Lovers of the Red Sky EP.15 : ฮารัมรู้ความจริงถึงเหตุการณ์ที่พ่อของเขาตาย จากปากของพระเจ้าซองโจ ความจริงนั้นมันทำให้เขาเสียใจแทบสิ้นสติ ความจริงที่เขาไม่ให้อภัยตัวเองเป็นเด็ดขาด …
ฮารัมเดินทางมาพบกับพระเจ้าซองโจเป็นการส่วนตัว ณ ที่นั้นเอง เขาได้ล่วงรู้ความจริงบางอย่างที่แม้แต่เขา ผู้ได้รับฉายาว่าเป็นอิลวอลซองผู้รอบรู้ก็ไม่เคยรู้มาก่อน “เหตุใดทรงหย่อนคำร้องเอาไว้ในกล่องคำร้องวอลซองดังล่ะพ่ะย่ะค่ะ ทรงรู้อยู่แล้วหรือว่ากระหม่อมคือวอลซองดัง ?”
จังหวะนั้นเสียงขององค์ชายยังมยองก็พูดแทรกขึ้นมา “ข้าเองที่เป็นคนไปหย่อนคำร้องนั้น” ก่อนที่ฝ่าบาทจะตรัสความจริงที่พระองค์ทรงเก็บงำเอาไว้ออกมา “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้ามีชีวิตสองด้าน โดยมีนามแฝงว่าอิลวอลซอง … เจ้ารอเวลาแก้แค้นมาตลอด”
ฮารัมแสดงสีหน้าตกใจและแปลกใจเป็นอย่างมาก กับสิ่งที่ฝ่าบาทได้ตรัสออกมา แต่นั่นยังไม่เท่ากับสิ่งที่ฝ่าบาททรงตรัสต่อจากนี้ “ข้าไม่รู้เรื่องที่เสด็จพ่อสั่งให้ฆ่าพ่อของเจ้า เรื่องเหล่านี้ข้ารู้จากปากของผู้ตรวจราชการที่ตายไปแล้ว (ฮารัมเป็นคนสังหาร) ในวันที่พ่อของเจ้าตาย พญามารเป็นคนฆ่าเขา ข้าหมายถึงพญามารที่อยู่ในตัวเจ้า ในวันนั้นพ่อของเจ้าพยายามไล่พญามารออกจากร่างของเจ้า แต่เมื่อพญามารตื่นขึ้นมามันก็ได้ฆ่าเขาในทันที หลังจากนั้นข้าก็พาเจ้าเข้าวังเพื่อปกป้องเจ้าจากคนรอบตัวของเจ้า”
ความจริงอันแสนหนักอึ้งนี้เหมือนจะหนักอึ้งเกินกว่าที่ฮารัมจะยอมรับมันได้ เขาเป็นคนที่ฆ่าท่านพ่อด้วยมือของตัวเอง มันยากที่จะมีลูกคนไหนรับความจริงข้อนี้เอาไว้ได้ น้ำตาของฮารัมหลั่งไหลออกมาไม่หยุด ร่างกายของเขาสั่นสะท้านไปทั้งตัว แม้ว่าฝ่าบาทพยายามปลอบประโลมด้วยการโยนสิ่งที่เกิดขึ้นให้เป็นความผิดของพญามารก็ตาม
ยิ่งไปกว่านั้น ความจริงที่ฮารัมได้รับรู้ในวันนี้มันขัดกับความเชื่อที่เขาเชื่อมาทั้งชีวิต ว่าฝ่าบาทสั่งให้ผู้ตรวจราชการฆ่าพ่อของเขา มันหมายความว่าตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา เขาใช้ชีวิตอยู่บนความแค้นที่ไม่มีตัวตน ความแค้นที่ไม่มีจริง !
