Skip to content
ซีรีส์เกาหลี Dr. Brain (2021)

สรุปเนื้อเรื่องซีรีส์เกาหลี Dr. Brain (2021)

Dr. Brain (2021) สปอยล์ : นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะด้านสมอง ใช้สิ่งที่เรียกว่า “ซิงโครไนซ์คลื่นสมอง” คลี่คลายคดีฆาตกรรมปริศนาในครอบครัวของเขา …

EP.1 ซิงก์โครไนซ์สมอง

เมื่อฤดูใบไม้ร่วงปี 1990 ที่กรุงโซล …

เซวอนเป็นเด็กพิเศษที่ไม่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเลยแม้แต่นิดเดียว แม่เซวอนพาเขาไปรักษาที่สถาบันเด็กที่มีกลุ่มอาการออทิสติก (ASD) แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ขณะที่แม่เซวอนกำลังเดินข้ามถนนไปหาเขา รถบรรทุกก็เกิดวิ่งมาพุ่งชนแม่ไปต่อหน้าต่อตา !

แพทย์รายงานผล MRI สมอง “เซวอนเห็นแม่ตัวเองตายไปต่อหน้าต่อตา แต่เขาไม่แสดงความเครียดหรืออารมณ์อะไรเลย เมื่อดูจากการเอ็มอาไอ สมองส่วนฮิปโปแคมปัสกับส่วนอมิกดาลาอยู่ห่างกันมาก ความทรงจำของเขาเป็นเลิศ แต่เขาไม่แสดงปฏิกิริยาทางอารมณ์ต่อความทรงจำเหล่านั้น”

เมื่อดูจากผลสแกนจะเห็นว่า สมองส่วนฮิปโปแคมปัสใหญ่กว่าอมิกดาลา เมื่อเทียบกับเด็กทั่วไปแล้วมีขนาดใหญ่กว่าถึงสองเท่า ส่วนอมิกดาลามีขนาดแค่หนึ่งส่วนสี่เท่านั้น

นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องสมองได้เข้าไปพูดคุยกับเซวอน เพื่อถามถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับแม่ของเขา แต่คำตอบที่ได้นั้นสร้างความตกตะลึงให้กับทุกคนที่ได้ยิน “ผู้ชายคนหนึ่งสวมหมวกสีน้ำเงิน ตาเบิกกว้าง แล้วรถก็ชน กระจกหน้ารถบรรทุกเหมือนใยแมงมุม ทะเบียนรถ โซล 7 จีเอ 1947 ผงสีขาวและเศษกระจกสีขาวกระจายใส่หัวของแม่เหมือนโดนน้ำสาด จากนั้นแม่ก็เผยอปากพูดวว่า เซวอน”

นับแต่นั้น เซวอนก็มีความปรารถนาอันแรงกล้าที่อยากรู้ว่าสมองทำงานอย่างไร มันทำให้เขาหันมาทำการวิจัยเรื่องสมอง เพื่อเข้าไปล่วงรู้ความคิดในสมองของผู้อื่น

ตัดภาพกลับมาปัจจุบัน …

หมอโคเซวอน (รับบทโดย อีซอนคยุน) กำลังนำเสนอผลงานวิจัยของเขาเรื่องการซิงโครไนซ์สมองในห้องประชุม “เราทุกคนต่างต้องการเข้าใจว่าคนอื่นคิดอะไรหรือรู้สึกอย่างไร คำถามแรกเริ่มมาจากความสงสัยล้วน ๆ ไปสู่การพัฒนาถึงสิ่งที่เรียกว่า ซิงโครไนซ์คลื่นสมองผ่านความสัมพันธ์เชิงควอนตัม … ไม่ว่าสมองจะซับซ้อนแค่ไหน เซลล์ประสาทก็ใช้สัญญาณไฟฟ้าในการสื่อสาร เราสามารถวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของรูปแบบสัญญาณไฟฟ้า”

