้งคู่ได้คุยกัน …

“นายมาที่นี่แบบนี้ก็แย่สิ”
“ผมแค่อยากมาเห็นหน้าเพื่อให้สบายใจ”
“ตอนนี้นายต้องเชื่อฟังที่บริษัทบอก แล้วบอกไปว่าจะไม่มาเจอฉันแล้ว แล้วไม่ต้องคิดจะมาเจอฉันจริง ๆ ด้วย แล้วก็ห้ามโทร. มาตอนที่ผู้จัดการอยู่ด้วย” อันกายองแสดงความเป็นผู้ใหญ่ออกมา
“เราต้องโกหกไปถึงเมื่อไร ?”
“จะถามทำไม ก็ต้องโกหกจนกว่าจะตายน่ะสิ ในกรณีนี้การโกหกถือว่าเป็นการเอาใจใส่นะ การที่จะบอกว่า ‘พวกเธอจะเป็นยังไงก็ช่าง ขอฉันพูดความจริงเพื่อให้ตัวเองสบายใจก็พอ’ การทำแบบนั้นน่ะเป็นการเห็นแก่ตัวมากที่สุด รู้มั้ย”
“แล้วถ้าพวกเขารู้ว่าเราโกหกล่ะ แบบนั้นจะไม่แย่กว่าเดิมเหรอ ?”
“ฮัลโหล ทุกอย่างมีได้มีเสีย ถ้าไม่อยากโกหกแล้วทำไมนายถึงเลือกมีแฟนล่ะ”
“นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดใช่มั้ย ?”
“ถ้าไม่ทำแบบนี้แล้วนายมีไทม์แมชชีนไหมล่ะ นายย้อนเวลากลับไปแล้วมาเกิดปีเดียวกับฉันได้มั้ย ทำให้การแต่งงานของฉันและการหย่าของฉันไม่เคยเกิดขึ้นได้มั้ย ข่าวลือแย่ ๆ ที่มีชื่อของฉันพ่วงไปด้วย นายสามารถลบมันออกไปได้หมดไหมล่ะ … กลับไปเถอะ เพื่อนฉันจะพานายออกไปจากที่นี่เอง”

ตัดกลับมาที่จูยองโดที่ตอนนี้นอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลจากอาการที่เรียกว่า ร่างกายต่อต้านอวัยวะใหม่ ซึ่งก็เป็นเรื่องปรกติที่เกิดขึ้นได้กับคนไข้ที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าการที่เขาป่วยแบบนี้ทำให้เขาเริ่มรู้สึกไม่มั่นคงในความสัมพันธ์กับคังดาจอง เพราะเขากลัวว่าสักวันหนึ่งเขาจะทำให้เธอต้องเสียใจเมื่อต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ยิ่งเมื่อเขาไปคุยกับแม่ของคังดาจอง และเธอก็บอกว่าขออย่าให้ป่วยและอยู่กับคังดาจองไปนาน ๆ มันก็ยิ่งทำให้เขาคิดที่จะยุติความสัมพันธ์นี้

จูยองโดปิดเรื่องที่เขาป่วยไม่ให้คังดาจองรู้ วันหนึ่งขณะที่นอนอยู่โรงพยาบาล เขาขอหมอออกไปข้างนอกเพื่อมาหาคังดาจองเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งเขาได้รับอนุญาตให้ออกมาได้เป็นเวลา 1 ชั่วโมง เมื่อมาถึงที่ทำงานของคังดาจองเขาบอกเธอว่ามีเวลาคุยกัน 5 นาที ซึ่งมันทำให้เธอแปลกใจว่าเขาจะเดินทางมาไกลเพื่อมาเจอกันแค่ 5 นาทีทำไม

อย่างไรก็ตามในที่สุดคังดาจองก็รู้ว่าเขาป่วย และต่อมาเธอก็รู้ว่าเขาต้องการจะเลิกกับเธอเพราะไม่ต้องการให้เธอร้องไห้ให้กับเขา (เมื่อเวลาที่เขาต้องตายจากไป) จากนั้นทั้งสองก็มาเจอกันที่ดาดฟ้า …

