Lovers of the Red Sky สปอยล์ : เรื่องราวความรักของจิตรกรสาวสุดเทพ ฮงชอนกี กับฮารัม ชายหนุ่มตาบอดผู้มีสกิลการอ่านดวงดาวบนท้องฟ้า !?
EP.1 ฟ้าสีแดง
EP.2 จิตรกรหญิงผู้เลอเลิศ
EP.3 โถอันเป็นนิรันดร์
EP.4 การแข่งขันวาดภาพแมจุกฮอน
EP.5 จิตวิญญาณอันแรงกล้า
EP.6 ความทรงจำที่ไม่อาจลบเลือน
EP.7 สามเส้า
EP.8 ภาพเหมือนกษัตริย์ที่ถูกเผา
EP.9 ร่างที่ผนึกพญามาร
EP.10 จิตรกรผู้วาดภาพเหมือนกษัตริย์
EP.11 แหวนแห่งโชคชะตา
EP.12 ความรักที่ลึกซึ้งถึงเพียงนี้
EP.13 พิธีปิดผนึก
EP.14 ล่อเสือออกจากถ้ำ
EP.15 ความจริงอันปวดใจ
EP.16 ตอนจบ
เรต 15+ คะแนน 6/10 เรตติ้งเฉลี่ย 9.0%
แนว : โรแมนติก แฟนตาซี
EP.1 ฟ้าสีแดง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว … มนุษย์อาศัยอยู่ร่วมกับสิ่งเหนือธรรมชาติที่มองไม่เห็น หนึ่งในนั้นคือ ยายซัมซิน เทพที่มีลักษณะรูปร่างเป็นหญิงชราใจดี และเป็นร่างที่สถิตของเทพอีกสามองค์ นั่นก็คือ เทพแห่งการกำเนิด, เทพแห่งความตาย และเทพผู้รักษาความสมดุล
ทีนี้ ปัญหามันเริ่มเกิดขึ้นเมื่อเทพแห่งความตายพยายามทำลายเทพแห่งความสมดุล ทำให้ความสมดุลระหว่างความเป็นและความตายพังทลาย มีผลทำให้โลกนี้ถูกครอบงำด้วยความหวาดกลัว ตอนนั้นเอง พญามารได้ทำการแยกตัวออกจากร่างของยายซัมซิน และมาอาศัยอยู่บนความโลภอันชั่วร้ายของมนุษย์
พระเจ้ายองจงที่เป็นใหญ่ขึ้นมาได้เพราะมีพญามารอยู่ในร่าง แต่เมื่อนานวันเข้าพระองค์ก็เกิดกลัวว่าจะควบคุมพญามารเอาไว้ไม่อยู่ จนกลายเป็นเหตุแห่งการนองเลือด พระองค์จึงทำการสละราชบัลลังก์ให้กับพระราชโอรส (ซึ่งต่อมาคือพระเจ้าซองโจ) และได้ทำพิธีกรรมที่เรียกว่า การผนึกพญามารให้เข้าไปอยู่ในรูปวาดของพระองค์
ในคืนวันทำพิธีพระเจ้ายองจงและเหล่าขุนนางทั้งหลาย สามารถผนึกพญามารเข้าไปอยู่ในรูปวาดได้สำเร็จ แต่มันก็ได้เกิดเหตุการณ์อีกหลายอย่างขึ้นในเวลาเดียวกัน …
ประการแรก ก่อนพญามารจะถูกผนึกเข้าไปในภาพวาด มันได้ทำการสาปแช่งเอาไว้ “จากนี้ไป พวกเจ้าทุกคนจะต้องทนทุกข์จากภัยแล้งและความอดอยาก ลูกหลานพวกเจ้าจะต้องอยู่กับความมืดมิดไม่มีที่สิ้นสุด ลูกหลานพวกเจ้าจะไม่มีวันวาดภาพได้อีก”
ประการที่สอง ในคืนนั้นภรรยาของจิตรกรที่วาดภาพของพระเจ้ายองจงได้ให้กำเนิดลูกสาวท่ามกลางฝูงหมาป่า ด้วยความกลัวว่าลูกจะได้รับอันตราย นางจึงอ้อนวอนขอต่อยายซัมซินให้มาช่วย “ท่านซัมซินช่วยปกป้องลูกของข้าด้วยเถิด” นางพูดซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้นจนในที่สุดยายซัมซินก็ปรากฏตัวขึ้น และจัดการไล่เหล่าหมาป่าที่กำลังเข้ามารุมทำร้ายทารกตัวน้อยหนีไปจนสิ้น
ยายซัมซินโอบกอดทารกตัวน้อยเอาไว้ในอ้อมกอดด้วยความเอ็นดู ก่อนที่จะเอ่ยว่า “มัน (พญามาร) ทำให้เจ้าต้องตาบอด มันอำมหิตไม่เปลี่ยนเลยจริง ๆ เจ้าหนูข้าถอนคำสาปให้เจ้าไม่ได้นะ แต่ข้าจะจับคู่เจ้ากับผู้ที่จะปกป้องเจ้า” ทารกน้อยยิ้มออกมาขณะอยู่ในอ้อมกอดของยายซัมซิน
ประการที่สาม พ่อของเด็กน้อย (จิตรกรผู้วาดรูปภาพ) โดนพลังของพญามารทำร้ายระหว่างการทำพิธีจนกลายเป็นคนสติไม่สมประกอบ
ประการที่สี่ หลังเสร็จพิธีพระเจ้ายองจงได้สั่งฆ่าท่านฮาชองจิน ขุนนางผุ้ทำพิธีผนึกพญามารเข้ากับรูปวาด
ภัยแล้งและอดอยากทั้งแผ่นดิน
9 ปีต่อมา ในรัชสมัยของพระเจ้าซองโจปีที่ 9 ราษฎรทั้งแผ่นดินต้องประสบพบเจอกับความอดอยากจากภาวะภัยแล้งเป็นเวลาต่อเนื่องยาวนานถึง 9 ปี มีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่คิดว่า เป็นเพราะกษัตริย์ไม่มีคุณธรรมจึงถูกเทพเจ้าลงโทษเช่นนี้ ทำให้มีซู ในฐานะร่างทรงหลวง ต้องเดินทางออกตามหาผู้ที่จะมาบูชายัญในการทำพิธีขอฝน
ทีนี้ เด็กชายที่มีซูต้องการนำไปทำพิธีบูชายัญขอฝนก็คือ ฮารัม (รับบทโดย อันฮโยซอบ) ลูกชายของฮาซองจิน (ขุนนางที่ถูกกษัตริย์องค์ก่อนสั่งเก็บ แต่เขารอดชีวิตมาได้) เนื่องจากฮารัมเกิดมาพร้อมกับพลังวารี
แม้ฮาซองจินจะไม่พอใจแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เพราะเป็นคำสั่งจากวังหลวง เขาจึงพาฮารัมเข้าวังหลวงเพื่อทำพิธีขอฝน ระหว่างทางเขาบังเอิญได้ไปเจอเข้าไปชายนักวาดภาพข้างถนนที่สติไม่สมประกอบ ที่มีลูกสาวตาบอดชื่อ ชอนกี (รับบทโดย คิมยูจอง) แต่ที่สิ่งน่าตกใจคือฮาซองจินจำได้ว่าชายคนนั้นคือจิตรกรที่วาดภาพ
ณ จุดนี้เอง ชอนกีกับฮารัมได้มาเจอกัน ตามที่ยายซัมซินได้ให้สัญญาไว้
เพียงชั่วเวลาเพียงวันเดียวที่ฮารัมกับชองกีได้ใช้ชีวิตไปเที่ยวเล่นด้วยกัน แต่มันทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ชอนกีพาฮารัมไปที่สมาคมจิตรกรแบคยู และอธิบายว่าทำไมเธอถึงชอบมาที่นี่ทั้ง ๆ ที่เธอตาบอด “เจ้าลองหลับตาดูสิ เมื่อเจ้าหลับตาเจ้าก็จะได้ยินเสียง เสียงพู่กันขยับบนกระดาษ เมื่อข้าได้ยินเสียงเหล่านี้ ถาพต่าง ๆ ก็จะผุดขึ้นมาในหัวของข้า พอภาพเหล่านั้นมันผุดขึ้นมา มันทำให้ข้ารู้สึกดีมาก ๆ เลย พูดง่าย ๆ คือข้ามองโลกใบนี้ผ่านเสียง”
ระหว่างนั้นยายซัมซินก็เฝ้าดูเด็ก ๆ ทั้งสองอยู่ไม่ห่าง ขณะที่เด็ก ๆ ทั้งสองต่างรู้สึกผูกพันกันในระยะเวลาอันสั้น นั่นอาจจะเป็นเพราะชอนกีไม่เคยมีเพื่อนมาก่อน เธอเล่าให้ฮารัมฟังถึงสิ่งที่เธอต้องเผชิญตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา “ข้าตาบอดมาแต่กำเนิด แม่ของข้าก็ต้องมาตายในวันที่ข้าเกิด ส่วนท่านพ่อก็ต้องกลายเป็นคนสติไม่สมประกอบ ข้าไม่เคยมีเพื่อมาก่อนเลย เพราะใคร ๆ ต่างก็หาว่าข้าเป็นตัวซวย”
ฮารัมได้ยินเรื่องราวชีวิตอันน่าเศร้าของชอนกีแล้วก็ได้แต่ปลอบใจ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของชอนกี ดังนั้นจึงไม่ควรโทษตัวเอง เรื่องที่เกิดขึ้นอยู่เหนือความสามารถของมนุษย์ที่จะจัดการได้ จากนั้นเขาก็สัญญากับชอนกีว่า เมื่อทำพิธีขอฝนเสร็จแล้วจะไปเก็บลูกท้อให้เธอกิน
ในการประชุมที่ท้องพระโรง มีการโต้เถียงกันเรื่องการทำพิธีขอฝน มีซูต้องการทำพิธีบูชายัญมนุษย์ “เมื่อร้อยปีก่อนก็มีผู้สังเวยชีวิตเพื่อทำพิธีขอฝนเช่นเดียวกัน เพื่อให้เหล่าทวยเทพหายโกรธและประธานฝนลงมาให้” แต่เหล่าขุนนางคนอื่น ๆ ไม่เห็นด้วย เพราะการบูชายัญมนุษย์เป็นการขัดต่อหลักคำสอนของขงจื๊อและเม่งจื้อ และถือเป็นเรื่องเลวร้ายมาก สุดท้ายพระเจ้าซองโจจึงตัดสินให้ทำพิธีขอฝนเพียงอย่างเดียว โดยไม่ให้มีการทำพิธีบูชายัญมนุษย์
อย่างไรก็ตาม มีซูตัดสินใจที่จะฝ่าฝืนคำสั่งของฝ่าบาท เพราะเธอเชื่อว่าการทำพิธีขอฝนโดยไม่มีการบูชายัญมนุษย์เป็นการทำพิธีที่ไร้ประโยชน์
บูชายัญมนุษย์
ในวันทำพิธีขอฝน องค์ชายจูฮยางได้เดินเข้าไปเที่ยวเล่นในตำหนักคยองวอน ซึ่งเป็นที่เก็บรักษาภาพวาดของกษัตริย์องค์ก่อน ๆ ซึ่งโดยปรกติจะเป็นเขตหวงห้าม หากแต่วันนี้เป็นวันทำพิธีทำให้ไม่มีทหารยามเฝ้า
ทีนี้ เมื่อองค์ชายจูฮยางเดินเข้าไปในตำหนัก ก็ได้ยินเสียงเรียกจากพญามารที่ถูกผนึกเอาไว้ในรูปวาดของกษัตริย์องค์ก่อน “เจ้าจะได้เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่” พญามารเรียกองค์ชายแบบนั้นซ้ำ ๆ จนความทะเยอทะยานอยากภายในใจขององค์ชายจูฮยางกระตุ้นให้พนะองค์ทำอะไรบางอย่างที่ไม่ควรทำ พระองค์เดินเข้าไปฉีกยันต์ และตัดสินใจเผาภาพวาดนั้น !!!
พญามารถูกปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง แต่มันไม่อาจจะเข้าสิงร่างขององค์ชายจูฮยางได้ เพราะองค์ชายพกยันต์ศักดิ์สิทธิ์ติดตัวเอาไว้
ในส่วนของลานทำพิธี ที่ทำบริเวณริมสระน้ำภายในวังหลวง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่มีซูกำลังทำพิธีบูชายัญมนุษย์โดยไม่มีใครรู้ ทันใดนั้นเอง พญามารก็มาเข้าสิงฮารัมจนทำให้เขาตกน้ำไป ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ชอนกีกำลังวิ่งมา จู่ ๆ ก็ตกน้ำลงไปเช่นกัน
ขณะที่ร่างของเด็ก ๆ ทั้งสองดำดิ่งลงไปสู่ก้นสระและหมดสติไป ยายซัมซินก็ปรากฏตัวขึ้นมา พร้อมกับมอบดวงตาและพลังของฮารัมไปให้ชอนกี นั่นเป็นเพราะยายซัมซินไม่ต้องการให้พญามารสามารถใช้พลังได้ขณะที่สิงอยู่ในร่างของฮารัมนั่นเอง “เจ้าได้เสียสละช่วยผู้คนนับหมื่นนับพัน พญามารเจ้าจงสถิตอยู่ในร่างของเด็กคนนี้เถิด แต่ข้าจะพรากดวงตาและพลังของเข้าไป เจ้าจะไม่สามารถใช้พลังของเจ้าได้อีก จนกว่าจะได้ดวงตาของเจ้าคืน”
จากนั้น ยายซัมซินก็พูดกับชอนกี “เจ้าเป็นเด็กที่จะมากอบกู้โลกใบนี้ ข้าจะให้ดวงตาคู่นี้อยู่กับเจ้าช่วงเวลาหนึ่ง จงลุกขึ้นมาแต่งเติมโชคชะตาของเจ้าเถิด”
ร่างของฮารัมลอยขึ้นมาจากน้ำ เมื่อเขาฟื้นได้สติขึ้นมาก็ตกใจที่ตัวเองมองไม่เห็นอะไรเลย ในทางตรงกันข้าม ชอนกี
พระเจ้าซอนโจมีรับสั่งให้จับกุมร่างทรงมีชูเพราะถือว่าขัดพระบัญชาที่ใช้ชีวิตของ ฮารัมมาบูชายัญ ฮารัมฟื้นขึ้นมาโดยที่มองไม่เห็นอะไรอีก ในขณะที่ชอนกีฟื้นอยู่อีกที่หนึ่งและมองเห็นทุกสิ่งรอบตัวของนาง
EP.2 จิตรกรหญิงผู้เลอเลิศ
หลังจากพิธีขอฝนผ่านพ้นไป พระเจ้าซองโจจึงมีรับสั่งให้ทำการซ่อมภาพวาดของพระเจ้ายองจง เพื่อจะได้ทำพิธีผนึกพญามารกลับเข้าไปในภาพวาดอีกครั้ง เพราะเป็นทางเดียวที่จะหยุดพญามารได้ แต่ดูเหมือนว่าเรื่องที่พระเจ้าซองโจประสงค์จะไม่เกิดขึ้น ปัญหาคือไม่มีใครพบเบาะแสของพญามารเลยนับแต่วันนั้น อีกทั้งจิตรกรฮงอึนโอก็กลายเป็นคนสติฟั่นเฟือนไม่สมประกอบไปเสียแล้ว
19 ปีต่อมา เป็นปีที่ 31 ในรัชสมัยของพระเจ้าซองโจ …
ตอนนี้ชอนกีโตเป็นสาวแล้ว เธอกลายเป็นจิตรกรระดับชั้นเอกอุที่วาดภาพเลียนแบบเพื่อหาเงินไปรักษาพ่อ ฮงอึนโอที่วันเวลาผ่านไปหลายสิบปีแล้ว แต่เขาก็ยังคงเปิดแผงรับวาดรูปที่ตลาดอยู่เหมือนเดิม และในภาพจำของเขาก็ยังคงจำชอนกีเป็นเด็กหญิงตาบอดตัวน้อยอยู่เหมือนเดิม ทุกวันของเขาวันลูปกลับมาเป็นวันเดิมซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น
ด้วยความที่ภาพเลียนแบบเป็นสิ่งผิดกฎหมายในสมัยนั้น ชอนกีจึงต้องแอบไปวาดภาพเหล่านั้นตอนกลางคืน พูดง่าย ๆ ก็คือหมุดหมายเดียวของเธอคือการรักษาพ่อให้หายจากอาการสติฟั่นเฟือนให้ได้
ชอนกีนำเงินที่สะสมไว้อย่างยากลำบากจากการขายภาพวาด ไปซื้อยาวิเศษหายากจากพ่อค้าชาวจีน โดยพ่อค้ายาอ้างสรรพคุณว่า ยาทรงกลมเม็ดสีทองนี้ได้มาจากเต่าอายุนับหมื่นปี ซึ่งเมื่อกินเข้าไปอาการจะดีขึ้นนับตั้งแต่วินาทีแรก ชอนกีดีใจเป็นอย่างมากรีบจ่ายเงินแล้วเดินทางไปหาท่านพ่อในทันที
แต่ปรากฏว่า มันเป็นยาปลอม ที่ไม่มีผลทางด้านการรักษาแม้แต่นิดเดียว !