เซวอนบอกถึงประโยชน์ที่ได้หากงานวิจัยนี้สำเร็จ “ในแง่ทางการแพทย์ เราสามารถช่วยผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางสมองที่ไม่สามารถสื่อสารได้ หรือผู้ป่วยที่เป็นโรคเสื่อมของระบบประสาท เช่น ภาวะสมองเสื่อม เราจะสามารถล่วงรู้ความคิดใต้สำนึกของผู้ป่วยโคม่า เราสามารถวินิจฉัยสาเหตุของอาการโคม่าแล้วหาวิธีรักษาได้ วันนั้นอาจมาถึงเมื่อเราสามารถสื่อสารผ่านความคิดโดยไม่ต้องใช้ภาษา”

จริง ๆ แล้วเซวอนเคยมีภรรยาและลูกชาย เขารู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถเป็นสามีและพ่อเหมือนคนอื่น ๆ ได้ แม้บางครั้งเขาก็รู้สึกว่าตัวเขาสามารถใช้ชีวิตได้แบบปกติ แต่สุดท้ายแล้วเขาคิดผิด

จองแจอี (รับบทโดย อียูยอง) ภรรยาของเซวอนเลี้ยงแมวเพื่อให้มันอยู่เป็นเพื่อนกับโทยุน (ลูกชาย) เพราะเธอมองว่ามันจะช่วยพัฒนาความเห็นอกเห็นใจ การสื่อสาร และทักษะการเข้าสังคมให้กับลูกชาย ในทางตรงกันข้าม เซวอนกลับมองว่าแมวทำให้ทุกอย่างในบ้านวุ่นวายไปหมด และเขาก็ไม่คิดว่าแมวจะเป็นสิ่งที่จะทำให้โทยุนเป็นปกติ

จากนั้นเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เซวอนเสียลูกชายไปจากเหตุการณ์แก๊สระเบิดในบ้าน หลังจากนั้นภรรยาของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป เธอรับไม่ได้กับความสูญเสียที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ เธอกลับไม่เคยคิดว่าลูกตายไปแล้วเลยแม้สักครั้งเดียว “โทยุนยังไม่ตาย” แจอีเชื่ออย่างนั้นจริง ๆ ว่าลูกของเธอยังไม่ตาย

และหลังจากนั้นไม่นาน แจอีก็นอนเป็นผักของบนเตียงที่โรงพยาบาล (ซึ่งปมนี้จะกลายเป็นแกนกลางการดำเนินเรื่องต่อไป)

ณ ศูนย์วิจัยสมอง Brain Communication เซวอนทำการทดลองซิงโคนไนซ์สมองกับหนูทดลองครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุดก็ประสบผลสำเร็จ แต่ผลการทดลองที่ออกกลับทำให้เขาแปลกใจ เพราะการทดลองสำเร็จเพราะสัตว์ทดลองตาย !

เมื่อผลการทดลองในสัตว์ประสบความสำเร็จ เซวอนจึงต้องการทำการทดลองทางคลินิก ซึ่งหมายความว่าเขาต้องการทดลองกับมนุษย์ แต่อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนการขอทำการทดลองกับมนุษย์นั้นมีขั้นตอนที่ยุ่งยาก ที่สำคัญต้องใช้เวลานานนับปี เซวอนจึงคิดที่จะใช้ทางลัด นั่นคือการใช้เส้นสายเพื่อเข้าไปทำการทดลองกับศพในห้องดับจิต ซึ่งปรากฏว่าได้ผล

แต่ระหว่างนั้นเอง ก็เกิดเรื่องราวปริศนาเกิดขึ้น เมื่อนักสืบเอกชนที่ชื่อ อีคังมู (รับบทโดย พัคฮีซุน) ได้เข้ามาสอบถามเรื่องราวที่ทำให้เขางงงวยเป็นอย่างมาก …

“ผมอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับจองแจอี ภรรยาของคุณ”

“อยากรู้ไปทำไม ?”