“ทำไมต้องทำให้ฉันเหมือนเป็นคนโง่ด้วย ตอนนั้นคุณมาที่โรงแรมทำไมคะ แค่บอกว่าป่วนแล้วเจอกันทีหลังไม่ได้เหรอ นั่นเป็นเพราะคุณเตรียมที่จะเลิกกับฉัน โดยจะใช้เวลา 5 นาทีนั้นเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของเราอย่างนั้นเหรอ สุดท้ายคุณก็จะหนีฉันไป ไร้ความรับผิดชอบ ขี้ขลาด แถมยังตัดสินคนอื่นตามใจชอบ”
“คุณคังดาจองชอบผู้ชายแบบนี้ไม่ใช่เหรอครับ ผมก็เป็นแบบที่คุณชอบไง ผู้ชายขยะ”
“ใช่ค่ะ แต่ฉันตัดสินใจจะเปลี่ยนแปลงแล้ว”
“งั้นก็ตามนั้นแหละครับ”
“ทำไมคุณถึงทิ้งฉันไปแบบนี้ !!?” เมื่อคังดาจองพูดประโยคนี้จบ จูยองโดก็ไม่ได้ตอบอะไรและเดินจากไป

ในคืนนั้นเอง เมื่อจูยองโดกลับไปถึงบ้าน เขาก็ทรุดลงไปกับพื้นร้องไห้อยู่คนเดียวอยู่อย่างนั้น …

EP.13 ยืนยันความรู้สึกที่มีต่อกัน

แม่ (มุนมิรัน) มาหาคังดาจองที่บ้านบนดาดฟ้าตึกกูกู ทั้งสองนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน คังดาจองซึ่งอยู่ในสภาพจิตใจที่อ่อนไหวจากความเสียใจถามแม่ของตัวเองว่า “คนเราจำเป็นต้องมีความรักไหม ?” มุนมิรันตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่มั่นคง น้ำเสียงที่ผ่านประสบการณ์มามากมาย “มนุษย์ก็ต้องมีความรักสิ เราไม่ได้ใช้ชีวิตแค่กิน ๆ นอน ๆ” คังดาจองถามแม่ว่าเชื่อในความรักหรือเปล่า แม่ตอบกลับไปแทบจะทันทีด้วยความมั่นใจ “แม่จะไม่เชื่อในความรักได้ยังไงล่ะ ในเมื่อลูกก็คือบทพิสูจน์ในความรักของแม่”

คังดาจองยังคงไม่เข้าใจว่าตัวเธอเป็นบทพิสูจน์ในความรักของแม่ได้อย่างไร ในเมื่อความรักของแม่มันมีแต่ความเสียใจมาโดยตลอด แม่จึงอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ด้วยประโยคสั้น ๆ ว่า “ไม่ว่าความรักนั้นมันจะเฮงซวยห่วยแตกแค่ไหน แต่ยังไงมันก็หลงเหลือสิ่งที่สวยงามให้เราอยู่เสมอ ลูกเป็นหลักฐานสำคัญที่พิสูจน์เรื่องนั้น”

วันต่อมา มุนมิรันได้พบกับจูยองโดเพื่อขอโทษเรื่องที่เธอพูดตอนที่อยู่คังนึงว่า “ไม่ให้เขาป่วย” เธออธิบายว่า “มันเป็นคำพูดที่งี่เง่ามาก ๆ เพราะใคร ๆ ก็สามารถป่วยกันได้ทั้งนั้น แต่ตอนนั้นฉันกลับพูดราวกับว่ามันเป็นความผิดมากที่ป่วย ฉันขอโทษนะ”

และเมื่อจูยองโดถามถึงคังดาจองว่าเป็นอย่างไรบ้าง มุนมิรันก็บอกว่า “อ๋อ เธอสบายดี แต่ร้องไห้เหมือนเด็กน้อยเลยล่ะ เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นลูกสาวร้องไห้หนักขนาดนั้น มันก็ไม่แปลกหรอก ถ้าใครเจอสถานการณ์แบบนี้แล้วหัวเราะก็บ้าแล้ว ร้องไห้ก็เป็นเรื่องปรกตินั่นแหละ”

อย่างไรก็ตาม ระหว่างนั้นสถานการณ์ก็นำพาให้ทั้งสองได้มาเจอกัน เผชิญหน้ากันอยู่หลาย ไม่ว่าจะเป็นในงานเลี้ยงของผู้เช่าตึกกูกู ซึ่งท่าทีของคังดาจองและจูยองโดก็เป็นไปอย่างเฉยเมยและเย็นชา กระทั่งต่อมา จูยองโดได้พบกับคังดาจองโดยบังเอิญที่ข้างทาง ขณะที่เขาพยายามก้มลงไปหยิบของที่เธอทำหล่น คังดาจองกลับตอบไปด้วยประโยคที่แสนเจ็บปวดไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ …

“ปล่อยมันไว้แบบนั้นเถอะค่ะ ไม่รู้เหรอครับว่าการเลิกกันมันเป็นแบบนี้ ต่อให้อยากช่วยก็ช่วยไม่ได้ จะห่วงก็ห่วงไม่ได้ และแม้จะเป็นคนเดียวที่หัวเราะไปกับเราแต่ก็ไม่สามารถพูดกับเขาได้อีก เรามาไกลเกินกว่าจะทำอะไรด้วยกันอย่างสบายใจแล้วค่ะ แค่พยายามจะลบความทรงจำที่ผ่านมามันก็ใช้เวลามากพอแล้ว ขออย่าเอาความทรงจำมาเพิ่มให้ฉันอีกเลยค่ะ เพราะงั้นควรทำเป็นมองไม่เห็นแล้วไปเถอะค่ะ” คังดาจองพูดจบแล้วย่อตัวลงไปเก็บของแล้วรีบเดินจากไป ทิ้งให้จูยองโดยืนสตั๊นงงงันอยู่อย่างนั้น เขาทำได้เพียงหันหลังกลับไปมองเธอด้วยดวงตาอันแดงก่ำ เขาทำได้เพียงแค่นั้นจริง ๆ

สามสาวเพื่อนซี้ คังดาจอง, อันกายอง และพัคอึนฮา ไปพักผ่อนตั้งแคมป์จุดกางเต็นท์ด้วยกัน ระหว่างนั้นพัคอึนฮาตัดสินใจเอาคลิปที่เพื่อนสนิทของจูยองโดแอบบันทึกเอาไว้ให้คังดาจองดู ในคลิปจูยองโดกล่าวความในใจของเขาที่มีต่อคังดาจองออกมา …

“ฉันอยากไปหาเธอมาก ฉันคิดถึงเธอมาก ไม่ว่าจะ 10 ปีหรือ 20 ปี ฉันก็อยากย้อนเวลากลับไป ต่อให้เจ็บปวดและต้องผ่าตัด หรือจะต้องทำทั้งหมดอีกครั้งฉันก็ยินดี ฉันอยากอยู่กับเธออีกครั้ง” คังดาจองดูคลิปนั้นจบ น้ำตาของเธอก็ไหลออกมา

คังดาจองโทร. ไปหาจูยองโด พร้อมกับกล่าวว่า​ “ฉันก็ทำใหม่ทั้งหมดได้อีกครั้งค่ะ ฉันยอมเจ็บปวดอีกครั้ง ฉันยอมทำมันทั้งหมดได้ค่ะเพราะมันคือเรื่องจริง … คุณมาหาฉันที่นี่ได้ไหมคะ ให้ฉันอยู่ข้าง ๆ คุณได้ใช่ไหมคะ ?”

ทั้งสองได้พบกัน จูบกัน เป็นการยืนยันความจริงใจของกันและกัน (อีกครั้ง)

EP.14 กลับมาคบกันอีกครั้ง

คังดาจองและจูยองโดแสดงความรักผ่านการจูบอย่างหวานซึ้ง …

จากนั้น จูยองโดขับรถไปส่งคังดาจองที่บ้าน พอมาถึงเขาก็รีบเปิดประตูลงไปจากรถเพื่อที่จะเดินอ้อมมาเปิดประตูให้กับคังดาจอง แต่เธอไม่รู้จึงเปิดประตูไปกระแทกจูยองโดอย่างแรง ทำให้เธอถึงกับตาถลนออกมาด้วยความตกใจ คังดาจองยิงคำถามออกไปด้วยความแปลกใจ “ทำไมคุณถึงมาอยู่ตรงนี้ ?” จูยองโดจึงตอบกลับไปแบบเขิน ๆ ว่า “ผมจะเดินมาเปิดประตูให้คุณ” 😁

คังดาจองทำหน้างง ๆ เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ จูยองโดถึงต้องมาเปิดประตูให้ ซึ่งเขาก็บอกว่าต้องการทำดีกับเธอ จากนั้นเขาก็ยื่นมือให้ คังดาจองจับมือเขาพร้อมกับก้าวลงมาออกนอกรถ แล้วเขาก็จูงมือเธอไปส่งที่บ้าน เมื่อเดินมาจนถึงหน้าบ้าน จูยองโดก็ยังจับมือคังดาจองไม่ยอมปล่อย เขาจับอยู่อย่างนั้นด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข

หลังจากสั่งลากันสักพัก คังดาจองจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “ฉันไปส่งคุณที่รถดีไหมคะ เพราะคุณเดินมาส่งฉันถึงหน้าบ้าน ถ้าฉันเดินกลับไปส่งคุณที่รถ เราจะได้เท่าเทียมกันไง” จูยองโดหัวเราะออกมาแล้วก็จูงมือเธอเดินกลับไปที่รถอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อมาถึงรถ หลังจากร่ำลากันสักพัก จูยองโดก็พูดขึ้นมาว่า “ผมรู้สึกไม่สบายใจที่ไม่ได้ไปส่งคุณคังดาจองที่บ้าน” คังดาจองยิ้มเล็ก ๆ ออกมาพร้อมกับตอบกลับไปว่า “แต่นี่ฉันเดินมาส่งคุณนะคะ” แล้วจูยองโดก็เดินไปส่งคังดาจองที่บ้าน (อีกครั้ง)

หลังเดินส่งกันไปมาอยู่อย่างนั้น ท่าทางจะคงได้ถึงเช้ากันพอดี สุดท้ายจูยองโดจึงปล่อยมือคังดาจองและบอกให้เธอกลับเข้าบ้าน แล้วเขาก็เดินกลับไปที่รถอย่างมีความสุข มันเป็นความสุขจริง ๆ มันเป็นความสุขที่ไร้สิ่งใดเจือปนจริง ๆ เมื่อกลับถึงบ้าน ทั้งสองก็คุยโทรศัพท์กันต่ออีกจนถึงตีสามครึ่ง

ในตอนท้าย เอียนได้พบกับคังดาจองแล้วสารภาพเรื่องโบสถ์ในวัยเด็ก เขาจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมด “คุณคังดาจองเคยบอกว่าอยากเป็นลูกสาวของคนข้างบ้าน ตอนนั้นที่โบสถ์มีเด็กคนหนึ่งลูบหัวคุณคังดาจอง กับเด็กอีกคนที่โมโหใส่คุณคังดาจอง และกระซิบข้าง ๆ หูคุณว่า ‘คนที่ลูบหัวเธอไม่ใช่ฉัน ยัยโง่’ เพราะทั้งสองคนนั้นใช้ชื่อเดียวกัน น้องชายที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ต้นไม้ในวันนั้นได้อยู่ที่เกาหลี และตามหาคุณคังดาจองอยู่เป็นเวลานาน และอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นพี่ชายถูกส่งไปอเมริกา”

EP.15 ฆาตกรรมบริสุทธิ์

คังดาจองมีความสุขที่ได้ออกเดตกับจูยองโดที่บ้านของเธอ เธอได้วาดรูปถ่ายของของกับจูยองโดแล้วติดไว้ที่ผนังบ้าน จูยองโดเลยทำการวิเคราะห์รูปที่วาดออกมาว่า “ดวงตาเบิกกว้างสื่อว่าตั้งใจมองดูโลก ซึ่งเข้ากับอาชีพของคุณคังดาจองได้เป็นอย่างดี … ในรูปวาดสิ่งที่สะดุดตามากที่สุดก็คือผมของคุณ ซึ่งคุณวาดหนามาก ๆ ความหมายของมันเกี่ยวกับเรื่องเพศ ถ้าพูดตรง ๆ ก็คือมันสื่อถึงความต้องการทางเพศ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น คังดาจองถึงกับหน้าแดงแล้วรับเดินหนีออกไปทันที โดยลืมไปว่ามันเป็นบ้านของเธอเอง 😁

ต่อมาเดินทางไปคังนึงเพื่อเยี่ยมแม่ ในตอนนั้นแม่ได้กล่าวขอโทษคังดาจอง “แม่ขอโทษนะที่ไม่ได้เลี้ยงดูแกเป็นอย่างดี ที่แกมีวันนี้ได้ก็เพราะตัวแกเอง … แม่เป็นคนใจแคบใช่มั้ย ?” คังดาจองยิ้มให้แม่ของเธอ “แม่เป็นคนที่ใจดีที่สุดในโลกเลยค่ะ”