ตัดภาพมาที่ฮารัม แม้จะตาบอดแต่ก็เป็นที่เลื่องลือในด้านความเป็นหนุ่มรูปงาม อีกทั้งความสามารถของเขาก็มีอยู่มากหลาย เขาเป็นนักโหราศาสตร์ในวังหลวงที่ใช้หลักการดูดาวในการทำนายทายทัก สกิลความเทพของเขาเป็นที่ยอมรับของพระเจ้าซองโจเป็นอย่างมาก
แต่อย่างไรก็ตาม แม้ในด้านสว่างเขาจะเป็นเพียงบัณฑิตหนุ่มตาบอดในวังหลวง แต่อีกด้านหนึ่ง เขาเป็นเจ้าของฉายานามอิลวอลซอง เจ้าของวอลซองดังที่รับทำนายดวงชะตาผู้คนที่แม่นยำราวกับตาเห็น ไม่ต่างอะไรกับขงเบ้งแม้แต่นิดเดียว แต่ทว่าไม่เคยมีใครเคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของอิลวอลซอง ดังนั้น ตัวตนในมุมนี้ของฮารัมจึงถูกปกปิดเป็นความลับ
ว่าที่จริง ฮารัมยังคงเก็บงำความแค้นเอาไว้ ความแค้นที่มีราชโองการสั่งให้ฆ่าพ่อแม่ของเขาตายไปต่อหน้าต่อตา ทั้ง ๆ ที่ทำคุณงามความดีให้กับแผ่นดินไว้มากหลาย ไม่ว่าการเสี่ยงชีวิตผนึกพญามารของท่านพ่อ หรือแม้แต่การที่เขาต้องเสียดวงตาไปในพิธีขอฝนเมื่อ 19 ปีที่แล้ว ฮารัมตั้งใจที่จะแก้แค้นให้ได้ และดูเหมือนว่าเวลานั้นใกล้มาถึงเต็มทีแล้ว
ฮารัมรู้เรื่องราวในอนาคตมากมาย แต่เขาเลือกที่ไม่เล่าเรื่องการคิดก่อการกบฏขององค์ชายจูฮยาง (องค์ชายที่เผาภาพวาดที่ผนึกพญามารเอาไว้นั่นแหละ) ให้พระเจ้าซองโจได้รับรู้
ด้านชอนกีเมื่อรู้ว่าโดนหลอกให้ซื้อยาปลอมก็วางแผนที่จะเอาคืน นางสืบจนรู้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังก็คือพ่อค้าภาพที่นางเอาภาพไปขายนั่นเอง นางจึงวางแผนให้พ่อค้าภาพโดนทางการจับกุมในข้อหาขายภาพปลอม
อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดพ่อค้าภาพก็ได้รับการปล่อยตัวในที่สุด โดยการจ่ายสินบนเป็นเงินก้อนโต ทีนี้การตามล่าตัวชอนกีจึงเริ่มขึ้น เพราะเขารู้ดีว่านางเป็นคนวางแผนทำให้เขาต้องติดคุก
ชอนกีวิ่งหนีการไล่ล่าของพ่อค้าภาพจนมาเจอเข้ากับเกี้ยวของฮารัม นางจึงขอเข้าไปหลบอยู่ในนั้น ทั้งสองได้มาเจอกันเป็นครั้งแรกในรอบ 19 ปี ในตอนนั้นเอง เซนส์ของฮารัมกระตุ้นเตือนให้เขานึกถึงเด็กสาวตาบอดคนนั้นเมื่อ 19 ปีก่อน เขาไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ ถึงได้นึกถึงเด็กหญิงตาบอดคนนั้นขึ้นมา “ทำไมนางถึงทำให้ข้าคิดถึงเด็กผู้หญิงคนนั้นได้นะ”
ระหว่างเดินทางอยู่ในเกี้ยวด้วยกัน ชอนกีเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฮารัมฟัง ก่อนที่นางจะชมว่าดวงตาของเขาช่างงดงามเหลือเกิน “ดวงตาท่านช่างงดงามเหลือเกิน เหมือนอัญมณีสีเพลิงเลย” ฮารัมแปลกใจที่นางชมว่าตาของเขาสวย “ไม่เคยมีใครพูดกับข้าแบบนี้มาก่อนเลย ใครเห็นดวงตาของข้าก็มองว่าข้าเป็นตัวประหลาดทั้งนั้น”
แต่ทันใดนั้นเองก็เกิดเรื่องประหลาดขึ้น เมื่ออยู่ดี ๆ ดวงตาของชอนกีเปล่งสีแดงออกมา แล้วฮารัมก็เกิดอาการแปลกประหลาดขึ้นมา แล้วเหตุการณ์ตอนที่เขาจมน้ำก็ผุดในหัวของเขา จังหวะนั้นเองฮารัมสั่งให้หยุดเกี้ยวและขอให้ชอนกีลงไปจากเกี้ยวเดี๋ยวนี้ … ชอนกีลงจากเกี้ยวไปด้วยความมึนงงว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ ๆ ถึงมาไล่ลงกลางทางแบบนี้
ต่อจากนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นภายในเกี้ยวเป็นเรื่องน่ากลัวเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด ม่านหมอกสีดำได้ลอดออกมาจากเกี้ยว บัดนี้ ฮารัมได้กลายเป็นพญามารไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว !
พญามารเอ่ยวาจาออกมาว่า “เจ้าพลาดแล้วล่ะ ฮารัมเอ๋ย ในวันเหมายันที่พลังหยินแกร่งกล้าเช่นนี้เจ้ายังกล้าออกมานอกวังหลวง” ในขณะที่พญามารรู้แล้วว่าดวงตาของมันอยู่กับชอนกี !!!
EP.3 โถอันเป็นนิรันดร์
พญามารที่ถูกผนึกอยู่ในร่างฮารัมได้ปรากฏตัวขึ้นมาเป็นครั้งแรก เพราะวันนี้เป็นวันที่เรียกว่าวันเหมายันซึ่งเป็นวันที่พลังหยินกล้าแกร่งมาก และฮารัมได้เดินทางออกมานอกวังหลวง สิ่งที่มันต้องการคือดวงตาของมัน และมันรู้แล้วว่าดวงตาของมันอยู่กับชอนกี
ในขณะที่ชอนกีกำลังเดินเท้ากลับไปยังสมาคมจิตรกร โดยที่ไม่รู้ว่าพญามารกำลังตามล่าตัวนางเพื่อเอาดวงตาของมันคืน จังหวะนั้นเองยายซัมซินก็ปรากฏตัวขึ้นเพื่อช่วยให้ชอนกีรอดพ้นจากพญามาร ยายซัมซินได้ทำให้ชอนกีหลับ และใช้พลังอำพรางตัวไม่ให้พญามารมองเห็น
แต่มันเกิดผิดแผน เมื่อผ่านไปชั่วเวลาหนึ่ง ชอนกีตื่นขึ้นมาแล้วก็ลุกลี้ลุกลนจะกลับ พญามารจึงพุ่งเข้ามาหมายจะควักลูกตาของมันคืน แต่ทันใดนั้นเอง ทุกสิ่งอย่างก็หยุดนิ่งประหนึ่งกดปุ่ม pause พร้อมกับการปรากฏตัวของพยัคฆี เทพผู้ปกปักรักษาหุบเขาแห่งนี้ “ดินแดนแห่งนี้อยู่ภายใต้การปกปักของข้า ออกไปจากหุบเขานี้เดี๋ยวนี้” เทพพยัคฆีลั่นใส่พญามาร แต่ไม่ทันสิ้นเสียง พญามารก็โจมตีเข้าใส่พยัคฆี
การต่อสู้ดำเนินไปไม่นานนักก็เห็นชัดเจนว่าพยัคฆีแข็งแกร่งกว่ามากมายนัก จังหวะนั้นเอง พยัคฆีจึงจะซัดพลังสุดท้ายเพื่อหมายสังหารพญามาร แต่ทว่ายายซัมซินก็ปรากฏตัวขึ้นและได้ห้ามพยัคฆีเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยเหตุผลออกมา “พญามารไม่มีวันตายหรอก ข้าผนึกพญามารเข้าไว้กับร่างของชายผู้นั้น ถ้าเจ้าฆ่าเขาตาย พญามารก็จะเป็นอิสระ สิ่งที่จะต้องทำก็คือ ทำให้พญามารออกจากร่างของชายผู้นั้นแล้วผนึกพญามารไว้กับโถอันเป็นนิรันดร์”
แล้วยายซัมซินก็อธิบายต่อว่า ชอนกีจะเป็นผู้ที่ปั้นโถอันเป็นนิรันดร์ขึ้นมา “เมื่อถึงเวลานางจะทำได้เอง นางเป็นทายาทแห่งโชคชะตา” จากนั้นยายซัมซินก็บอกให้พยัคฆีให้ช่วยปกป้องคนทั้งสองให้ปลอดภัยจนกว่าจะถึงวันนั้น เพราะถ้าปล่อยให้พญามารฟื้นขึ้นมาได้ก็จะเกิดเหตุการณ์นองเลือดครั้งใหญ่ขึ้นอีกครั้ง
หลังจากพยัคฆีและยายซัมซินไปแล้ว ทุกอย่างก็เหมือนถูกกดปุ่ม play กลับมาอีกครั้ง ณ จุดนั้นเอง ร่างของฮารัมที่โดนพยัคฆีซัดไปห้อยต่องแต่งอยู่บนต้นไม้ก็ร่วงลงมาทับชอนกีที่ยืนอยู่ตรงนั้นพอดี ชอนกีจึงแบกฮารัมขี่หลังไปพักฟื้นอยู่ที่เรือนแห่งหนึ่งบนเขาจนผล็อยหลับไป
ระหว่างนั้นทางวังหลวงก็วุ่นวายเป็นการใหญ่กับการหายตัวไปของฮารัม พระเจ้าซองโจจึงพระราชโองการให้ออกตามหาฮารัมอย่างเร่งด่วน แม้ว่าขุนนางฝ่ายในบางคนดูจะไม่เห็นด้วยกับการที่ฝ่าบาทให้ความสำคัญกับฮารัมมากจนเกินไป
เช้าวันรุ่งขึ้น ชอนกีเห็นฮารัมอาการไม่ดีขึ้นจึงไปตามหมอให้มาดูอาการ
ระหว่างนั้นเอง องค์ชายยังมยองใช้สุนัขดมกลิ่นออกตามหาฮารัม โดยเริ่มต้นจากจุดที่เกี้ยวหยุดเป็น และดูเหมือนสุนัขดมกลิ่นจะตามรอยฮารัมได้อย่างแม่นยำ
ด้านชอนกีเองเมื่อกลับมาพบฮารัมฟื้นขึ้นมาแล้วดูอาการดีขึ้นมากก็ดีใจเป็นการใหญ่ ฮารัมจึงถามว่านางชื่ออะไร และเขาก็ถึงกลับแปลกใจเมื่อปรากฏว่าชอนกีคือเด็กสาวคนเดียวกับเมื่อ 19 ปีก่อนจริง ๆ เขาจึงคิดว่าการกลับมาพบในครั้งนี้ต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญธรรมดา ๆ อย่างแน่นอน
EP.4 การแข่งขันวาดภาพแมจุกฮอน
เมื่อชอนกีบอกชื่อของนาง ทำให้ฮารัมแน่ใจว่าชอนกีคือเด็กสาวคนเดียวกับที่เขารู้จักเมื่อ 19 ปีก่อน และการที่เกิดเรื่องบังเอิญเช่นนี้ ทำให้ฮารัมมั่นใจว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาอย่างแน่นอน
องค์ชายยังมยองใช้สุนัขดมกลิ่นจนตามหาฮารัมจนเจอ และเมื่อองค์ชายได้เจอกับชอนกีก็แอบส่งสายตาอ่อนโยนให้กับนาง เป็นการบ่งบอกว่าพระองค์แอบชอบนางเมื่อแรกเห็น แต่ในทางตรงกันข้าม ชอนกีกลับไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นองค์ชาย แถมยังบอกด้วยว่า ถ้าเป็นองค์ชายจริง ๆ นางก็คงได้เป็นพระชายาขององค์ชายไปแล้ว แหม่ … แต่เมื่อได้รู้ว่าพระองค์เป็นองค์ชายจริง ๆ ก็ถึงกับหน้าเหวอกันเลยทีเดียว
แม้ฮารัมจะปลอดภัย แต่พระเจ้าซองโจก็ยังไม่สบายพระทัย ทั้งเรื่องที่พญามารปรากฏตัว แถมยังมีลางร้ายจากการที่ฝูงนกฮูกมาเกาะหลังคาในวังหลวง ที่บ่งบอกว่ากำลังจะมีความตายและหายนะเกิดขึ้น อีกทั้งอาการป่วยของพระองค์ทรุดลงทุกวัน ทำให้ทรงกังวลเรื่องการสละราชสมบัติให้องค์รัชทายาท จึงสั่งให้ฮารัมหาฤกษ์สำหรับพิธีโดยเร็ว
อาจารย์ชเววอนโฮไม่ต้องการให้ชอนกีเข้าร่วมการแข่งขันวาดภาพแมจุกฮอน จึงไม่ได้ใส่รายชื่อชอนกีเข้าแข่งขัน นางจึงแอบใส่รายชื่อตัวเองลงไป เมื่อนำรายชื่อไปส่ง ชอนกีไม่อยากสู้หน้าองค์ชายยังมยองเพราะรู้สึกผิดที่เคยล่วงเกินพระองค์ไปก่อนหน้านี้ ที่หาว่าพระองค์ไม่ใช่องค์ชายตัวจริง จึงปลอมตัวโดยทำเป็นแต่งตัวสวย และคิดว่าองค์ชายยังมยองคงจะจำนาง
แต่เรื่องกลับไม่เป็นไปตามที่ชอนกีคาด เพราะองค์ชายยังมยองจำนางได้ ทีนี้เมื่อองค์ชายบอกว่าชนิดกับอาจารย์ของชอนกี นางจึงไม่ยอมมอบรายชื่อให้พระองค์ ทำให้เกิดการยื้อแย่งจนกระดาษรายชื่อขาดเป็นสองส่วน ชอนกีเกือบล้มหงายหลังแต่ฮารัมเข้ามารับเอาไว้ได้ทัน หลังจากนั้นฮารัมก็ทำตัวเป็นเป็นโซ่กลางไกล่เกลี่ยเรื่องบาดหมางระหว่างชอนกีกับองค์ชาย
อาการของฮงอึนโอ พ่อของชอนกีทรุดหนักจนเกือบถึงวาระสุดท้ายของชีวิต หมอจึงแนะนำชอนกีว่าวิธีเดียวที่ยังพอมีความหวังอยู่บ้างก็คือยาชองชิมวอน แต่ปัญหาคือมีเพียงเชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่มียาชนิดนี้ ชอนกีตั้งใจจะชนะการประกวดวาดภาพในครั้งนี้ให้ได้เพื่อจะได้นำยามารักษาท่านพ่อ เพราะได้ยินมาว่าองค์ชายยังมยองจะทำตามคำขอของผู้ที่ชนะการประกวด
ในส่วนของฮารัมก็วางแผนบางอย่างในงานแมจุกฮอน เพราะเขามั่นใจว่าเป็นโอกาสทองที่จะได้แก้แค้น
ชอนกีถูกจับได้ว่าแอบใส่ชื่อของตัวเองเข้าไปในการแข่งขันวาดภาพ อาจารย์ชเววอนโฮจึงลงโทษโดยการขังนางไว้ แต่ชายลึกลับที่มีดวงตาสีเขียวใช้พลังปลดล็อกห้อง และบอกกับชอนกีว่าเขามาเอารูปภาพมุนแบ หลังจากมอบภาพให้แล้วก็เกิดพลังบางอย่างระหว่างภาพวาดกับดวงตาของเขา ชอนกีจึงถือโอกาสนี้วิ่งออกไปหาพ่อที่ตลาดและบอกว่าจะนำชัยชนะกลับมาให้ได้
เมื่อไปถึงหน้างาน ชอนกีไม่มีบัตรประจำตัว ฮารัมจึงบอกว่าเขาจะพานางเข้าไปในงานนี้เอง
EP.5 จิตวิญญาณอันแรงกล้า
ขณะที่ชอนกีกำลังโดนโจทก์เก่าเข้ารุมทำร้ายระหว่างเข้างานประกวดภาพวาด ฮารัมได้เข้ามาจัดการกลุ่มชายฉกรรจ์พวกนั้นจนหนีกันป่าราบ และอาสาพานางเข้าไปภายในงานประกวดด้วยตัวเอง งานนี้ทำเอาชอนกีทึ่งในสกิลการต่อสู้ของฮารัมเป็นอย่างมาก เพราะสามารถสู้กับพวกอันธพาลได้อย่างชิล ๆ แม้ตาจะมองไม่เห็น เขาจึงบอกว่าเป็นเพราะฝึกการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก
การประลองได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว โดยจะแบ่งออกเป็นสองช่วง ระหว่างที่เหล่าจิตรกรกำลังรังสรรค์ผลงานของตัวเองอยู่นั้น เสียงสะบัดปลายพู่กันทำให้ฮารัมคิดถึงเด็กหญิงคนนั้นเมื่อ 19 ปีก่อนขึ้นมาจับใจ แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็คิดว่าถ้าเด็กคนนั้นเป็นชอนกีจริง ๆ โชคชะตาพวกเขาทั้งสองมันได้จบลงไปแล้วตั้งแต่วันนั้นแล้ว เหนือสิ่งอื่นใด แผนการแก้แค้นที่เตรียมเอาไว้จะต้องดำเนินต่อไป เพราะโอกาสนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุด
หมดเวลาช่วงแรก องค์ชายยังมยองประเมินผลงานของชอนกีไม่ผ่านการคัดเลือกให้เข้ารอบต่อไป แม้ว่าผลงานของนางจะโดดเด่นและงดงามเพียงใดก็ตาม เพราะพระองค์เชื่อว่านางคือจิตรกรวาดภาพเลียนแบบที่พระองค์กำลังตามหาอยู่
แต่เรื่องน่าตกตะลึงก็เกิดขึ้นกับคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้น ชอนกีเถียงองค์ชายยังมยองฉอด ๆ และกล่าวหาว่าการกระทำของพระองค์ย้อนแย้งกับสิ่งที่พระองค์พูดเอาไว้ตอนเปิดงาน ที่การตัดสินจะเป็นไปด้วยความยุติธรรม ก่อนที่นางจะยอมรับความพ่ายแพ้ไปอย่างจำใจ และกราบทูลลาองค์ชาย แต่ …
ทันใดนั้นเอง สิ่งที่เรียกว่า “แท่งผ่านพิเศษ” ก็ลอยล่องออกมาจากฮันกยอน ผู้ซึ่งสัมผัสได้ว่า ชอนกีคือจิตรกรผู้จิตวิญญาณพิเศษอันแรงกล้า นั่นหมายความว่านางได้ผ่านเข้าไปประลองต่อในรอบสุดท้าย จังหวะเดียวกันนั้นเอง ก็เกิดเรื่องราวดังปาฏิหาริย์เกิดขึ้น เมื่อมีหมู่มวลผีเสื้อโบยบินไปเกาะที่ภาพวาดของชอนกี เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้น องค์ชายจูฮยางจึงคิดขึ้นมาในทันทีว่า ภาพวาดของชอนกีต้องมีพลังบางอย่างเป็นแน่ ในขณะที่ฮันกยอนแน่ใจว่า ชอนกีคือลูกสาวของฮงอึนโอ จิตรกรผู้มีจิตวิญญาณพิเศษอย่างแน่นอน
ระหว่างพักเบรก ชอนกีได้ยินจิตรกรคนอื่นเม้าท์มอยกันเรื่องนู่นนี่นั่น จนได้ยินเรื่องที่ฮารัมมีดวงตาสีแดงเพราะคำสาปที่เกิดขึ้นในวันทำพิธีขอฝนเมื่อ 19 ปีก่อน เรื่องดังกล่าวทำให้ชอนกีสงสัยว่า ฮารัมคนนี้คือเด็กชายฮารัมที่นางเคยรู้จักเมื่อ 19 ปีก่อนหรือไม่ ?
EP.6 ความทรงจำที่ไม่อาจลบเลือน
ในการประลองรอบสอง ชอนกีได้คะแนนเท่ากับจิตรกรหมวกฟาง ซึ่งเป็นตัวเต็งในการประลองครั้งนี้ องค์ชายยังมยองจึงใช้วิธีตัดสินผู้ชนะจากการตอบคำถาม
องค์ชายยังมยองถามชอนกีว่า ทำไมนางถึงระบายสีโขดหินเป็นสีดำ ทั้งที่ปรกติแล้วจิตรกรส่วนใหญ่มักจะไม่ใส่สีลงในส่วนนี้ ชอนกีนิ่งอึ้งไปหลายวินาทีก่อนที่จะตอบออกไปอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก …
“โขดหินสีดำคือสิ่งแรกที่หม่อมฉันเห็นด้วยตาตัวเองเพคะ” จิตรกรสาวหนึ่งเดียวแห่งสมาคมจิตรกรแบคยูเอ่ยสิ่งน่าอัศจรรย์ออกมา “ตอนเด็ก หม่อมฉันตาบอดจึงเห็นรูปและสีสันผ่านเสียง ธารน้ำไหลคือสีขาว เสียงฝีเท้าบนถนนขรุขระคือสีเหลือง สายลมโชยพัดใบไม้คือสีฟ้า แต่อยู่มาวันหนึ่งหม่อมฉันกลับมามองเห็นอีกครั้ง วันนั้นเป็นวันที่ฝนตกครั้งแรกหลังจากบ้านเมืองต้องเผชิญกับภาวะภัยแล้งมานานนับสิบปี เขาอินวังที่หม่อมฉันเห็นเป็นสีดำ เพราะเขาอินวังประกอบไปด้วยหินเป็นส่วนใหญ่และชุ่มฝน ฉะนั้นแล้ว โขดหินในภาพวาดของหม่อมฉันเป็นเหมือนโขดหินแรกที่หม่อมฉันเห็น มันจึงเป็นสีดำเพคะ”
องค์ชายยังมยองถามต่อว่า รูปวาดของชอนกีสื่อความหมายอะไร ซึ่งคำตอบของนางก็ทำเอาฮารัมอึ้งไปไม่น้อย “ตอนที่หม่อมฉันตาบอด มีเด็กชายคนหนึ่งเด็ดลูกท้อให้หม่อมฉัน หม่อมฉันไม่รู้จักหน้าตาของเขา แต่หม่อมฉันคิดถึงเขาเหลือเกิน”
หลังจากตอบคำถามคะแนนโหวตจากคณะกรรมการก็ให้ทั้งคู่เสมอกันอีกครั้ง องค์ชายยังมยองจึงตัดสินให้ผ่านเข้ารอบไปทั้งคู่
ในคืนนั้น ฮันกยอนได้ทูลกับองค์ชายยังมยองว่า พ่อของชอนกีคือฮงอึนโอ จิตรกรผู้เก่งกาจระดับเทพ เป็นผู้วาดภาพเหมือนของกษัตริย์องค์ก่อน ซึ่งถูกไฟไหม้ไปเมื่อ 19 ปีก่อน และฮันกยอนก็มั่นใจว่า ชอนกีเป็นจิตรกรผู้มีจิตวิญญาณพิเศษเช่นเดียวกับพ่อของนาง และเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดในการซ่อมแซมภาพเหมือนของกษัตริย์องค์ก่อนที่เสียหาย
เมื่อองค์ชายยังมยองได้รู้ความเช่นนั้นแล้ว พระองค์จึงไปพูดคุยกับชอนกีเป็นการส่วนตัว เพื่อแนะนำข้อคิดเห็นบางอย่างกับนาง เพราะพระองค์ทรงรู้ว่านางเป็นจิตรกรที่วาดภาพเลียนแบบ ซึ่งแม้จะมีเทคนิคและทักษะที่น่าสนใจ แต่ทว่ามันก็เป็นแค่ภาพเลียนแบบ “ภาพวาดของเจ้าได้แสดงถึงตัวตนของเจ้าบ้างหรือไม่ ผู้คนไม่ได้ประทับใจที่ทักษะในการวาดภาพของจิตรกรหรอก พวกเขาประทับใจในจิตวิญญาณของจิตรกรที่แทรกซึมอยู่ในเนื้อกระดาษต่างหาก”
ชอนกีถึงกับหน้าหงอยเมื่อโดนองค์ชายยังมยองแนะนำเชิงตำหนิเช่นนั้น ก่อนที่จะเผยสาเหตุที่นางต้องวาดภาพเลียนแบบเหล่านั้น “จริง ๆ แล้ว หม่อมฉันทำไปเพียงเพื่อต้องการหาเลี้ยงชีพ มันเป็นความผิดใหญ่หลวงถึงเพียงนั้นเลยเหรอเพคะ”
องค์ชายยังมยองมองไปที่ชอนกีด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าล่ะเสียดายความสามารถของเจ้าจริง ๆ ถึงเจ้าจะคว้าที่หนึ่งมาครองในการประลองครั้งนี้ แต่หากเรื่องที่เจ้าปลอมภาพวาดถูกเปิดเผยออกมา มันจะทำให้ชื่อเสียงของงานประลองเสียหาย”
หลังจากโดนองค์ชายตำหนิ ยังไม่เท่านั้น ชอนกียังมาโดนอาจารย์ชเววอนโฮขอให้นางยอมแพ้ในการประลอง เพราะไม่ต้องการให้นางมีชีวิตเหมือนพ่อของนาง ไม่ต้องการให้นางมีชื่อเสียงในฐานะจิตรกรมือหนึ่งของแผ่นดิน
เมื่อมีแต่เรื่องบั่นทอนจิตใจ ชอนกีจึงไปหลบร้องไห้อยู่คนเดียวในคอกม้า พร้อมกับคำถามที่ไม่เคยได้คำตอบว่า เพราะอะไรถึงได้ทำให้พ่อนางต้องมาอยู่ในสภาพเช่นนี้ จังหวะนั้นเอง โซมาม้าแสนรู้ของฮารัมก็เดินเข้ามาคลอเคลียเหมือนกับพยายามจะปลอบใจอยู่ข้าง ๆ นาง
ด้านองค์ชายจูฮยางก็ได้ถามกับองค์ชายยังมยองตรง ๆ ว่า ขอให้มาอยู่ฝ่ายเดียวกับเขาในการทำการยึดอำนาจจากองค์รัชทายาท โดยให้เหตุผลเรื่องความสามารถในการปกครอง และอาการประชวรที่ไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ แต่องค์ชายยังมยองปฏิเสธ เพราะพระองค์ไม่อยากทำร้ายพี่น้องด้วยกันเอง
ฮารัมไปหาชอนกีที่คอกม้า ทั้งคู่ก็ออกไปขี่ม้าด้วยกันแล้วไปหยุดอยู่ที่ริมน้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่ที่ทั้งสองเคยมาเล่นด้วยกันเมื่อ 19 ปีก่อน ณ จุดนี้ ชอนกีมั่นใจแล้วว่าชายหนุ่มตาบอดที่อยู่เบื้องหน้าคือฮารัมที่เธอเฝ้าคิดถึงมาตลอด
ชอนกีเอ่ยชื่อฮารัมและจับมือของเขามาสัมผัสที่ใบหน้าของนาง จากนั้นฮารัมก็โน้มตัวไปจูบนาง มันช่างเป็นจูบที่งดงามยิ่งนัก แต่ความสุขผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน เมื่อทั้งสองสัมผัสกัน สัญลักษณ์รูปผีเสื้อที่คอของฮารัมก็เกิดปฏิกิริยาขึ้น เขาเกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรงจนหมดสติไป เขาเห็นภาพตัวเองอยู่ใต้น้ำขณะที่พญามารกำลังจะสิงร่างของเขา
เมื่อฮารัมฟื้นขึ้นมา ท่าทีของเขากลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เขาบอกกับชอนกีว่าเขาไม่ใช่เด็กผู้ชายคนนั้นที่นางกำลังตามหา “ข้าไม่ใช่เด็กชายที่แม่หญิงตามหา ควรจะลืมเขาไปได้แล้ว มันเป็นทางเดียวที่มีชีวิตสงบสุข … ท่านต้องลืมความสัมพันธ์ในอดีตไปเสีย เด็กคนนั้นไม่ได้มาหาแม่หญิงตามสัญญา ถ้าเขาอยากไปหาแม่หญิงจริง ๆ วันอื่นเขาก็ไปหาได้ ที่เขาไม่ไปหาแม่หญิงก็เป็นเพราะเด็กคนนั้นลืมแม่หญิงไปแล้ว”
ชอนกีร้องไห้ด้วยความเสียใจ มันเป็นความเสียใจที่โดนความรู้สึกที่ตัวเองแบกมานานกว่า 20 ปีหล่นทับใส่ตัวเอง แต่สิ่งที่ชอนกีมั่นใจมาก ๆ ก็คือ ฮารัมเป็นเด็กชายคนนั้นอย่างแน่นอน
วันประลองรอบสาม … โจทย์คือการวาดภาพม้า โดยมีเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
เมื่อถึงช่วงของการให้คะแนน ชอนกีทำเอาทุกคนตกตะลึง เพราะเธอไม่ได้วาดภาพม้า แต่วาดเพียงรูปผีเสื้อโบยบินอยู่เต็มไปหมด แต่เมื่อองค์ชายยังมยองได้เพ่งพิจารณาถึงรูปภาพของนางแล้วก็ถึงกลับตกตะลึงยิ่งกว่า เมื่อพระองค์มองออกว่าม้าของชอนกีไม่ได้วาดอยู่ในกระดาษ แต่เป็นม้าที่อยู่นอกเฟรม … ผีเสื้อที่ชอนกีวาดนั้น เป็นผีเสื้อที่โบยบินหลังจากม้าได้วิ่งผ่านไปแล้ว
องค์ชายยังมยองชื่นชมผลงานของชอนกีว่าเป็นผลงานระดับมาสเตอร์พีซ และนางก็ชนะเลิศในงานประลองครั้งนี้ หลังจากนั้นก็เป็นช่วงของการประมูลภาพวาด ซึ่งภาพของชอนกีถูกฮารัมประมูลได้ไปในมูลค่าข้าวสาร 300 กระสอบ (เทียบเท่าประมาณบ้าน 1 หลัง)
แต่สิ่งที่ชอนกีต้องการจริง ๆ คือยาชองชิมวอนที่นำมารักษาท่านพ่อ ซึ่งองค์ชายก็รับปากว่าจะหามาให้ และพระองค์ก็ทรงเข้าใจนางมากขึ้นว่า ที่นางวาดภาพเลียนแบบก็เพื่อพ่อของนางนั่นเอง
ตอนท้าย ฮงอึนโอเดินถือพู่กันอย่างไร้สติไปที่แมจุกฮอน เมื่อเห็นองค์ชายจูฮยาง เขาจึงตะโกนออกมาด้วยความตกใจ ก่อนที่จะสะบัดสีที่พู่กันไปเปรอะหน้าตาขององค์ชายจูฮยางท่ามกลางความตกตะลึงของผู้คน ชอนกีรีบวิ่งไปคุกเข่าขออภัยองค์ชายจูฮยาง เนื่องจากพ่อของนางมีสติไม่สมประกอบ
EP.7 สามเส้า
ฮงอึนโอเดินถือพู่กันอย่างไร้สติเข้าไปที่แมจุกฮอน เมื่อเห็นองค์ชายจูฮยาง เขาจึงตะโกนกล่าวถึงพญามารออกมาด้วยความตกใจ ก่อนที่จะสะบัดสีที่พู่กันไปเปรอะหน้าขององค์ชายจูฮยางท่ามกลางความตกตะลึงของผู้คนที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้น ชอนกีรีบวิ่งไปคุกเข่าขออภัยองค์ชายจูฮยาง เนื่องจากพ่อของนางมีสติไม่สมประกอบ ด้านองค์ชายยังมยองก็เอ่ยปากขอความเมตตาอีกแรง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผล ในทางตรงกันข้ามกลับทำให้องค์ชายจูฮยางโกรธมากกว่าเดิม …
“องค์ชายยังมยองเจ้าจงวางตัวให้เหมาะสมกับสถานะองค์ชายด้วย ! หากเจ้าดึงดันจะต่อต้านข้า ความโกรธของข้าก็จะมีแต่เพิ่มเป็นเท่าทวีคูณ” จากนั้นองค์ชายจูฮยางก็ลดสายตาลงไปมองชอนกีที่ก้มหน้าคุกเข่าอยู่แทบพื้น ก่อนที่จะเอ่ยออกไปว่า “เจ้า (ชอนกี) จะยอมสละมือเพื่อรับผิดแทนพ่อเจ้าหรือไม่ ?”