ฮารัมทรุดลงไปคุกเข่าทั้งน้ำตาเบื้องหน้าพระพักตร์ของฝ่าบาท ในจังหวะนั้นเอง พระเจ้าซองโจได้เอื้อมมือไปดึงร่างของฮารัมขึ้นมา ก่อนที่พระองค์จะทรงตรัสออกไปว่า “ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจะสู้กับพญามารด้วยตัวเอง ข้าสัญญา”
เวลาเดียวกันนั้น ชอนกีเดินทางไปยังประตูเมืองเพื่อช่วยคนในสมาคมจิตรกรแบคยูที่กำลังโดนประหาร ชอนกีลงคุกเข่าอ้อนวอนขอชีวิตคนเหล่านั้นต่อเบื้องหน้าองค์ชายจูฮยาง “องค์ชาย ทรงหยุดเถอะเพคะ ปล่อยพวกเขาไปเถิด ทรงฆ่าพ่อหม่อมฉันไปแล้วยังต้องฆ่าอีกก็คนเพคะ”
แต่ทันใดนั้นเอง ก่อนที่ดาบของเพชฌฆาตจะลงบั่นคอของผู้คน พระเจ้าซองโจทรงเสด็จมาทันเวลาพอดี พระองค์ทรงสั่งให้ปล่อยนักโทษทั้งหมด และสั่งให้องค์ชายจูฮยางกลับเมืองหลวงทันที
องค์ชายจูฮยางเข้าเฝ้าฝ่าบาท ก่อนที่จะเอ่ยความจริงที่เกิดขึ้น องค์ชายจูฮยางได้เปิดแผลขึ้นจากการที่พญามารพุ่งผ่านร่างของพระองค์ เมื่อตอนที่เกิดเหตุไฟไหม้ภาพเหมือนกษัตริย์ยองจง บาดแผลมันลามจากเอวมาจนถึงหน้าอก และทางเดียวที่จะรักษาได้ก็คือต้องให้พญามารเข้าสิงร่าง “เสด็จพ่อทรงถามว่าอะไรที่ทำให้กระหม่อมเป็นแบบนี้ คำตอบก็คือเสด็จพ่อไงพ่ะย่ะค่ะ” อย่างไรก็ตาม ฝ่าบาทไม่สนใจสิ่งที่องค์ชายจูฮยางเอ่ยวาจาออกมา แม้ว่าในใจของพระองค์จะเจ็บช้ำสักเพียงไหนก็ตาม
ในคืนนั้นเอง ฮารัมเล่าเรื่องที่เขาเป็นคนที่ฆ่าพ่อตัวเองให้ชอนกีได้รับฟัง ส่วนชอนกีก็เล่าความเจ็บปวดที่ต้องเสียท่านพ่อให้ฮารัมได้รับฟัง ณ จุดนี้ ทั้งสองกอดกันและต่างปลอบประโลมหัวใจของกันและกัน เพื่อให้ผ่านวันอันโหดร้ายที่เจ็บปวดหัวใจมากมายเหลือเกิน
ฮารัมได้แต่คิดถึงเรื่องที่ผ่านมาว่ามันช่างเป็นช่วงเวลาที่ไร้ความหมายเสียเหลือเกิน “ชีวิตที่ผ่านมาของข้าช่างไร้ความหมายเสียเหลือเกิน มัวแต่มุ่งแต่เพียงเพื่อล้างแค้น แต่สุดท้ายก็มารู้ความจริงที่ว่า ข้าเป็นคนฆ่าพ่อตัวเอง ต่อให้มันเป็นฝีมือของพญามารแต่ข้าก็มิอาจให้อภัยตัวเองได้เลย” จากนั้นฮารัมก็หนีจากชอนกีไป เพราะเขาเกรงว่าพญามารในตัวเขาจะทำให้ชอนกีเป็นอันตราย
ชอนกีกลับมาที่สมาคมจิตรกรแบคยูอีกครั้ง นางพยายามคิดว่าเพราะเหตุใดภาพเหมือนกษัตริย์ที่นางวาดจึงขาดวิ่นเมื่อพญามารเข้าสิง จังหวะนั้นเอง ฮวาชา (ภูติผู้คลั่งผลงานศิลปะ) ได้ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าชอนกี พร้อมกับเฉลยสิ่งที่นางสงสัยว่า แท้จริงแล้ว ภาพเหมือนกษัตริย์อันศักดิ์สิทธิ์นั้นจะสมบูรณ์ได้เมื่อจิตรกรผู้วาดได้ทำข้อตกลงกับฮวาชาเสียก่อน เมื่อทำข้อตกลงกันแล้วพลังของฮวาชาจะเข้าไปอยู่ในภาพเหมือนนั้น และจะทำให้ภาพนั้นสมบูรณ์ ในที่สุดชอนกีก็ยอมทำข้อตกลงกับฮวาชา
ฮารัมโดนพญามารกัดกินร่างจนเกือบสมบูรณ์แล้ว ในตอนนั้นเอง “ชายแก่ในคุกหิน” (ปู่ของฮารัม) ก็ได้ปรากฏตัวขึ้น พร้อมกับคำแนะนำให้ฮารัมเข้าร่วมพิธีปิดผนึกพญามาร และให้ทำลายแหวนหยกศักดิ์สิทธิ์นั้นเสีย เพราะไม่เช่นนั้นพญามารจะกัดกินและอาศัยอยู่ในร่างของเขาไปตลอดกาล …
Source : SBS Korea