“อิมจุนกิเป็นลูกค้าของผม เขาอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับภรรยาของคุณ”

“ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ที่รู้ ๆ คือตอนนี้คุณยืนอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวของผม กลับไปซะเถอะ”

ไม่เท่านั้น ผู้หมวดชเวจีอึน ตำรวจแผนกสืบสวนได้เข้ามาสอบปากคำเซวอนถึงที่บ้าน โดยระบุว่า อิมจุนกิมีความสนิทสนมกับแจอี และเขาถูกเพิ่งถูกฆาตกรรม

เซวอนแอบเข้าไปทำการซิงโครไนซ์สมองกับศพของอิมจุนกิเพื่อหาความจริง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นกลับเป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่า

การซิงก์สมองไม่เพียงแค่ถ่ายโอนภาพความทรงจำเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนิสัยและพฤติกรรมด้วย หลังจากทำการซิงก์สมองแล้วยังเกิดเหตุการณ์แปลก ๆ ขึ้นตลอด อีกทั้งยังรู้สึกถึงอารมณ์ที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เซวอนยังได้เห็นสิ่งที่เขาไม่สามารถระบุได้ว่ามันคืออะไร แต่เขาตั้งสมมติฐานว่า อาจเกิดจากผลข้างเคียงของการปะทะกันระหว่างคลื่นสมองของเซวอนกับของผู้เสียชีวิต ผลข้างเคียงที่ว่าคือภาพหลอนที่เกิดจากการซิงก์สมอง เมื่อความทรงจำปะทะกันทำให้เกิดการสร้างภาพหลอนขึ้นมา สิ่งที่เขาต้องทำก็คือการตัดภาพหลอนเหล่านั้นออกไปเพื่อหาความทรงจำที่แท้จริง

ในภาพหลอนที่เขาเห็นนั้นเอง มันทำให้เขาได้รู้ว่า “โทยุนยังไม่ตาย” !

ความทรงจำของอิมจุนกิทำให้เขาได้รู้ว่าโทยุนยังไม่ตาย เมื่อเขารู้เช่นนั้น เซวอนจึงเดินหน้าค้นหาความจริงต่อไป และมีทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้รู้ความจริง นั่นก็คือต้องเข้าไปในสมองของแจอี !?

EP.2 ซิงก์สมองมิก้า

ร่างแจอีชักกระตุกไม่หยุด เซวอนตัดสินใจหยุดการซิงก์สมองทันที

การซิงก์สมองกับผู้ที่ยังมีชีวิตทำได้เพียงระยะสั้น ๆ เนื่องจากอาการชักในสมองกลีบขมับ ความทรงจำที่เซวอนสามารถเข้าถึงได้มันคล้ายกับจินตนาการ เขาคิดว่ามันอาจเป็นภาพหลอนที่สะท้อนจากจิตใต้สำนึกของแจอี นั่นอาจเป็นเพราะคลื่นสมองของผู้ที่ยังมีชีวิต ควบคุมและแปลผลลัพธ์ได้ยากกว่าคลื่นสมองของผู้เสียชีวิต ทำให้การซิงก์สมองกับผู้มีชีวิตมีความไม่แน่นอนและเป็นอันตราย เมื่อเป็นเช่นนั้น เซวอนจึงคิดว่าจะหยุดการทดลองซิงก์สมองกับผู้มีชีวิตเอาไว้ก่อน จนกว่าเขาจะสามารถหาวิธีแก้ได้

อย่างไรก็ตาม การซิงก์สมองกับแจอีไม่ได้ล้มเหลวไปซะทั้งหมด เซวอนยังรับรู้เศษเสี้ยวความทรงจำของเธออยู่ ทำให้เขาได้เห็นภาพของเด็กผู้หญิงที่ชื่อฮีจินกับอิมจุนกิเดินทางมาที่บ้านของเขา

จากข้อมูลต่าง ๆ ทำให้เซวอนประมวลเรื่องราวออกมาได้ว่า

  • อิมจุนกิกับแจอีสนิทกันมาก
  • อิมจุนกิเคยมาที่บ้านของเขา
  • ฮีจินเป็นลูกสาวของอิมจุนกิ
  • โทยุนยังไม่ตาย ?