ตัดภาพมาที่เอียน ซึ่งได้เดินทางมาหาหัวหน้าโกเพื่อสารภาพเรื่องราวที่เกิดขึ้น “เด็กอายุ 18 ปีคนนั้นที่ไปหาฮวังแจชิกไม่ใช่ชเวจองมิน แต่เป็นผม … ชเวจองมินที่ผมคิดว่าจะได้ใช้ชีวิตที่ดีแทนผมที่ต้องจากไปอยู่อเมริกากลับอยู่ในสภาพที่แย่กว่าผมอีก คนที่เรียกว่าแม่ที่ทอดทิ้งผมไป ตายในสภาพที่น่าอดสู ส่วนผู้ชายที่ขายลูก ๆ เพื่อให้ตัวเองอิ่มท้องกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวยิ่งกว่าเดิม ฉะนั้นตอนที่เขากำลังจะตาย ผมจึงปลอมตัวเป็นน้องชายและให้การเท็จกับตำรวจ”

เอียนเล่าต่อ “ต่อมาผมได้ไปเจอหนังสือเรื่อง ‘ฆาตกรรมบริสุทธิ์’ (วรรณกรรมออนไลน์ที่อื้อฉาวที่สุดในปี 1997 เล่าเรื่องราวคำสารภาพแสนวิปลาสของฆาตกรคนหนึ่ง)”

สรุปคือ เอียนคิดว่าน้องชายของเขาน่าจะมีชีวิตที่ดีกว่าหากอยู่ที่เกาหลีกับ (คนที่เรียกว่า) แม่และ (ผู้ชายที่เรียกว่า) พ่อ แต่ความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะชเวจองมินกับถูกทารุณกรรมต่าง ๆ นานา เขาจึงปลอมตัวเป็นน้องชายแล้วจัดการทุกอย่าง

เอียนในวัยเด็กไปหาฮวังแจชิกเพื่อจ้างให้ไปฆ่าคนที่มีส่วนในการค้ามนุษย์ แต่มันไม่จบง่าย ๆ เมื่อฮวังแจชิกกลับมาขู่ชเวจองมินว่าจะฆ่าคังดาจอง ทำให้เขาเลือกที่จะฆ่าตัวตายเพื่อให้คังดาจองปลอดภัย

EP.16 ตอนจบ

จูยองโดกำลังกะหนุงกะหนิงป้อนขนมให้กับคังดาจองอยู่ที่คาเฟ่ชั้นหนึ่ง ความหวานของทั้งคู่ทำเอาคนโสดถึงกับมองค้อน ระหว่างนั้นความจริงบางอย่างที่คังดาจองรู้ ทำเอาเธอถึงกับตาเบิกกว้างอ้าปากหวอด้วยความตกใจ ความจริงที่ว่านั้นก็คือ แทจอง น้องชายของเธอกำลังมีความสัมพันธ์ของกับพัคอึนฮา เพื่อนสนิทของเธอ !

คังดาจองตกใจแทบบ้า เหมือนกำลังจะโกรธแต่ก็ไม่โกรธ เหมือนจะช็อกแต่ก็ไม่ถึงขั้นนั้น มันเป็นช่วงเวลาที่อธิบายได้ยากจริง ๆ แต่ที่แน่ ๆ คือลึก ๆ แล้วคังดาจองก็ยินดีที่ทั้งสองคบกัน

ต่อมาตึกกูกูได้มีการปิดปรับปรุง ทำให้จูยองโดชวนคังดาจองไปใช้ช่วงเวลาด้วยกันในแทบชนบทอันเงียบสงบ ทั้งคู่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

ในตอนท้าย เอียนได้คิดทบทวนการกระทำของเขา เรื่องราวดำเนินมา ณ จุดนี้ ก็เป็นเพราะเขาเลือกที่จะทำไม่ดี “ถ้าฉันไม่กลับไปหาชเวจองมินอีกครั้งด้วยความโกรธ ถ้าฉันบอกความจริงในวันที่ฉันเห็นการตายในตอนนั้น ถ้าฉันไม่ไปหาฮวังแจชิก (ทุกอย่างคงไม่เป็นแบบนี้)”

เอียนยังต้องใช้ชีวิตอยู่กับบาดแผลในจิตใจต่อไป เขาเข้าไปรับการรักษาจากจิตแพทย์ที่สหรัฐอเมริกา และเขาก็ยังคงต้องทนทุกข์อยู่กับความหม่นหมองที่เกิดขึ้นภายในใจของตัวเองต่อไป

จบบริบูรณ์

Photos: tvN Korea