ทุกคนในแมจุกฮอนนิ่งเงียบเหมือนตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วครู่ ก่อนที่ชอนกีจะเอ่ยวาจาออกไป “ไม่ว่าบทลงโทษอะไรหม่อมฉันก็ยินดีที่จะรับเพคะ” ฮารัมที่ยืนฟังเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ไม่ห่างนักถึงกับหลับตาเมื่อชอนกีเอ่ยออกมาเช่นนั้น ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่นายทหารองครักษ์ขององค์ชายจูฮยางเดินเข้าไปหาชอนกี พร้อมกับชักดาบออกมาจากฝักเพื่อตัดมือนาง
ทันใดนั้นเอง ฮารัมก็พูดขัดจังหวะออกมา “น่าเสียดายข้าวสาร 300 กระสอบเหลือเกิน” ระหว่างนั้นเขาก็เดินไปหาชอนกีที่หมอบอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าหวาดกลัว “ข้าอุตส่าห์ยอมเสียข้าวสาร 300 กระสอบเพื่อซื้อภาพวาด เพราะหลงยกย่องในพรสวรรค์ของเจ้า แต่เจ้ากลับไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง” แล้วฮารัมก็ประกาศที่จะไม่ซื้อภาพวาดของชอนกี แต่เขาจะถวายข้าวสาร 300 กระสอบให้องค์ชายจูฮยางแทน
องค์ชายจูฮยางครุ่นคิดหลายวินาทีก่อนจะหันไปพูดกับฮารัม “บัณฑิตฮา เพื่อจิตรกรหญิงนางนี้เจ้ายอมสละทุกอย่างที่เจ้ามีหรือไม่ ?” ฮารัมตอบตกลงอย่างไม่คิดมาก ทำให้องค์ชายจูฮยางยอมละเว้นโทษให้กับชอนกีและท่านพ่อของนาง
คืนนั้น ฮารัมก็จัดการสังหารผู้ตรวจราชการคิมกงแร เพื่อล้างแค้นให้ท่านพ่อ และในลิสต์รายชื่อของเขายังเหลือ พระเจ้าซองโจ องค์ชายจูฮยาง องค์ชายยังมยอง และคนต่อไปที่เขาจะจัดการก็คือ มีซู (หัวหน้าร่างทรงคนที่สี่แห่งซองจูชอง)
พระเจ้าซองโจได้มาดูภาพวาดของชองกีแล้วเกิดความประทับใจเป็นอย่างมาก องค์ชายยังมยองจึงขอกับฝ่าบาทให้นางเข้ามาอยู่ในโคฮวาวอน ซึ่งพระเจ้าซองโจตอบตกลง และมีรับสั่งให้นางทำงานอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 3 เดือน
ชอนกีเป็นห่วงอาการของท่านพ่อเป็นอย่างมาก นางจึงปฏิเสธที่จะไปโคฮวาวอนตามรับสั่งของฝ่าบาท เมื่อรู้เช่นนั้น องค์ชายยังมยองจึงไปหานางที่บ้าน “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงท่านพ่อ แต่ข้าจะดูแลเขาเอง อีกอย่างเจ้าเคยสงสัยไหมว่า ทำไมท่านพ่อของเจ้าถึงได้สติฟั่นเฟือน ?” ชอนกีถึงกับตาลุกวาวด้วยความสงสัย องค์ชายยังมยองจึงเล่าต่อว่า “สมัยที่ข้ายังเป็นเด็ก ข้าเคยเห็นภาพเหมือนของเสด็จปู่ เป็นภาพที่วาดโดยจิตรกรผู้มีจิตวิญญาณพิเศษ ซึ่งจิตรกรผู้นั้นก็คือพ่อของเจ้า ข้าคิดว่าพ่อของเจ้าสติฟั่นเฟือนช่วงที่วาดภาพของเสด็จปู่ ข้าคิดว่าเป็นอย่างนั้นนะ”
องค์ชายยังมยองโน้มน้าวชอนกีให้ไปไขปริศนาเรื่องท่านพ่อที่โคฮวาวอน และยังได้บอกด้วยว่า ได้สั่งให้หมอหลวงปรุงยาชองชิมวอนที่นำมาใช้รักษาท่านพ่อให้แล้ว เมื่อชอนกีรู้เช่นนั้นก็ดีใจเป็นการใหญ่ ทั้งกล่าวขอบคุณ ทั้งกล่าวซาบซึ้งพระมหากรุณาธิคุณเป็นการใหญ่ และในคืนนั้นเองนางก็ตัดสินใจที่จะไปโคฮวาวอน
รุ่งขึ้นก่อนออกเดินทาง ท่านอาจารย์ได้มอบภาพวาดพยัคฆ์ของชอนกีให้เอาติดตัวไปด้วย ยายซัมซิน (เทพแห่งการกำเนิด) มาดักรอชอนกีระหว่างทางเพื่อเสกพลังบางอย่างเข้าไปในภาพวาด หลังจากนั้นเรื่องประหลาดก็เกิดขึ้น เพราะไม่วางชอนกีจะเดินทางไหนนางก็จะกลับมาอยู่ที่ประตูของบ้านหลังหนึ่งทุกครั้ง ว่าแล้วนางจึงเปิดประตูเข้าไปด้านใน ซึ่งก็ปรากฏว่าเป็นบ้านหลังนี้เป็นบ้านของฮารัม
ชอนกีได้คุยกับฮารัม และได้สารภาพความในใจออกไป “ท่านใช้ชีวิตมาได้ยังไงทั้งที่เก็บงำสิ่งต่าง ๆ เอาไว้มากมาย ถ้าเด็กคนนั้นที่ข้ารู้จักโตขึ้น ข้าคิดว่าหน้าตาของเขาคงจะคล้ายกับท่านมาก แต่จริง ๆ แล้วข้าคิดผิด เพราะเด็กคนนั้นไม่อยากให้ข้าจำเขาได้ ข้าไม่รู้หรอกว่าเพราะอะไร แต่ข้าก็จะทำตามนั้น …ถ้าเด็กคนนั้นไม่อยากให้ข้าจำ เขาก็คงตายไปแล้วจริง ๆ หรือไม่ก็คงมีชีวิตไม่ต่างไปจากคนตาย ข้าคงจะต้องทำเป็นจำเขาไม่ได้ แต่ข้าก็จะจดจำช่วงเวลานี้ไปอีกนานแสนนาน และมันจะกลายเป็นความทรงจำที่งดงาม”
แววตาของชอนกีฉ่ำไปด้วยน้ำตาที่เอ่อล้น “ข้าเพียงอยากบอกให้ท่านได้รู้ว่า ถ้าวันหนึ่งท่านต้องเจอกับเวลาที่ยากลำบาก จนทำให้ไม่สามารถทำตามสิ่งที่ให้สัญญาเอาไว้ไม่ได้อีกครั้ง ข้าเพียงอยากให้ท่านได้รู้ว่า ยังมีคนที่เชื่อใจและรอท่านอยู่ ไม่ว่าเวลามันจะผ่านไปนานหลายปีก็ตาม” หลังพูดจบ ชอนกีก็ขอตัวกลับโดยได้ลืมทิ้งภาพวาดพยัคฆ์เอาไว้ที่บ้านของฮารัม
ระหว่างที่ชอนกีกำลังเดินตากฝนด้วยใจที่เหม่อลอยอยู่นั่น องค์ชายยังมยองก็ได้ปรากฏตัวขึ้น พร้อมกับผ้าที่ใช้กันฝนให้นาง ระหว่างเมื่อพระองค์เห็นว่านางตัวร้อนมีอาการไข้ พระองค์จึงให้นางขี่หลัง แต่ยังไม่ทันจะถึงที่พักหลบฝน ณ จุดนี้เอง ฮารัมก็ปรากฏตัวขึ้นอยู่เบื้องหน้าคนทั้งสอง พร้อมกับเอ่ยออกไปว่า …
“ขอประทานอภัย แต่กระหม่อมนัดพบกับนางก่อน” !!!
EP.8 ภาพเหมือนกษัตริย์ที่ถูกเผา
ระหว่างที่ชอนกีกำลังขี่หลังขององค์ชายยังมยองอยู่นั้น นางได้เอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัยว่า ทำไมพระองค์ถึงได้ทำดีกับนางขนาดนี้ ? องค์ชายยังมยองจึงตอบกลับไปว่า “ข้าปวดใจทุกครั้งที่เห็นเจ้า”
องค์ชายแบกชอนกีเดินไปหาที่หลบฝน ทันใดนั้นเอง ฮารัมก็มาดักรอพร้อมกับบอกว่า “ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมนัดพบกับนางก่อน” องค์ชายยังมยองโกรธที่ฮารัมปล่อยให้ชอนกีเดินตากฝนจนไม่สบาย แต่ฮารัมก็แก้ตัวไปว่าเขาไม่รู้ว่านางเดินตากฝน องค์ชายไม่มีทีท่าจะหายโกรธ กระทั่งชอนกีออกรับหน้าแทนฮารัมว่า “บัณฑิตฮามองไม่เห็นนะเพคะ” องค์ชายยังมยองจึงยอมปล่อยให้ชอนกีไปกับฮารัม
ณ ศาลาที่พักริมทาง ฮารัมบอกกับชอนกีว่า “เมื่อ 19 ปีก่อนที่เราได้สัญญากันไว้ วันนั้นเป็นวันที่ข้าตาบอดเพื่อแลกกับฝน หลังเกิดภัยแล้งมานานนับสิบปี ทำให้ข้าไปหาเจ้าไม่ได้ ข้าเสียท่านพ่อและท่านแม่ไป ทำให้ข้าตัดสินใจเลือกหันหลังให้กับโลกใบนี้ ข้าใช้ชีวิตแบบนี้มาตลอด จนข้าได้พบเจ้าอีกครั้ง มันทำให้ข้านึกถึงตัวเองในอดีต … ข้าคิดถึงเจ้า คิดถึงมากมายเหลือเกิน แต่ตอนนี้ข้าให้เจ้าอยู่เคียงข้างข้าไม่ได้ เพราะมันจะทำให้ข้าอยากกลับไปเป็นฮารัมคนเก่า มันทำให้ข้าอยากกลับไปเป็นเด็กชายที่เคยสัญญาจะไปเก็บลูกท้อกับเจ้า เป็นแต่เพียงว่า ตอนนี้ข้าใช้ชีวิตอย่างนั้นไม่ได้อีกแล้ว เพราะฉะนั้นเจ้าแสร้งทำเป็นไม่รู้จักข้า แล้วใช้ชีวิตของเจ้าต่อไปเถอะนะ ถือว่าข้าขอร้อง”
ชอนกีเอ่ยด้วยน้ำตาเอ่อล้น “ที่ผ่านมาข้าเองก็มีช่วงเวลาที่กลัวการมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อไรก็ตามที่ข้ารู้สึกเช่นนั้น ข้าจะนึกถึงคำพูดที่เจ้าเคยเอ่ยกับข้า … ฮารัม ในอนาคตเมื่อมีโอกาส ข้าขอร้องให้เจ้าบอกความรู้สึกของตัวเองเหมือนอย่างที่ทำในวันนี้ ข้าขอเพียงแค่นี้แหละ”
ชอนกีเดินจากไป ในขณะที่ฮารัมก็ยึนนิ่งอยู่อย่างนั้น แววตาของเขาเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา เขาได้แต่พูดกับตัวเองว่า “รอข้าก่อนเถอะนะ รอจนกว่าข้าจะกลับไปหาเจ้า”
พระเจ้าซองโจมีสุขภาพที่ย่ำแย่ลงไปทุกที พระองค์จึงคิดจะจัดการทุกอย่างก่อนที่จะสละราชสมบัติ จากนั้นทรงมีรับสั่งกับผู้เชี่ยวชาญฮันให้มีการบูรณะภาพวาดของกษัตริย์องค์ก่อนให้เสร็จภายใน 1 เดือน
คืนนั้น องค์ชายยังมยองเอายาชองชิมวอนไปให้ชอนกีที่บ้านตามสัญญา ส่วนนางก็ได้วาดภาพเพื่อถวายให้กับพระองค์เป็นการเฉพาะ ก่อนกลับองค์ชายใคร่รู้เรื่องในวันนั้นจากปากของชอนกี ในวันที่ฮารัมมาขวางกลางทาง นางไม่ได้เอ่ยตอบอะไรกลับไป แต่พระองค์มองจากแววตาก็ดูออกว่า นางมีใจให้กับฮารัม พระองค์จึงกลับไปอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
วันต่อมา องค์ชายยังมยองไปหาฮารัมเพื่อตำหนิเรื่องที่เขาปล่อยให้ชอนกีเดินตากฝนจนเป็นไข้ ด้านฮารัมเองก็โต้กลับองค์ชายว่า “ทำไมพระองค์ถึงได้ใคร่รู้เรื่องความรู้สึกส่วนตัวของหม่อมฉันกับแม่หญิงชอนกีมากมายขนาดนี้ ทั้งที่หน้าที่ขององค์ชายคือการรักษาพระราชอำนาจและรับใช้แผ่นดิน หม่อมฉันคิดว่าสิ่งที่พระองค์ถามเป็นเรื่องที่ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง”
ณ จุดนี้ ดูเหมือนการต่อสู้เพื่อแย่งชิงหัวใจของแม่หญิงชอนกี ระหว่างองค์ชายยังมยองกับฮารัมได้เริ่มขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว
ชอนกีเดินทางมาที่โคฮวาวอน การได้มาทำงานที่โคฮวาวอนทำให้ชอนกีกับฮารัมได้มีโอกาสได้ใกล้ชิดกันอีกครั้ง ใกล้ชิดกันมาก ๆ อย่างไรก็ตาม ชอนกีก็ยังทำเป็นไม่รู้จักกับฮารัมมาก่อน ตามที่นางได้ให้สัญญาเอาไว้
ในวันแรกของการมาทำงานที่โคฮวาวอน ชอนกีได้รับมอบหมายงานสำคัญ นั่นคืองานบูรณะภาพวาดกษัตริย์องค์ก่อนที่โดนเผาจนเสียหายไป เมื่อนางได้เห็นภาพเหมือนของพระเจ้ายองจงที่โดนไฟไหม้ นางก็ถึงกับสติวูบล้มพับไป
ชอนกีถามผู้เชี่ยวชาญฮันว่า เมื่อภาพต้นฉบับเสียหายไปแล้ว นางจะบูรณะให้มันกลับมาเหมือนเดิมได้อย่างไร เพราะนางไม่เคยเห็นพระพักตร์ของพระเจ้ายองจงมาก่อนเลย ? ซึ่งผู้เชี่ยวชาญฮันบอกว่า นางจะต้องวาดภาพจากความทรงจำ โดยต้องฟังคำบอกเล่าแล้วก็วาดตามคำบอกเล่านั้น ซึ่งผู้ที่ทำหน้าที่บอกเล่าก็คือองค์ชายยังมยองนั่นเอง
จากนั้นผู้เชี่ยวชาญฮันได้พาชอนกีมาที่ห้องทำงานซึ่งถูกตกแต่งไว้เป็นอย่างดี พร้อมด้วยอุปกรณ์ที่ดีที่สุด องค์ชายยังมยองบอกกับชอนกีด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าคงต้องอยู่กับข้าไปอย่างนี้ทุกคืน” เมื่อได้ยินเช่นนั้น นางก็ได้แต่ทำหน้างง ๆ แล้วก็บ่นออกมาว่า “ทุกคืนเลยเหรอ”
ในเวลาเดียวกันนั้น ฮารัมได้ดูดาวแล้วทำนายได้ว่า จะเกิดอันตรายกับคนที่อยู่ในวังหลวง เขาเป็นห่วงชอนกีขึ้นมาทันที จึงได้เดินไปหาชอนกี ซึ่งในเวลานั้นนางเองก็กำลังไปเอาของที่ทำหล่นไว้ที่ตำหนักคยองวอน ทั้งสองได้เดินเข้าไปในตำหนัก ทีนี้ เมื่อฮารัมได้เห็นภาพเหมือนของกษัตริย์ยองจงที่ถูกไฟไหม้ พญามารที่สิงอยู่ในร่างของเขาก็เริ่มแสดงตัวออกมา !