เซวอนตัดสินใจที่จะตามหาเด็กหญิงที่ชื่อฮีจิน เพราะในความทรงจำของแจอี ตัวฮีจินเป็นคนบอกว่า “โทยุนยังไม่ตาย”

เซวอนนัดเจอกับนักสืบเอกชนอีคังมู เพื่อถามหาข้อมูลของฮีจิน …

“ภรรยาผมกับอิมจุนกิรู้จักกันได้ยังไง ?”

“พวกเขาเจอกันที่คลินิกเด็กพิเศษแห่งหนึ่ง”

“ตอนนี้ฮีจินอยู่ที่ไหน ?”

“ไม่รู้ แต่ผมคิดว่าเธอคงอยู่กับญาติ”

จากนั้นอีคังมูก็พาเซวอนไปที่บ้านของอิมจุนกิ ระหว่างที่อยู่ที่นั่นเซวอนได้เจอศพของมิก้า แมวของโทยุนที่นอนตายจากการเพิ่งถูกรถชน ทีนี้ล่ะ เซวอนจึงคิดที่จะซิงก์สมองกับมิก้า !

เซวอนทำการซิงก์สมองกับมิก้า แต่ก็เกิดปัญหาบางอย่างขึ้นมา เนื่องจากการมองเห็นของแมวและมนุษย์แตกต่างกัน จึงทำให้เซวอนเห็นภาพแปลก ๆ ที่แยกไม่ออก และยังได้ยินเสียงที่แหลมบาดหู

ระหว่างนั้นเอง ดูเหมือนว่าความทรงจำของมิก้าจะค่อย ๆ ผุดขึ้นมา ทำให้เซวอนได้เห็นทะเบียนรถของผู้ต้องสงสัยที่ฆ่าอิมจุนกิ

เมื่อรู้หมายเลขทะเบียน เซวอนจึงโทร. ไปถามข้อมูลทะเบียนรถจากผู้หมวดสาวชเวจีอึน ปรากฏว่าทะเบียนรถคันนั้นจดทะเบียนในชื่อของอีคังมู แต่สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ อีคังมูตัวจริงตายไปสี่วันก่อนที่อิมจุนกิจะถูกฆาตกรรม !!!

EP.3 ตัวตนจากความทรงจำ

แท้จริงแล้ว อีคังมูเป็นตัวตนที่เซวอนสร้างขึ้นมาจากความทรงจำ ตัวตนที่ไม่มีจริงในโลกความเป็นจริง

เซวอนได้เรียนรู้ว่าอีคังมูเป็นศพแรกที่เขาได้ทำการทดลองซิงก์สมองกับมนุษย์ เซวอนคิดว่า ที่เขาเห็นตัวอีคังมูตัวเป็น ๆ แทนที่จะเห็นเฉพาะความทรงจำนั้น น่าจะเกิดจากความผิดพลาดระหว่างการทดลอง ทำให้อีคังมูถูกดูดเข้าไปในสมองของเซวอน ทั้งความทรงจำ รวมถึงจิตใต้สำนึกทุกอย่างเลย

ระหว่างนั้น อีคังมูได้ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น เขาคิดว่าทั้งหมดไม่ใช่เรื่องบังเอิญ “มันแปลกนะ ที่ผมซึ่งเป็นผู้ทดลองการซิงก์สมองรายแรกของคุณ เป็นนักสืบเอกชนที่ชู้รักของภรรยาคุณเป็นคนจ้างงานให้ตามสืบเรื่องราวของคุณ”

เซวอนกำลังขบคิดทบทวนเหตุการณ์ต่าง ๆ จนภาพจากความทรงจำของอีคังมูได้ผุดขึ้นในหัวของเขา … อีคังมูไม่ได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ แต่โดนฆาตกรรม !!

เซวอนมานั่งนามิลอยู่ที่คาเฟ่ตามเวลานัด แต่ดูเหมือนว่านามิลจะผิดนัด ระหว่างนั้นเซวอนสังเกตเห็นชายฉกรรจ์สองคนนั่งอยู่ที่คาเฟ่ ทั้งสองได้เดินมาประกบเซวอน “ผมว่าคุณตามมากับพวกเราเงียบ ๆ ดีกว่า อย่าให้ต้องใช้ความรุนแรง” หนึ่งในสองหยิบปืนออกมาจากจากเสื้อคลุม แสดงให้เซวอนเห็นว่าเอาจริง

เซวอนยอมแต่โดยดี แต่จู่ ๆ สกิลตาแมวและการเคลื่อนไหวของแมวก็ปรากฏขึ้น ทำให้เซวอนตัดสินใจต่อสู้กับชายทั้งสอง หนึ่งในสองคนนั้นคว้าปืนออกมายิงใส่เซวอนไม่ยั้ง แต่ทว่าด้วยสกิลแมวทำให้เซวอนหลบกระสุนได้อย่างเหลือเชื่อ

จังหวะเดียวกันนั้นเอง ตำรวจสายจีอึนได้ตามเซวอนมาที่ห้างสรรพสินค้า จึงทำให้เกิดการยิงปะทะกัน หนึ่งในคนร้ายถูกวิสามัญฆาตกรรม แต่อีกคนก็อาศัยตอนชุลมุนหลบหนีไปได้ อย่างไรก็ตาม เซวอนก็ถูกควบคุมตัวไปในฐานะผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมอิมจุนกิ

ระหว่างที่ถูกควบคุมตัวเซวอนพยายามขอร้องจีอึนให้เขาซิงก์สมองกับคนร้ายที่เพิ่งเสียชีวิตไป เพราะเขาเชื่อว่าเป็นหนทางเดียวที่สามารถตามหาลูกชาย และคลี่คลายปริศนาการตายของอีคังมู รวมไปถึงอิมจุนกิได้ ในตอนแรกจีอึนไม่ยอมเพราะมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ในท้ายที่สุดเมื่อการสืบตามขั้นตอนปกติไม่มีความคืบหน้า จีอึนจึงยอมให้เซวอนทำการซิงก์สมองโดยมีเงื่อนไขว่าเธอต้องอยู่ด้วย

ชายที่เซวอนทำการซิงก์สมองชื่ออีแทกู ภาพจากความทรงจำทำให้เซวอนได้รู้ว่า ทั้งสองเป็นคนฆ่าอีคังมูและอึมจุนกิ ส่วนเด็ก ๆ ก็โดนจับให้กระเป๋าไปฝังดินทั้งเป็น แต่อีแทกูทำใจฆ่าเด็กอย่างโหดเหี้ยมไม่ได้ เขาจึงเอาฮีจิน (ลูกสาวของอิมจุนกิ) ไปฝากไว้กับแฟนที่เป็นผู้หญิงโรงน้ำชา (หญิงขายบริการ) โดยมีชายปริศนาเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง

เมื่อเซวอนได้เบาะแสจากความทรงจำ จีอึนและกำลังตำรวจจึงบุกตามไปหาตัวฮีจินจนเจอ

ในตอนท้าย เซวอนเดินทางมาหาฮีจินที่โรงพยาบาลเพื่อถามถึงโทยุน ลูกชายของเขา หนูน้อยฮีจิน ซึ่งเป็นเด็กพิเศษจึงวาดรูปแทนคำตอบ …

EP.4 รูปวาดผีเสื้อ

อีจินวาดรูปผีเสื้อ โดยบริเวณปีกเป็นรูปเด็กชายยืนอยู่กับผู้หญิง เซวอนมองดูรูปนั้นโดยไม่เข้าใจว่าทำไมฮีจินถึงวาดรูปผีเสื้อ และก็ยังไม่รู้ด้วยว่าผู้หญิงคนนั้นคือใคร แถมยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าสถานที่ในรูปนั้นคือที่ไหน แต่ที่เขามั่นใจคือเด็กชายคนนั้นคือโทยุน