EP.9 ร่างที่ผนึกพญามาร
องค์ชายจูฮยางพยายามปลุกพญามารในร่างของฮารัมขึ้นมา เพื่อหวังใช้อำนาจของพญามารในการก้าวขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป
ฮารัมทรุดลงไปนั่งคุกเข่าอยู่ด้านหน้าตำหนักคยองวอน ในขณะที่พญามารในร่างเริ่มปรากฏตัวออกมา จนในที่สุดก็เข้าครอบงำร่างฮารัมโดยสมบูรณ์ สิ่งแรกและสิ่งเดียวที่มันต้องการในเวลานี้ก็คือดวงตาของมัน พญามารพุ่งตรงเข้าไปหาชอนกีที่ยืนนิ่งด้วยความตกตะลึง มันเข้าไปบีบคอนางอย่างสุดแรง แต่ก่อนที่ชอนกีจะขาดอากาศจนสิ้นใจ ทันใดนั้นเอง พยัคฆีก็ปรากฏตัวขึ้น …
“พญามารที่นี่คือวังหลวง เจ้าไม่มีอำนาจที่นี่ กลับไปซะ” พยัคฆีในร่างของสาวน้อยผมขาวเอ่ยวาจาออกมา แต่พญามารก็คือพญามาร มันยังดื้อดึงต้องการดวงตาของมันคืน เพื่อมันจะได้กลับมามีอำนาจอีกครั้ง “ข้าจะเอาดวงตาของข้าคืน” แต่พยัคฆีนั้นมีพลังมากมายเหลือเกิน ท้ายที่สุดพญามารก็สูญเสียพลังไปจนหมด แล้วกลับเข้าอยู่ในร่างของฮารัมดังเดิม
ชอนกีคอยดูแลฮารัมที่ยังนอนหมดสติบนที่นอนอยู่ไม่ห่าง นางได้แต่คิดอยู่ในใจว่า “เจ้าเป็นคนสำคัญสำหรับข้า ฟื้นขึ้นมาเถอะนะ” ชอนกีเฝ้าฮารัมอยู่อย่างนั้นจนตัวเองง่วงเหงาหาวนอนและเผลอหลับไป ระหว่างนั้นเอง ยายซัมซินก็มาช่วยให้ฮารัมฟื้นขึ้น
วันรุ่งขึ้น พยัคฆีมาเดินเล่นที่โคฮวาวอน ชอนกีเห็นจึงเข้าไปทัก พยัคฆีแปลกใจมากที่ชอนกีมองเห็นนาง นั่นเป็นเพราะชอนกีมีดวงตาวิเศษ จากนั้นพยัคฆีก็หายตัวไปท่ามกลางความมึนงงของชอนกี
องค์ชายยังมยองปะติดปะต่อเรื่องราวเข้าด้วยกัน จนทำให้เขาสงสัยว่า เหตุการณ์ไฟไหม้ภาพเหมือนของกษัตริย์ยองจง กับพิธีขอฝนที่เป็นเหตุให้ฮารัมตาบอดเมื่อ 20 ปีก่อน ต้องมีความเกี่ยวข้องกัน พระองค์จึงเข้าไปทูลถามกับเสด็จพ่อ เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้ พระเจ้าซองโจจึงเล่าความจริงเรื่องพญามาร และพิธีผนึกพญามารให้องค์ชายยังมยองได้รู้
ชอนกีกับฮารัมได้มีโอกาสไปเล่นว่าวด้วยกัน ทั้งคู่มีความสุขด้วยกันมาก ๆ เป็นความสุขที่แท้จริง ที่ดูเหมือนว่านานมากแล้วที่ทั้งสองไม่ได้รู้สึกถึงความสุขเช่นนี้ …
“หากเจ้าไม่เห็นข้าสองสามวันก็อย่าตกใจไปนะ เรื่องที่เกิดขึ้นหน้าตำหนักคยองวอนทำให้ข้าต้องไปสำนักตรวจการกับองค์ชายยังมยอง ถ้าข้าไปตรวจร่างกายแล้วเป็นปรกติข้าก็จะกลับมา” เมื่อฮารัมพูดจบ เขาก็หยิบเอาถุงผ้าที่ในนั้นมีแหวนหยกที่ท่านพ่อให้ท่านแม่ เป็นแหวนที่มีเพียงวงเดียวในโลก “ข้าอยากให้เจ้าเก็บเอาไว้ให้เป็นอย่างดี”
ชอนกีรับไว้ ก่อนจะเอ่ยถามออกไป “ทำไมท่านถึงได้ให้ของมีค่าเช่นนี้กับข้าล่ะ ?”
ฮารัมหันหน้าไปทางชอนกี ก่อนจะเอ่ยวาจาด้วยใบหน้าที่เปี่ยมสุข “ก็เพราะว่า ข้ารักเจ้าน่ะ”
ในคืนนั้น ชอนกีถามองค์ชายยังมยองด้วยความสงสัยว่า เหตุใดถึงเลือกนางให้เป็นคนวาดภาพเหมือน องค์ชายจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้นางได้รู้ “ผุ้ที่วาดภาพเหมือนของกษัตริย์ยองจงต้องเป็นจิตรกรผู้มีญาณวิเศษเท่านั้น อย่างเช่นพ่อของเจ้า ก่อนที่ท่านปู่ (พระเจ้ายองจง) จะเสด็จสวรรคต ท่านได้ผนึกพญามารเอาไว้ในภาพวาดนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้มันสามารถไปเข่นฆ่าผู้คนได้อีก แต่ภาพวาดนั้นเกิดไฟไหม้เสียหาย นับแต่นั้นพญามารก็หายตัวไป”
เมื่อได้รู้ความจริง ทำให้ชอนกีเข้าใจแล้วว่า ทำไมทั้งท่านพ่อและอาจารย์ต่างพากันคัดค้านไม่ให้นางรับวาดภาพเหมือนนี้
ในเวลาเดียวกันนั้น องค์ชายจูฮยางเดินทางมาหาอิลวอลซอง (ซึ่งจริง ๆ แล้วก็คืออีกหน้าฉากหนึ่งของฮารัม) เพื่อพูดจาความเรื่องการขึ้นครองบัลลังก์กษัตริย์ “ข้าต้องการพญามารเพื่อขึ้นครองบัลลังก์ กษัตริย์องค์ก่อน (พระเจ้ายองจง) เคยตรัสเอาไว้ว่า โลกนี้มิเคยมั่นคง และบัลลังก์ก็ไม่มีวันอยู่ค้ำฟ้า พวกที่ยังหลงเหลือจากราชวงศ์ก่อนยังคงเฝ้ารอโอกาสจะแบ่งแย่งดินแดนในชนบท ส่วนในวังหลวงก็ล้วนแล้วแต่มีผู้คนที่ยากจะคาดเดาว่าใครบ้างที่ภักดี ฉะนั้นแล้ว ข้าต้องขึ้นเป็นกษัตริย์”
อิลวอลซอง (ฮารัม) ที่ปกปิดใบหน้าตัวเองด้วยหน้ากากทรงแปลกประหลาดได้เอ่ยถามออกไปว่า “แล้วหม่อมฉันต้องทำอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ?”
“เจ้ารู้จักบัณฑิตฮาหรือไม่ ?” องค์ชายจูฮยางเดินไปอยู่เบื้องหลังของอิลวอลซอง น้ำเสียงของพระองค์ช่างดุดันและน่าเกรงขามยิ่งนัก
“กระหม่อมได้ยินว่าเขาเป็นนักโหราศาสตร์ที่ฝ่าบาททรงโปรดปราน”
“พญามารถูกผนึกอยู่ในร่างของบัณฑิตฮา !!!”
EP.10 จิตรกรผู้วาดภาพเหมือนกษัตริย์
อิลวอลซอง (ฮารัม) พยายามควบคุมความตกใจภายใต้หน้ากากเอาไว้ หลังได้ยินองค์ชายจูฮยางบอกว่า “พญามารถูกผนึกเอาไว้ในร่างของบัณฑิตฮา” !
หลังจากองค์ชายจูฮยางเสด็จกลับไปแล้ว ฮารัมถึงกับทรุดลง เขาเริ่มประมวลเหตุการณ์ต่าง ๆ แล้วก็พบว่าเรื่องที่องค์ชายจูฮยางพูดเป็นเรื่องจริง เขาได้แต่คิดว่า “มีบางสิ่งอยู่ในตัวเขามาตลอด โดยที่ข้าไม่รู้ตัวเลยหรือเนี่ย” จากนั้นฮารัมก็สั่งให้มูยองออกไปสืบเรื่องพญามารและการทำพิธีปิดผนึกเมื่อ 20 ปีก่อนอย่างละเอียด
ด้านชอนกีเมื่อได้รู้ว่า ตัวเองต้องวาดภาพเหมือนกษัตริย์ที่ไม่ใช่ภาพวาดทั่วไป นางจึงเอ่ยถามกับองค์ชายยังมยองว่า นางจะได้รับอันตรายเหมือนกับท่านพ่อของนางหรือไม่ ? เพราะนางกลัวว่าถ้านางเป็นอะไรไปจะไม่มีคนดูแลท่านพ่อ องค์ชายยังมยองจึงตอบกลับไปว่า “ข้าก็ไม่รู้คำตอบที่ชัดเจนเช่นกัน แต่ข้าจะปกป้องเจ้าไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม ไม่ต้องเป็นกังวล ข้าจะปกป้องเจ้าและท่านพ่อของเจ้าเอง”
เมื่อได้ยินองค์ชายรับสั่งเช่นนั้น ชอนกีจึงเอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัยว่า “เพราะเหตุใดองค์ชายถึงมารับผิดชอบข้ากับท่านพ่อด้วยเพคะ ?” องค์ชายยังมยองครุ่นคิดชั่วเวลาหนึ่งแล้วตอบไปว่า “ก็เพราะข้ารักเจ้า” !!!
คำพูดที่องค์ชายยังมยองเอ่ยออกมาทำเอาชอนกีรู้สึกอึดอัด เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้น พระองค์จึงแกล้งพูดออกไปแก้เกี้ยวว่า คำพูดเมื่อกี๊เป็นแค่การล้อเล่น
ในคืนเดียวกันนั้นเอง ชอนกีอยากหาข้อมูลเรื่องพญามารเพิ่มเติม นางจึงคิดที่จะไปถามฮารัม แต่ฮารัมเองก็ทำเป็นบอกปัดแบ่งรับแบ่งสู้ไปว่าไม่รู้เรื่อง อย่างไรก็ตาม ด้วยความคิดถึงและอยากอยู่ด้วยกันให้นานกว่านี้ ชอนกีจึงตอบตกลงที่จะพักที่บ้านของฮารัมในคืนนี้
ระหว่างที่ทุกคนต่างหลับใหลไปกันหมดสิ้นแล้ว ร่างทรงหลวงมีซูกับองค์ชายจูฮยางกำลังทำพิธีปลุกพญามารในตัวของฮารัมขึ้นมา และคืนนั้นเอง พญามารก็เข้าครอบงำร่างของฮารัมและตรงเข้าไปที่ห้องของชอนกี มันตรงเข้าไปคร่อมร่างของชอนกีเพื่อที่จะควักเอาดวงตาของมันคืน แต่เมื่อชอนกีเอามือข้างที่สวมแหวนหยก (ที่ฮารัมให้เอาไว้) ไปจับมือของพญามาร พลังบางอย่างที่รุนแรงยิ่งนักก็ปรากฏขึ้น มันทำให้พญามารสูญเสียพลังไปจนหมดสิ้น สุดท้ายก็กลับเข้าไปอยู่ในร่างของฮารัมดังเดิม
รุ่งเช้า ฮารัมตื่นขึ้นด้วยความมึนงงว่าตัวเองมาอยู่ในห้องของชอนกีได้อย่างไร แต่ด้วยความที่ไม่อยากให้ฮารัมคิดมาก ชอนกีจึงไม่ได้เล่าความจริงทั้งหมด นางบอกแต่เพียงว่าเมื่อฮารัมเข้ามาที่ห้อง เขาก็ล้มตัวลงนอนไปเหมือนคนละเมอ
จากนั้น ก็กลายเป็นฉากน่ารัก ๆ ที่ชอนกีต้องพาฮารัมหลบบ่าวไพร่ในเรือน กลับเข้าห้องของตัวเองในสภาพชุดชั้นใน สุดท้ายก็ไม่พ้นสายตาของบ่าวไพร่ ฮารัมก็เลยยืนทำเท่อยู่อย่างนั้นในสภาพชุดชั้นในอันเปลือยเปล่า (เป็นฉากที่ดีมาก ๆ อมยิ้มไม่หยุดกันเลยทีเดียว)
ฮารัมนัดชอนกีให้ไปวาดภาพเหมือนใครบางคนซึ่งเขาจะจ่ายให้อย่างงาม นางตอบตกลงในทันที
ระหว่างนั้นองค์ชายยังมยองเริ่มคิดที่จะฝืนชะตาฟ้าลิขิต ด้วยพระองค์มุ่งหมายที่จะแย่งชอนกีจากฮารัมให้จงได้ พระองค์ไปหาฮารัมเพื่อเตือนไม่ให้เขาไปเจอกับชอนกีอีก เพราะพระองค์รู้แล้วว่าพญามารถูกผนึกอยู่ในร่างของเขา “อย่าไปเจอกับนางอีก ถ้าข้ารู้ว่าเจ้าไปเจอกับนางอีก ข้าจะไม่มีวันให้อภัยเจ้าอย่างแน่นอน”
ท่านอาจารย์พยายามหาวิธีที่จะทำให้ชอนกีไม่ต้องวาดภาพเหมือนกษัตริย์ เพราะว่ากันว่าคนที่วาดภาพเหมือนของกษัตริย์จนเสร็จจะต้องเจอกับคำสาป เหมือนกับที่พ่อของชอนกีและจิตรกรคนอื่น ๆ ต้องเจอ ท่านอาจารย์จึงสั่งชอนกีแกล้งไม่สบาย ระหว่างที่กำลังคิดหาวิธีเลี่ยง
องค์ชายยังมยองรอให้ชอนกีมาวาดภาพเหมือน แต่นางก็ไม่มา พระองค์จึงไปหานางที่บ้าน พระองค์กล่าวกับนางว่า อย่าโกหกว่าตัวเองป่วยเพราะนางโกหกได้ไม่เนียน แล้วพระองค์ก็สั่งลงโทษให้นางตัววาดภาพนู่นนี่นั่นมากมายในวันรุ่งขึ้น … ณ จุดนี้ ชอนกีก็ตกปากรับคำองค์ชายไปอย่างเสียไม่ได้ ทั้งที่พรุ่งนี้นางมีนัดกับฮารัมเอาไว้แล้ว
รุ่งขึ้น ชอนกีตัดสินใจไปตามนัดฮารัม ซึ่งเป็นการขัดคำสั่งขององค์ชายยังมยอง แต่นางก็คิดว่าจะหาทางแก้ไขทีหลัง เมื่อมาถึงสถานที่นัดหมาย ปรากฏว่าคนที่ฮารัมจะให้ชอนกีวาดภาพเหมือนก็คือตัวเขาเอง
ทั้งสองมีโมเมนต์ที่โรแมนซ์ด้วยกันมาก ๆ ใบหน้าของทั้งคู่ต่างบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่ามีความสุขกันมากหลาย หากทว่า เมื่อชอนกีวาดภาพเหมือนฮารัมจนเสร็จ เขาก็ได้จดหมายฉบับหนึ่งให้กับนาง โดยกล่าวว่า “เมื่อกลับถึงบ้านให้พาพ่อไปที่ท่าเรือมาโพ เมื่อไปถึงก็ยื่นจดหมายนี้ แล้วจะมีคนพาขึ้นเรือเพื่อเดินทางไปแคว้นยอน”
ชอนกีเปลี่ยนสีหน้าจากเปี่ยมสุขกลายเป็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความงงงวย ฮารัมจึงอธิบายต่อ “แม่หญิงต้องไปจากแผ่นดินนี้ … ที่ต้องเป็นเช่นนี้ก็เพราะพญามารที่แม่หญิงเคยถาม จริง ๆ แล้วมันถูกผนึกอยู่ในร่างของข้า … หากข้าสูญเสียความทรงจำไปอีก ข้าอาจจะบีบคอแม่หญิงอีก เราไม่ได้ถูกลิขิตให้อยู่ด้วยกัน ไปให้ไกลจากข้า ข้าขอร้อง”
ระหว่างนั้นเอง องค์ชายยังมยองได้นำกำลังทหารมาจับกุมตัวฮารัม ในฐานะผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมพลทหารบนเขาอินวัง พระองค์สั่งให้ทหารเข้าจับกุมตัวฮารัม ในขณะที่ชอนกีพยายามเข้าไปขวางการเข้าจับกุมจนถูกทหารเข้าทำร้าย
EP.11 แหวนแห่งโชคชะตา
ฮารัมถูกองค์ชายยังมยองจับขังคุก และถูกสั่งห้ามเจอมนุษย์ทุกคนจนกว่าชอนกีจะวาดภาพเหมือนกษัตริย์จนเสร็จ อย่างไรก็ตาม ฮารัมเข้าใจองค์ชายยังมยอง ว่าสิ่งที่พระองค์ทำไปก็เพื่อความปลอดภัยของชอนกี และก็เพื่อให้ภาพเหมือนกษัตริย์เสร็จโดยเร็ว เขาจึงยอมรับสภาพที่ต้องถูกจองจำแต่โดยดี
ชอนกีเสียใจเป็นอย่างมากที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นกับฮารัม นางจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะวาดภาพเหมือนกษัตริย์ให้เสร็จ แม้จะต้องเผชิญกับเรื่องน่ากลัวที่อาจจะตามมาก็ตาม
ชอนกีเอาเรื่องที่นางตัดสินใจไปบอกกับท่านพ่อ “ข้าตัดสินใจที่จะวาดภาพเพื่อคนอื่นเป็นครั้งแรก เพียงครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น มันเป็นภาพที่ท่านพ่อเคยวาด ข้าจะวาดมันให้กลับมาสมบูรณ์เหมือนเดิมอีกครั้ง”
ระหว่างที่ชอนกีกำลังวาดภาพ องค์ชายยังมยองได้เข้ามาหาชอนกีพร้อมตั้งคำถามออกไปว่า นางคิดเช่นไรกับพระองค์ ? ในตอนแรกนางเลี่ยงที่จะไม่ตอบ จนองค์ชายคะยั้นคะยอให้นางตอบคำตอบจากใจจริงจากความรู้สึกจริง ๆ ชอนกีจึงพูดออกไปว่า “สารเลว” เมื่อพูดเสร็จนางก็เดินออกจากห้องไปด้วยความไม่พอใจ
ถัดมาอีกวัน ชอนกีกับเพื่อนสนิททั้งสองเอาแผนที่กองตำรวจมากางดู เพื่อวางแผนหาทางเข้าไปหาฮารัม แต่ดูเหมือนว่าคุกที่ฮารัมถูกขังอยู่นั้นจะเป็นคุกพิเศษที่เรียกว่า “คุกหิน” มีมาตรการการกวดขันเข้มข้น ผู้ที่จะเข้าออกต้องมีบรมราชโองการ หรือไม่ก็คำสั่งโดยตรงจากองค์ชายยังมยองเท่านั้น
ต่อมา ชอนกีได้พบกับพยัคฆี เทพแห่งเขาอินวัง นางจึงได้รู้ว่า พญามารที่ถูกผนึกอยู่ในร่างของฮารัมจะถูกปลุกขึ้นมาเมื่อเขาโดนตัวนาง “พญามารจะติดตามเอาดวงตาเจ้า เจ้าอาจถูกมันฆ่าได้เลยนะ ก็ที่เจ้าสามารถมองเห็นข้าได้นั่นแหละคือเหตุผล เจ้าถึงได้เป็นจิตรกรที่ได้ภาพวาดเหมือนกษัตริย์ที่เอาไปใช้ผนึกพญามารยังไงล่ะ สิ่งที่เจ้าต้องทำตอนนี้คือวาดภาพให้เสร็จโดยเร็วที่สุด”
เมื่อได้รู้ว่านางเป็นต้นเหตุที่ทำให้พญามารในร่างของฮารัมถูกปลุกขึ้นมา ชอนกีก็ถึงกุมขมับ นางไม่เข้าใจเลยว่าเรื่องแปลกประหลาดและอันตรายเช่นนี้มาเกิดกับนางได้เยี่ยงไร
สิ่งเดียวที่ชอนกีคิดได้ในตอนนี้ก็คือ ขอร้ององค์ชายยังมยองทรงอนุญาตให้นางไปพบฮารัม ก่อนที่นางจะถูกสั่งห้ามออกนอกวังหลวงจนกว่าจะวาดภาพเหมือนกษัตริย์จนเสร็จ แต่ไม่ว่านางจะขอร้องอย่างไรพระองค์ก็ทรงปฏิเสธเสียงแข็ง จนชอนกีต้องยอมคุกเข่าลงเบื้องหน้าพระองค์ “ข้าจะคุกเข่าอยู่อย่างนี้จนกว่าองค์ชายจะอนุญาตพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเห็นหญิงที่พระองค์มีใจให้คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าทำเพื่อชายอื่น องค์ชายยังมยองจึงคิดในใจว่า “ความรักที่นางมีให้กับบัณฑิตฮาลึกซึ้งถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
ชอนกีอดทนวาดร่างภาพเหมือนกษัตริย์แทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนเป็นเวลาหลายวันติดต่อกัน แต่เมื่อร่างทรงมาตรวจสอบภาพร่างนั้น กลับปรากฏว่ามันเป็นเพียงแค่ภาพร่างที่งดงามภาพหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ภาพศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถเอาไปใช้ผนึกพญามารได้ … พระเจ้าซองโจเมื่อได้รู้เช่นนั้นก็ทรงเสียพระทัยเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม องค์ชายยังมยองก็ขอโอกาสอีกครั้ง
องค์ชายยังมยองรู้ว่าเพราะเหตุใดภาพร่างนั้นจึงไม่ศักดิ์สิทธิ์ นั่นก็เป็นเพราะระหว่างที่วาด ชอนกีไม่อาจหักห้ามใจไม่ให้คิดถึงฮารัมได้เลย มันจึงส่งผลให้นางไม่มีสมาธิ “เรามีเวลาไม่มากแล้ว เจ้าต้องเลิกคิดถึงบัณฑิตฮา อย่างน้อยก็ระหว่างที่วาดภาพ” องค์ชายยังมยองทรงรับสั่งกับชอนกีด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดและเป็นกังวล
ระหว่างนั้นเอง ความคิดถึงของทั้งสองที่มีให้กันนั้นมันมากมายเหลือเกิน มันมีมากมายจริง ๆ มากมายเสียจนทำให้ชอนกีไม่มีสมาธิแม้เพียงสักนิดเดียวที่จะวาดรูป เอาแต่นั่ง ๆ นอน ๆ ทำตาละห้อยอยู่อย่างนั้น ซึ่งก็ไม่แตกต่างกับฮารัม ที่ในใจของเขาในทุก ๆ มิลลืวินาทีคิดถึงแต่เพียงชอนกีเท่านั้น
เมื่อความคิดถึงมันมากมายสุมอกขนาดนั้น ชอนกีจึงตัดสินใจให้เพื่อนทั้งสองของเธอช่วยปลอมตราประทับขององค์ชายยังมยองเพื่อเข้าไปหาฮารัม แต่ยังไม่ทันได้พ้นขอบประตู ชอนกีกับเพื่อน ๆ ก็โดนจับได้ซะแล้ว
เมื่อองค์ชายยังมยองรู้ความ พระองค์จึงรีบมาหาชอนกีที่คุก แล้วพานางไปเจอฮารัมในคุกหินด้วยความจำใจ …
“ท่านบัณฑิต ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง เพราะท่านมาเจอกับข้า หากท่านแตะตัวข้า พญามารในตัวท่านก็จะปรากฏตัวขึ้น เพราะข้าคือจิตรกรที่จะผนึกพญามาร เทพพยัคฆีแห่งขุนเขาอินวังเป็นคนบอกข้า” ชอนกีเอ่ยวาจาด้วยน้ำตาที่เอ่อล้น
“อย่างที่ข้าเคยบอกท่านหญิงว่าต้องไปจากที่นี่”
“ไม่เจ้าค่ะ จะให้ข้าทิ้งท่านไปได้ยังไงล่ะเจ้าคะ กว่าเราจะได้มากลับมาเจอกันต้องใช้เวลาตั้งหลายปี ข้าเชื่อว่าถ้าวาดภาพเหมือนกษัตริย์เสร็จ ทุกอย่างก็จะเรียบร้อย เพราะนี่เป็นโชคชะตาของข้าเจ้าค่ะ”
ระหว่างนั้นเอง ฮารัมนึกถึงคำพูดของชายปริศนาคนหนึ่งที่พูดกับเขาก่อนหน้านี้ “ถ้าแม่หญิงคนนั้นมาหาเจ้า เจ้าต้องจับมือนางเอาไว้” จากนั้น ฮารัมจึงขอให้ชอนกียื่นมือลอดลูกกรงเข้ามา เขาจับมือนางเอาไว้แน่นแล้วก็พูดขึ้นมาว่า “มาดูกันว่า โชคชะตาที่เจ้าว่านั้นมันคืออะไร”
เมื่อฮารัมจับมือกับชอนกี แหวนหยกของท่านพ่อที่ฮารัมมอบให้ไว้กับชอนกีก็ส่องแสงออกมารุนแรงยิ่งนัก จนทำให้คุกหินที่มืดมิดกลับส่องสว่างจ้าขึ้นมาอย่างน่าตื่นตะลึง …
EP.12 ความรักที่ลึกซึ้งถึงเพียงนี้
ฮารัมจับมือชอนกีผ่านลูกกรง การสัมผัสตัวกันของทั้งสองทำให้พญามารในร่างของฮารัมปรากฏตัวขึ้นมา มันต้องการดวงตาของมันคืนจากชอนกี แต่ทว่า เหตุการณ์ก็เป็นเช่นคราวก่อน แหวนหยกที่ชอนกีสวมใส่อยู่ที่นิ้วชี้สามารถปกป้องนางเอาไว้ได้ อีกทั้งยังทำให้พญามารหมดฤทธิ์ไปอย่างง่ายดาย หลังจากนั้น ฮารัมก็ล้มพับหมดสติลงไปกับพื้น
ชอนกีร้องไห้โวยวายออกมาไม่หยุด นางได้แต่ขอร้ององค์ชายยังมยองให้ช่วยฮารัมที่ตอนนี้หน้าของเขาดำคล้ำเหมือนคนที่ไร้เลือดเนื้อและวิญญาณ นางร้องไห้แทบเสียสติ จนองค์ชายต้องพยายามพูดให้นางใจเย็นขึ้น พร้อมกับสั่งให้หมอหลวงมาดูอาการของฮารัม ก่อนที่พระองค์จะพาตัวนางออกไป
ระหว่างนั้นเอง นักโทษชราที่ถูกคุมขังอยู่ห้องข้าง ๆ ได้เสกคาถาด้วยภาษาที่แปลกประหลาด คาถานั้นทำให้ฮารัมอาการดีขึ้นได้ราวปาฏิหาริย์ แล้วนักโทษชราคนนั้นก็ได้เอ่ยออกมาว่า “แหวนหยกวงนั้นมีอำนาจควบคุมจิตใจเจ้า (ฮารัม) ให้เป็นปกติได้ แม้แต่ตอนที่ถูกพญามารเข้าสิง เทพแห่งความสมดุลถูกพญามารกลืนกินไปแล้วก็จริง แต่แหวนวงนั้นสร้างขึ้นมาจากเศษซากของเทพสมดุล จนกว่าจะถึงพิธีปิดผนึก แหวนวงนั้นจะเป็นสิ่งเดียวที่ใช้ต่อกรกับพญามารได้”
หลังจากใจเย็นลง ชอนกีได้สารภาพกับองค์ชายยังมยองว่า “ข้ารักบัณฑิตฮาเจ้าค่ะ” คำพูดนี้คำพูดเดียวมันสามารถตอบคำถามได้ทุกสิ่ง มันทำให้องค์ชายยังมยองเข้าใจแล้วว่า ชอนกีรักฮารัมมากมายเพียงใด ซึ่งก็ไม่ต่างจากที่ฮารัมรักชอนกีมากมายเช่นเดียวกัน ทั้งสองยอมเสี่ยงชีวิตของตัวเองเพื่อช่วยอีกฝ่ายหนึ่ง