ระหว่างที่เซวอนมืดแปดด้านในการตามหาโทยุน เพราะรูปวาดของฮีจินที่เป็นเพียงเบาะแสเดียวดูจะไม่ได้ช่วยอะไรเขาได้เลย จังหวะนั้นเองอีคังมูก็ปรากฏตัวขึ้น และได้แนะนำให้เซวอนกลับไปยังบ้านหลังที่เกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ เพราะมันเป็นที่สุดท้ายที่โทยุนอยู่ขณะที่ยังมีชีวิต

เซวอนกลับไปที่บ้านหลังนั้นตามคำแนะนำของอีคังมู ณ ที่นั้นเอง ความทรงจำของอีแทกูก็ผุดขึ้นมา เซวอนได้เห็นภาพเหตุการณ์ในวันที่เกิดเหตุไฟไหม้ และเขาได้เห็นภาพของเด็กคนที่โดนไฟคลอกตายในบ้าน เด็กคนนั้นไม่ใช่โทยุน !

เมื่อมั่นใจว่าเด็กที่ตายไม่ใช่โทยุน เซวอนจึงไปขุดหลุมศพ (ที่ทุกคนคิดว่าเป็นโทยุน) ขึ้นมา เพื่อนำชิ้นส่วนกระดูกมาตรวจ DNA ซึ่งผลออกมาก็เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้จริง ๆ ศพที่อยู่ในโลงใบนั้นไม่ใช่โทยุน

เซวอนกลับมาที่บ้าน เขานั่งข้าง ๆ เตียงภรรยาที่นอนเป็นผักอยู่ภายในห้องปลอดเชื้อ เซวอนร้องไห้ออกมาไม่หยุดที่เขาไม่เชื่อเธอในตอนนั้น ไม่เชื่อที่เธอพร่ำบอกว่าโทยุนยังไม่ตาย “ผมไม่รู้ว่าเด็กที่ถูกสับตัวกับโทยุนเป็นใคร แต่เด็กคนนั้นไม่ใช่โทยุนแน่นอน”

เซวอนเอาแต่ครุ่นคิดถึงความเชื่อมโยงของเบาะแสต่อไป เขาจึงคิดถึงคลินิกเด็กพิเศษที่แจอีกับอึมจุนกิพาฮีจินกับโทยุนไปรับการรักษา ที่นั่นคือคลินิกเด็ก Saera Children’s Clinic ซึ่งมี ดร. ฮยอนซูจอง เป็นผู้อำนวยการ

ระหว่างที่เซวอนนั่งรอ ดร. ฮยอนซูจอง บังเอิญเขามองไปเห็นรูปผีเสื้อที่ตกแต่งอยู่ที่กระจก ทำให้เขารู้ได้ในทันทีว่ามันเป็นผีเสื้อตัวเดียวกับที่ฮีจินวาด และเมื่อเขามองผ่านปีกผีเสื้อและกระจก มันตรงกับห้องทำงานของดร. ฮยอนซูจองพอดีเป๊ะ เมื่อรู้เช่นนั้นเซวอนจึงถือวิสาสะเดินไปที่ห้องนั้นทันที

ดร. ฮยอนซูจอง แสดงท่าทางแปลกใจที่เห็นเซวอนบุกเข้ามาในห้อง แต่เธอก็พยายามทำตัวให้เป็นปกติ และพยายามชวนคุยและชื่นชมผลงานวิจัยของเขา แต่ดูเหมือนว่าเซวอนไม่สนใจคำชื่นชมเหล่านั้นเลยแม้แต่นิดเดียว เซวอนเอ่ยปากขอประวัติการรักษาของโทยุน ทำให้ดร. ฮยอนซูจอง ต้องบ่ายเบี่ยงว่าเอกสารได้ถูกเก็บเอาไว้อีกที่หนึ่ง ระหว่างนั้นเอง เซวอนจึงได้เห็นรูปหมู่ที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของดร. ฮยอนซูจอง เมื่อเซวอนได้เห็นรูปนั้นเขาถึงกับตกใจขึ้นมาทันที !!?