จากนั้นชอนกีพยายามทำสมาธิให้จิตใจตัวเองเลิกคิดถึงฮารัมเพียงชั่วเวลาหนึ่ง นั่นก็เพื่อให้การวาดภาพเหมือนกษัตริย์มีความศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่ในภาพ และนางก็ทำได้สำเร็จ สมาธิทำให้นางได้เห็นภาพเหมือนของกษัตริย์ยองจงในนิมิต ชอนกีแปลงภาพที่อยู่ในนิมิตให้เป็นภาพร่างของพระเจ้ายองจง ได้ราวกับนางเคยเห็นพระพักตร์ของพระองค์ด้วยตาของตัวเอง
วันต่อมา พระเจ้าซองโจเรียกให้องค์ชายยังมยองเข้าพบ เพื่อรับสั่งว่าพระองค์จะแต่งตั้งองค์ชายยังมยองให้ขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ต่อไป เพราะรัชทายาทองค์ปัจจุบันมีปัญหาทางด้านสุขภาพ ซึ่งเมื่อองค์ชายจูฮยางรู้ก็ไม่พอใจเป็นอย่างมาก เพราะถ้านับตามศักดิ์ พระองค์ต้องได้ขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ต่อไป และได้ครองบัลลังก์นี้
องค์ชายจูฮยางเอ่ยวาจาที่เต็มไปด้วยความโกรธกับพระเจ้าซองโจ “เสด็จพ่อจะทรงทำเหมือนหม่อมฉันไม่มีตัวตนในสายตาพระองค์ไปอีกนานแค่ไหน … คืนนี้หม่อมฉันต้องรู้ให้ได้ว่า ทำไมเสด็จพ่อถึงแอบแต่งตั้งยุล (องค์ชายยังมยอง) ขึ้นเป็นองค์รัชทายาทองค์ต่อไป”
พระเจ้าซองโจตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่รุนแรงยิ่งนัก “เชื้อพระวงศ์มิควรกระหายอำนาจ ไม่ว่าข้าจะสั่งอะไรกับผู้ใด มันก็คืออำนาจของข้า” ไม่ทันสิ้นเสียง เลือดของก็ทะลักออกจากปากของฝ่าบาทไม่หยุด แล้วพระองค์ก็ทรงสิ้นสติไปในทันที
ผลจากการที่พระเจ้าซองโจทรงสิ้นสติไป ทำให้องค์ชายจูฮยางได้ขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ต่อไปโดยปริยาย นั่นเป็นเพราะคำสั่งที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งองค์ชายยังมยองนั้น ยังคงเป็นคำสั่งที่ยังไม่มีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ เหล่าขุนนางทั้งหลายจึงสนับสนุนองค์ชายจูฮยางขึ้นเป็นองค์รัชทายาท เพื่อที่กิจการบ้านเมืองจะได้ดำเนินต่อไป
ด้านฮารัมกำลังวางแผนเอาไว้ว่า จะมอบพญามารให้กับองค์ชายจูฮยาง เพื่อให้เกิดการนองเลือดกันในราชวงศ์ อีกทั้งยังเป็นการช่วยชอนกีไม่ให้โดนคำสาปจากการวาดภาพเหมือนกษัตริย์ … ว่าที่จริง ฮารัมได้ล่วงรู้เหตุการณ์ทุกอย่างแต่แรกจากการดูดวงดาว เขารู้ว่าพระเจ้าซองโจจะต้องสิ้นสติจากความโกรธ เขาล่วงรู้แต่แรกแล้วจริง ๆ การแก้แค้นที่คนในราชวงศ์ทำกับครอบครัวของเขามันใกล้สำเร็จเข้ามาทุกทีแล้ว
เมื่อองค์ชายจูฮยางได้ครองอำนาจ แม้เป็นเพียงแค่ชั่วคราวจากการได้รับการสนับสนุนจากเหล่าขุนนาง แต่ทว่า สิ่งที่สำคัญกับพระองค์อีกประการก็คือ “พญามาร” ดังนั้นสิ่งแรกที่พระองค์ก็คือ ไปเอาตัวฮารัมออกจากคุก และเร่งรัดให้มีการทำพิธีปิดผนึกให้เร็วขึ้น
ระหว่างทางที่องค์ชายจูฮยางและเหล่าข้าราชบริพารกำลังพาตัวฮารัมออกจากคุก ชอนกีได้แอบเข้าไปในเกี้ยวของฮารัม เมื่อออกเดินทางไปได้สักพัก องค์ชายจูฮยางเห็นผิดสังเกต พระองค์จึงชักดาบออกจากฝักแทงเข้าไปในเกี้ยว แล้วลั่นวาจาด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “จงออกมาเดี๋ยวนี้” !!!
EP.13 พิธีปิดผนึก
องค์ชายจูฮยางสงสัยว่ามีคนนอกเหนือจากฮารัมอยู่บนเกี้ยว พระองค์ชักดาบออกจากฝักแล้วแทงเข้าไปในเกี้ยว ชอนกีตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ฮารัมจึงแก้สถานการณ์โดยการเอามือไปกำดาบเอาไว้จนเลือดไหลออกมาไม่หยุด ก่อนที่เขาจะวิ่งออกมาจากเกี้ยวแล้วลงไปนั่งอยู่กับพื้น พร้อมแกล้งทำทีว่าตัวเองเจ็บปวดอย่างมากจากบาดแผลที่เกิดขึ้น นั่นก็เป็นไปเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ เพื่อให้ชอนกีได้หนีออกจากเกี้ยวไป
หลังจากชอนกีหนีออกจากเกี้ยวได้สำเร็จ นางกังวลเป็นอย่างมากกับคำพูดของฮารัมที่บอกกับนางว่า เขาจะส่งพญามารให้กับองค์ชายจูฮยาง แทนที่จะปิดผนึกพญามารเอาไว้ในภาพเหมือนกษัตริย์ “แม่หญิงจะให้ข้าทำให้พิธีปิดผนึกจนสำเร็จ แล้วทำให้แม่หญิงเสียสติอย่างนั้นหรือ และที่ข้าทำแบบนี้ก็ไม่ใช่ทำเพื่อแม่หญิงเพียงคนเดียว”
ทีนี้ ตัวแปรที่เหนือความคาดหมายก็เกิดขึ้น นั่นก็คือแหวนหยกศักดิ์สิทธิ์ที่ฮารัมให้ไว้กับชอนกี ซึ่งเขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามันเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถใช้ควบคุมพญามารได้ และในตอนนี้ องค์ชายจูฮยางต้องการแหวนวงนั้น
องค์ชายจูฮยางต้องการให้ฮารัมตามหาแหวนหยกศักดิ์สิทธิ์วงนั้น “ข้ากำลังตามหาแหวนที่พระเจ้ายองจงทรงเคยสวม แหวนวงนั้นจะทำให้ข้าสามารถควบคุมและใช้พลังของพญามารได้ตามต้องการ … เมื่อครั้งที่กษัตริย์องค์ก่อนทรงผนึกพญามาร พระองค์ทรงเก็บแหวนวงนั้นเอาไว้ที่โจคยองจอน (สำนักพิธีกรรมเกี่ยวกับสวรรค์และดวงดาว) และคนสุดท้ายที่เก็บเอาไว้คือฮาซองจิน (พ่อของฮารัม) ซึ่งเป็นหัวหน้าโจคยองจอน”
การได้รู้ว่าแหวนวงนั้นสามารถควบคุมพญามารได้ ทำให้ฮารัมคิดแผนบางอย่างขึ้นมา จากนั้นฮารัมไปหาชอนกีเพื่อขอแหวนหยกศักดิ์สิทธิ์คืน
ฮารัมเอาแหวนศักดิ์สิทธิ์ไปให้องค์ชายจูฮยาง แต่ทว่า แหวนวงที่เขาให้ไปมันเป็นแหวนปลอม !
พิธีปิดผนึกเริ่มต้นขึ้น มีซูทำพิธีปลุกพญามารในตัวของฮารัม และทำการส่งพญามารเข้าสิงร่างขององค์ชายจูฮยาง แต่ความจริงก็ปรากฏออกมาว่า แหวนที่พระองค์สวมอยู่เป็นของปลอม จึงทำให้ไม่สามารถควบคุมพญามารได้ !
จากนั้น ร่างทรงหลวงได้ส่งพญามารเข้าไปผนึกอยู่ในภาพเหมือนกษัตริย์ แต่แล้วสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ภาพเหมือนกษัตริย์รับพลังพญามารเอาไว้ไม่ได้ ฉีกขาดไปในพลิบตา
ระหว่างนั้น ด้วยความที่ชอนกีเป็นห่วงฮารัม นางจึงวิ่งออกมาเผชิญหน้ากับเขา ทำให้พญามารได้เห็นดวงตาของมันอีกครั้ง มันจึงจะเข้าทำร้ายชอนกีเพื่อเอาดวงตาของมันคืน แต่ก่อนที่พญามารจะเข้าถึงตัวชอนกี องค์ชายยังมยองชักมีดสั้นออกมาแทงเข้าไปที่กลางหลังของฮารัมจนล้มพับหมดสติไป
EP.14 ล่อเสือออกจากถ้ำ
องค์ชายยังมยองแทงมีดพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์เข้ากลางหลังของฮารัม ในเวลานั้นเอง พญามารก็เสื่อมพลังลงแล้วกลับไปผนึกอยู่ในร่างของฮารัมดังเดิม
องค์ชายจูฮยางโกรธจัดที่ฮารัมหลอกเอาแหวนศักดิ์สิทธิ์ปลอมให้พระองค์จนทำพิธีล้มเหลว องค์ชายจูฮยางจึงสั่งให้ทหารหลวงจับกุมตัวทั้งชอนกีและฮารัม แต่ทันใดนั้นเอง กองกำลังของอิลวอลซองก็บุกเข้ามาต่อสู้กับเหล่าทหารหลวงเพื่อช่วยฮารัม จังหวะเดียวกันนั้นเอง ขณะที่ฮารัมกับชอนกีอยู่บนม้าเพื่อหนีเอาตัวรอด องค์ชายจูฮยางได้เล็งธนูไปที่ฮารัม ลูกธนูนั้นพุ่งแหวกอากาศไปอย่างแม่นยำใกล้จะถึงร่างของฮารัม แต่ทว่า พยัคฆีได้ใช้พลังบางอย่างเพื่อหน่วงความเร็วของลูกธนูนั้น สุดท้ายลูกธนูนั้นก็พลาดเป้าไปอย่างเหลือเชื่อ
แม้ฮารัมกับชอนกีจะหนีไปได้ แต่ความเดือดดาลขององค์ราชจูฮยางยังคงไม่คลายลงไปแม้แต่นิดเดียว พระองค์ใช้ข้ออ้างเรื่องพิธีปิดผนึกที่ล้มเหลว เป็นเหตุผลในการเนรเทศองค์ชายยังมยองไปยังดินแดนห่างไกล แต่ทว่าองค์ชายยังมยองรู้ทัน พระองค์จึงได้ทำการสับเปลี่ยนทหารเอาไว้ล่วงหน้า ทำให้พระองค์สามารถหนีการเนรเทศได้ระหว่างทาง จากนั้นองค์ชายยังมยองก็หนีกลับมายังเมืองหลวงอีกครั้ง
สมาคมจิตรกรแบคยูถูกทางการสั่งปิด และทุกคนในสมาคมก็โดนควบคุมตัวไป และถูกตั้งข้อกล่าวหาสนับสนุนและปกปิดเรื่องที่ชอนกีเป็นจิตรกรเลียนแบบ เพื่อส่งนางเข้าโคฮวาวอน และได้เป็นจิตรกรวาดภาพเหมือนกษัตริย์ โดยได้รับการช่วยเหลือการกระทำความผิดจากองค์ชายยังมยอง
องค์ชายจูฮยางสั่งให้เหล่าทหารออกตามล่าตัวฮารัมและชอนกีแทบพลิกแผ่นดิน อีกทั้งยังปิดประกาศจับ Most Wanted ไปทั่วทั้งเมือง แต่ก็ยังไร้วี่แวว อย่างไรก็ตาม ทหารคนสนิทขององค์ชายจูฮยางได้เสนอแผนที่ดียิ่งกว่า นั่นก็คือ “แผนล่อเสือออกจากถ้ำ”
พ่อของชอนกีถูกควบคุมตัว ทำให้ชอนกีออกจากที่ซ่อนเพื่อไปช่วยท่านพ่อ แล้วชอนกีก็โดนจับไปได้โดยละม่อมอย่างแท้จริง … แน่นอนว่าสิ่งที่องค์ชายจูฮยางต้องการจากชอนกีมีเพียงสิ่งเดียว นั่นก็คือ ให้นางวาดภาพเหมือนกษัตริย์ขึ้นมาอีกครั้งเพื่อแลกกับชีวิตของท่านพ่อ ซึ่งนางก็ยอมรับข้อเสนอนี้อย่างปฏิเสธไม่ได้
ในคืนนั้นเอง ชอนกีได้รู้ความจริงบางอย่างจากปากของมีซู “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าจะต้องวาดภาพเหมือนกษัตริย์ให้เร็วที่สุด เพราะในคืนจันทร์สีเลือดที่จะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ บัณฑิตฮาจะถูกพญามารครอบงำร่างโดยสมบูรณ์”
ตอนแรกชอนกีไม่เชื่อสิ่งที่มีซูพูดแม้แต่นิดเดียว เพราะนางรู้ว่าฮารัมมีแหวนหยกศักดิ์สิทธิ์อยู่กับตัว แต่คำพูดของมีซูก็ทำให้นางไม่เชื่อไม่ได้ “ถ้าแหวนนั่นมีอำนาจเหนือพญามารจริง เหตุใดกษัตริย์องค์ก่อนถึงทรงพยายามผนึกพญามารเอาไว้กับภาพเหมือนล่ะ”
ในคืนเดียวกันนั้นเอง ฮารัมกับลูกน้องเข้าไปช่วยชอนกี แต่ก็อีกเช่นเคยที่มันเป็นกับดักที่เจ้าชายจูฮยางวางเอาไว้ การต่อสู้อย่างดุเดือดจึงเริ่มต้นขึ้น แต่ครั้งนี้ลูกธนูอาบยาพิษขององค์ชายจูฮยางได้ปักเข้ากลางหลังของท่านพ่อชอน แม้นางจะหนีไปได้ แต่ก็ต้องพบกับความเสียใจครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต
วันถัดมา องค์ชายจูฮยางก็ใช้แผนเดิมอีกครั้ง พระองค์สั่งจับคนในสมาคมจิตรกรแบคยูและพาไปหน้าประตูเมืองเพื่อทำการประหาร เมื่อชอนกีได้รู้ จิตใจนางก็ร้อนรนขึ้นอีกครั้ง จนฮารัมต้องพยายามหยุดนางเอาไว้ …
“มันเป็นกับดัก แม่หญิงออกไปสภาพนี้จะไปช่วยอะไรได้”
“จะให้ข้านอนอยู่เฉย ๆ ดูทุกคนต้องตายไปอย่างหน้าตาเฉยอย่างนั้นเหรอ”
“ข้าจะหาทางเอง”
“แล้วเมื่อไรจะหาทางเจอล่ะ !!? ตอนที่ข้าวาดภาพเหมือนกษัตริย์ท่านก็สั่งให้ข้าหยุดวาด แล้วบอกว่าท่านจะหาทางเอง แล้วสุดท้ายเป็นยังไง ข้าต้องมาเสียท่านพ่อไป แล้วตอนนี้ก็ทุกคนที่สนิทและมีพระคุณกับข้าจะต้องมาโดนประหารไปอีก ท่านจะยังหาทางไปถึงเมื่อไร”
ชอนกีร้องไห้ออกมาไม่หยุดจริง ๆ คำพูดของนางนั้นถูกต้องจริง ๆ ตรงประเด็นจริง ๆ เพราะตอนนี้แม้แต่ตัวของฮารัมเองก็ไม่รู้ว่าเขาจะทำเช่นไร ทำเพื่อเป้าหมายใด จะเพื่อการล้างแค้นให้ท่านพ่อท่านแม่ หรือว่าจะทำเพื่อหญิงที่ตัวเองรักกันแน่ คำพูดที่เอ่ยไปของเขาจึงเป็นคำพูดแบบนี้ …
“แม่หญิงจะโทษหรือจะโกรธเกลียดข้าแค่ไหนก็ได้ แต่ข้าปล่อยแม่หญิงไปไม่ได้”
“ข้าก็อยากโกรธเกลียดท่านเหมือนกัน ถ้าข้าโกรธเกลียดท่านแล้วทำให้พวกเขายังมีชีวิตอยู่ … ถ้าทุกคนเป็นอะไรไป ข้าจะไม่มีวันยกโทษให้ตัวเองไปชั่วชีวิต หลีกทางให้ข้าเถอะ”
“ข้าเข้าใจความรู้สึกนี้ดี ข้าเองด็เสียท่านพ่อท่านแม่ไป และคนที่มีค่าไปเช่นกัน แต่ข้าไม่อยากเสียใครไปอีกแล้ว ข้าสัญญาว่าข้าจะไปช่วยพวกเขาเอง … สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้เป็นสิ่งที่องค์ชายจูฮยางต้องการ ถ้าหากเราทำสิ่งที่องค์ชายต้องการ พระองค์ก็จะทรงทำแบบนี้อีกไปเรื่อย ๆ เข้าใจไหม”
หากทว่า คำพูดเพียงแค่นั้นของฮารัมไม่อาจหยุดยั้งชอนกีเอาไว้ได้ นางคิดที่จะไปช่วยคนในสมาคมจิตรกรแบคยู
ระหว่างนั้นเองเรื่องเหลือเชื่อก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อพระเจ้าซองโจเกิดฟื้นคืนได้สติขึ้นมาจากพลังเหนือธรรมชาติบางอย่าง ฝ่าบาทได้ส่งข้อความลับไปหาฮารัมเพื่อนัดให้มาพบพระองค์
EP.15 ความจริงอันปวดใจ
ฮารัมเดินทางมาพบกับพระเจ้าซองโจเป็นการส่วนตัว ณ ที่นั้นเอง เขาได้ล่วงรู้ความจริงบางอย่างที่แม้แต่เขา ผู้ได้รับฉายาว่าเป็นอิลวอลซองผู้รอบรู้ก็ไม่เคยรู้มาก่อน “เหตุใดทรงหย่อนคำร้องเอาไว้ในกล่องคำร้องวอลซองดังล่ะพ่ะย่ะค่ะ ทรงรู้อยู่แล้วหรือว่ากระหม่อมคือวอลซองดัง ?”