EP.5 ชีวิตที่เป็นอมตะ

เมื่อเซวอนได้เห็นรูปของมยองแทซุก ผู้เปรียบเสมือนเป็นพ่อบุญธรรม ที่คอยเลี้ยงดูและให้ความรู้และการศึกษา นับตั้งแต่แม่ของเขาจากไป เซวอนจึงรีบขับรถไปที่บ้านของมยองแทซุกในทันที

เซวอนได้เจอกับมยองแทซุกอีกครั้ง ทำให้เขาได้รู้ถึงเบื้องหลังอันน่าตกตะลึง …

ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่เซวอนยังเป็นวัยรุ่น เขาได้ร่วมมือกับมยองแทซุกทำงานวิจัยเกี่ยวกับสมอง จนได้รับเงินทุนสนับสนุนจากนายทุนชาวอเมริกัน แต่เซวอนไม่เห็นด้วยกับการเดินทางไปอเมริกา เขาจึงขอออกไปใช้ชีวิตของตัวเองนับแต่นั้น

แม้เซวอนจะขอแยกตัวไปแล้ว แต่มยองแทซุกก็ยังคงเดินตามความฝันของตัวเองที่อเมริกา โดยมีหมอจากเกาหลีร่วมทีมกับเขาด้วย คือ หมอยูจิน (หัวหน้าศูนย์การแพทย์ BC ที่เซวอนทำงานในปัจจุบัน) ดร. ฮยอนซูจอง (ผอ. คลินิกเด็ก) และหมอนามิล (เพื่อนร่วมงานของเซวอน)

โปรเจกต์ทดลองและวิจัยสมองมนุษย์ของมยองแทซุกที่อเมริกา โดยมีการลักลอบแอบทดลองกับมนุษย์ โดยใช้คนไร้บ้านมาเป็นหนูทดลอง คนเหล่านั้นจะสูญเสียความทรงจำของตัวเองไปหลังจากการทดลอง บางคนก็รุนแรงถึงขั้นสูญเสียประสาทสัมผัส นั่นหมายถึงคนพวกนั้นจะทำร้ายตัวเองโดยที่ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่นิดเดียว บางคนถึงกับเอาหัวโขกกับกำแพงไม่หยุด จนกระโหลกแตกสมองไหลออกมาอย่างน่าสยดสยอง

แต่การทดลองก็ต้องหยุดชะงักลง เนื่องจากการทดลองที่ผิดกฎหมายทำให้โดนทางการเพ่งเล็ง มยองแทซุกกับทีมต้องหนีจากอเมริกา และได้มาเริ่มการทดลองต่อที่เกาหลี

มยองแทซุกได้เอ่ยถึงโปรเจกต์อันน่าสะพรึงของเขาออกมาให้เซวอนได้รู้ แท้จริงแล้วเขาต้องการโอนถ่ายความรู้สึกนึกคิดของตัวเองไปให้โทยุน ลูกชายของเซวอน เพราะเป็นเด็กที่มีโครงสร้างทางสมองเหมือนกับเซวอน ซึ่งเขาเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่เขาได้มอบให้มนุษยชาติ นั่นคือความเป็นอมตะ !

“ฉันทุ่มเททั้งชีวิตให้กับการศึกษาวิจัยสมอง พอมาถึงจุดที่ฉันใกล้จะสำเร็จ ฉันก็ใกล้จะตายด้วยโรคร้าย สิ่งที่ฉันต้องทำคือความเป็นอมตะ” เซวอนตกใจเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินคำพูดจากปากของพ่อบุญธรรม มันเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อกับคำว่าชีวิตที่เป็นอมตะ