จังหวะนั้นเสียงขององค์ชายยังมยองก็พูดแทรกขึ้นมา “ข้าเองที่เป็นคนไปหย่อนคำร้องนั้น” ก่อนที่ฝ่าบาทจะตรัสความจริงที่พระองค์ทรงเก็บงำเอาไว้ออกมา “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้ามีชีวิตสองด้าน โดยมีนามแฝงว่าอิลวอลซอง … เจ้ารอเวลาแก้แค้นมาตลอด”
ฮารัมแสดงสีหน้าตกใจและแปลกใจเป็นอย่างมาก กับสิ่งที่ฝ่าบาทได้ตรัสออกมา แต่นั่นยังไม่เท่ากับสิ่งที่ฝ่าบาททรงตรัสต่อจากนี้ “ข้าไม่รู้เรื่องที่เสด็จพ่อสั่งให้ฆ่าพ่อของเจ้า เรื่องเหล่านี้ข้ารู้จากปากของผู้ตรวจราชการที่ตายไปแล้ว (ฮารัมเป็นคนสังหาร) ในวันที่พ่อของเจ้าตาย พญามารเป็นคนฆ่าเขา ข้าหมายถึงพญามารที่อยู่ในตัวเจ้า ในวันนั้นพ่อของเจ้าพยายามไล่พญามารออกจากร่างของเจ้า แต่เมื่อพญามารตื่นขึ้นมามันก็ได้ฆ่าเขาในทันที หลังจากนั้นข้าก็พาเจ้าเข้าวังเพื่อปกป้องเจ้าจากคนรอบตัวของเจ้า”
ความจริงอันแสนหนักอึ้งนี้เหมือนจะหนักอึ้งเกินกว่าที่ฮารัมจะยอมรับมันได้ เขาเป็นคนที่ฆ่าท่านพ่อด้วยมือของตัวเอง มันยากที่จะมีลูกคนไหนรับความจริงข้อนี้เอาไว้ได้ น้ำตาของฮารัมหลั่งไหลออกมาไม่หยุด ร่างกายของเขาสั่นสะท้านไปทั้งตัว แม้ว่าฝ่าบาทพยายามปลอบประโลมด้วยการโยนสิ่งที่เกิดขึ้นให้เป็นความผิดของพญามารก็ตาม
ยิ่งไปกว่านั้น ความจริงที่ฮารัมได้รับรู้ในวันนี้มันขัดกับความเชื่อที่เขาเชื่อมาทั้งชีวิต ว่าฝ่าบาทสั่งให้ผู้ตรวจราชการฆ่าพ่อของเขา มันหมายความว่าตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา เขาใช้ชีวิตอยู่บนความแค้นที่ไม่มีตัวตน ความแค้นที่ไม่มีจริง !
ฮารัมทรุดลงไปคุกเข่าทั้งน้ำตาเบื้องหน้าพระพักตร์ของฝ่าบาท ในจังหวะนั้นเอง พระเจ้าซองโจได้เอื้อมมือไปดึงร่างของฮารัมขึ้นมา ก่อนที่พระองค์จะทรงตรัสออกไปว่า “ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจะสู้กับพญามารด้วยตัวเอง ข้าสัญญา”
เวลาเดียวกันนั้น ชอนกีเดินทางไปยังประตูเมืองเพื่อช่วยคนในสมาคมจิตรกรแบคยูที่กำลังโดนประหาร ชอนกีลงคุกเข่าอ้อนวอนขอชีวิตคนเหล่านั้นต่อเบื้องหน้าองค์ชายจูฮยาง “องค์ชาย ทรงหยุดเถอะเพคะ ปล่อยพวกเขาไปเถิด ทรงฆ่าพ่อหม่อมฉันไปแล้วยังต้องฆ่าอีกก็คนเพคะ”
แต่ทันใดนั้นเอง ก่อนที่ดาบของเพชฌฆาตจะลงบั่นคอของผู้คน พระเจ้าซองโจทรงเสด็จมาทันเวลาพอดี พระองค์ทรงสั่งให้ปล่อยนักโทษทั้งหมด และสั่งให้องค์ชายจูฮยางกลับเมืองหลวงทันที
องค์ชายจูฮยางเข้าเฝ้าฝ่าบาท ก่อนที่จะเอ่ยความจริงที่เกิดขึ้น องค์ชายจูฮยางได้เปิดแผลขึ้นจากการที่พญามารพุ่งผ่านร่างของพระองค์ เมื่อตอนที่เกิดเหตุไฟไหม้ภาพเหมือนกษัตริย์ยองจง บาดแผลมันลามจากเอวมาจนถึงหน้าอก และทางเดียวที่จะรักษาได้ก็คือต้องให้พญามารเข้าสิงร่าง “เสด็จพ่อทรงถามว่าอะไรที่ทำให้กระหม่อมเป็นแบบนี้ คำตอบก็คือเสด็จพ่อไงพ่ะย่ะค่ะ” อย่างไรก็ตาม ฝ่าบาทไม่สนใจสิ่งที่องค์ชายจูฮยางเอ่ยวาจาออกมา แม้ว่าในใจของพระองค์จะเจ็บช้ำสักเพียงไหนก็ตาม
ในคืนนั้นเอง ฮารัมเล่าเรื่องที่เขาเป็นคนที่ฆ่าพ่อตัวเองให้ชอนกีได้รับฟัง ส่วนชอนกีก็เล่าความเจ็บปวดที่ต้องเสียท่านพ่อให้ฮารัมได้รับฟัง ณ จุดนี้ ทั้งสองกอดกันและต่างปลอบประโลมหัวใจของกันและกัน เพื่อให้ผ่านวันอันโหดร้ายที่เจ็บปวดหัวใจมากมายเหลือเกิน
ฮารัมได้แต่คิดถึงเรื่องที่ผ่านมาว่ามันช่างเป็นช่วงเวลาที่ไร้ความหมายเสียเหลือเกิน “ชีวิตที่ผ่านมาของข้าช่างไร้ความหมายเสียเหลือเกิน มัวแต่มุ่งแต่เพียงเพื่อล้างแค้น แต่สุดท้ายก็มารู้ความจริงที่ว่า ข้าเป็นคนฆ่าพ่อตัวเอง ต่อให้มันเป็นฝีมือของพญามารแต่ข้าก็มิอาจให้อภัยตัวเองได้เลย” จากนั้นฮารัมก็หนีจากชอนกีไป เพราะเขาเกรงว่าพญามารในตัวเขาจะทำให้ชอนกีเป็นอันตราย
ชอนกีกลับมาที่สมาคมจิตรกรแบคยูอีกครั้ง นางพยายามคิดว่าเพราะเหตุใดภาพเหมือนกษัตริย์ที่นางวาดจึงขาดวิ่นเมื่อพญามารเข้าสิง จังหวะนั้นเอง ฮวาชา (ภูติผู้คลั่งผลงานศิลปะ) ได้ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าชอนกี พร้อมกับเฉลยสิ่งที่นางสงสัยว่า แท้จริงแล้ว ภาพเหมือนกษัตริย์อันศักดิ์สิทธิ์นั้นจะสมบูรณ์ได้เมื่อจิตรกรผู้วาดได้ทำข้อตกลงกับฮวาชาเสียก่อน เมื่อทำข้อตกลงกันแล้วพลังของฮวาชาจะเข้าไปอยู่ในภาพเหมือนนั้น และจะทำให้ภาพนั้นสมบูรณ์ ในที่สุดชอนกีก็ยอมทำข้อตกลงกับฮวาชา
ฮารัมโดนพญามารกัดกินร่างจนเกือบสมบูรณ์แล้ว ในตอนนั้นเอง “ชายแก่ในคุกหิน” (ปู่ของฮารัม) ก็ได้ปรากฏตัวขึ้น พร้อมกับคำแนะนำให้ฮารัมเข้าร่วมพิธีปิดผนึกพญามาร และให้ทำลายแหวนหยกศักดิ์สิทธิ์นั้นเสีย เพราะไม่เช่นนั้นพญามารจะกัดกินและอาศัยอยู่ในร่างของเขาไปตลอดกาล …
EP.16 ตอนจบ
คืนนี้เป็นคืนที่ดาวพฤหัสซ่อนอยู่หลังดวงจันทร์ ซึ่งเป็นคืนวันพระจันทร์สีเลือด ดังนั้น คืนนี้ต้องผนึกพญามารเอาไว้ให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะต้องรออีกหนึ่งพันปีถึงจะมีโอกาสแบบนี้อีกครั้ง
ฮารัมทำลายแหวนหยกศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นเขาก็เผชิญหน้ากับพญามารที่ปรากฏตัวออกมาพูดอย่างยิ้มเยาะ “พิธีปิดผนึกมันไม่มีประโยชน์หรอก แกไม่รู้เหรอว่าร่างกายของแกโดนกัดกินแทบจะหมดสิ้นแล้ว”
ในขณะที่ ยายซัมชินกับฮวาชากำลังเฝ้ารอโอกาสที่จะจัดการกับพญามารในค่ำคืนนี้ ส่วนพยัคฆีก็เฝ้าดูเหตุการณ์นี้ด้วยความกังวล
ฮารัมปรากฏตัวขึ้นเพื่อเข้าร่วมพิธีปิดผนึก แต่แท้จริงแล้วมันคือพญามารที่ต้องการมาเอาดวงตาของมันคืน พญามารในร่างของฮารัมเข้าไปหาชอนกี ที่ตอนนี้กำลังเร่งรีบในการวาดภาพเหมือนกษัตริย์ สุดท้ายแล้วมันก็ได้ดวงตาของมันคืนไปอย่างง่ายดาย
พญามารกำลังจะสังหารชอนกีให้สิ้นชีวิตไปเสีย แต่ทันใดนั้นเอง พยัคฆีก็เข้ามาช่วยชอนกีเอาไว้ได้อย่างหวุดหวิด แต่ทว่า การที่พญามารได้ดวงตาของมันคืน เท่ากับมันได้กลายเป็นพญามารที่สมบูรณ์แล้ว พลังของมันกลับมาแข็งแกร่ง เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้น ยายซัมชินจึงต้องเข้ามาช่วยพยัคฆีอีกแรง
ตัดภาพมาที่ชอนกี ซึ่งตอนนี้กลายเป็นจิตรกรตาบอดมองไม่เห็นเสียแล้ว แต่ภาพเหมือนกษัตริย์ยังวาดไม่เสร็จ !? อย่างไรก็ตามจากความช่วยเหลือของฮวาชา ทำให้จิตวิญญาณของฮงอึนโฮ พ่อของชอนกีปรากฏตัวขึ้นมา จากนั้นฮงอึนโฮก็เข้าสิงร่างชอนกีเพื่อช่วยให้นางวาดภาพเหมือนกษัตริย์จนเสร็จ
ยายซัมชินเมื่อเห็นภาพเหมือนวาดเสร็จแล้ว ก็ใช้พลังทั้งหมดของตัวเองที่มี นั่นหมายความว่ายายซัมชินสละชีวิตของตัวเองเพื่อผนึกพญามาร ทำให้พิธีปิดผนึกสำเร็จ พญามารสิ้นฤทธิ์ไปง่ายดายอย่างไม่น่าเชื่อ
5 ปีต่อมา …
ชอนกีและฮารัมกลับมามองเห็นเป็นปรกติอีกครั้ง จากการที่คำสาปของพญามารที่มีต่อชอนกีได้คลายลงไป ส่วนฮารัมก็ได้ดวงตาคืนจากพญามาร (ดวงตาที่พญามารได้จากชอนกี ซึ่งแต่เดิมเป็นดวงตาของฮารัม) หลังจากนั้นทั้งสองใช้ชีวิตครอบครัวกันในพื้นที่ชนบทอย่างมีความสุข และมีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน
ฮารัมพาชอนกีขี่ม้ากลับมาที่สวนท้อที่เขาเคยสัญญากับนางเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวัยเด็กอีกครั้ง เพื่อเติมเต็มคำสัญญาที่ขาดหายไป จากนั้นทั้งสองก็จุมพิตกันด้วยรักอันหวานซึ้งอย่างมีความสุข
จบบริบูรณ์
- อธิบายตอนจบ Hierarchy (2024) วังวนสงครามชนชั้น
- สรุปเนื้อเรื่อง Queen of Tears (2024) ราชินีแห่งน้ำตา
- สรุปเนื้อเรื่อง Marry My Husband (2024) สามีคนนี้แจกฟรีให้เธอ
Source: SBS Korea