มยองแทซุกอธิบายต่อว่า สิ่งที่เขาพูดไม่ได้ไกลเกินจริงเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะการซิงก์สมองของเซวอนนั่นแหละคือคำตอบของเรื่องทั้งหมด “นายซิงก์สมองกับคนตาย ความทรงจำของพวกเขา รวมทั้งนิสัย งานอดิเรก และสิ่งที่ชอบก็จะถูกส่งผ่านไปที่ตัวนาย ถ้านายพัฒนามันอีกสักหน่อย นายจะสามารถถ่ายโอนความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดของมนุษย์ได้”

มาถึง ณ จุดนี้ เซวอนโกรธจัด เขาต้องการเพียงแค่ลูกชายของเขาคืนมาเพียงเท่านั้น เขาพุ่งตรงไปบีบคอพ่อบุญธรรมเพื่อถามหาว่าโทยุนอยู่ที่ไหน แต่ทันใดนั้นเอง เลขายุน คนสนิทของมยองแทซุกก็เอาเข็มฉีดยาแทงเข้าไปที่ต้นคอของเซวอน ก่อนที่เขาจะหมดสติล้มพับไปกองอยู่กับพื้น

เมื่อได้สติขึ้นมา เซวอนได้โทร. ไปหานามิลเพื่อให้มาช่วยทำการซิงก์สมองกับแจอี เพราะเขาเชื่อว่าแจอีรู้เบาะแสของโทยุน …

เซวอนได้เข้าไปในสมองของแจอี แต่ที่นั่นเขากลับต้องพบกับสิ่งที่ไม่คาดคิด ?

EP.6 ตอนจบ

เซวอนเข้าไปเจอและพูดคุยกับแจอีในสมองของเธอ ในขณะที่ตัวตนของเธอกำลังนอนอยู่ในอาการโคม่า สิ่งเดียวที่เขาต้องการคือต้องการรู้ว่าโทยุนอยู่ที่ไหน ?

แต่การเข้าไปในหัวของแจอีนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด มันสลับซับซ้อนกว่าที่คิด เซวอนได้เห็นแจอีที่สับสนอลม่าน เธอจึงเลือกที่จะจบชีวิตในหัวของตัวเองอีกครั้ง … เซวอนสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที และเขาก็ได้พบว่า แจอีได้สิ้นลมหายใจไปเสียแล้ว

เซวอนจึงขอให้นามิลทำการซิงก์สมองของเขากับแจอีอีกครั้ง และการซิงก์สมองในครั้งนี้ทำให้เซวอนได้รู้ว่า แท้จริงแล้วแจอีไม่ได้ฆ่าตัวตาย แต่เป็นการจัดฉากของเลขายุน (ลูกน้องของมยองแทซุก) และทำให้รู้ด้วยว่าองค์กรที่ให้แหล่งเงินทุนในการวิจัยกับมยองแทซุกคือกลุ่มบริษัทร่วมทุนระหว่างประเทศที่มีชื่อว่า Turritopsis (เทอริทอปซิส)

เมื่อรู้ข้อมูลเช่นนั้น เซวอนจึงไปขอความช่วยเหลือจากจีอึน เมื่อตรวจสอบก็พบบริษัทแห่งนี้มีศูนย์วิจัยใต้ดินตั้งอยู่ในที่อันห่างไกลผู้คน เซวอนจึงรู้ได้ในทันทีว่า โทยุนต้องอยู่ที่นั่นอย่างแน่นอน

เซวอน นามิล และจีอึน เดินทางไปที่ศูนย์วิจัยใต้ดินแห่งนั้น โดยมีกำลังตำรวจตามมา เมื่อเข้าไปก็พบมยองแทซุกกำลังถ่ายโอนความรู้สึกนึกคิดในสมองของตัวเขาไปยังโทยุนจริง ๆ ตามที่เซวอนคิดเอาไว้ เขาจึงเข้าไปทำการขัดขวางได้สำเร็จ ก่อนที่จะเกิดการต่อสู้กันอย่างดุเดือด จนในที่สุดมยองแทซุกก็เสียชีวิต ส่วนคนอื่น ๆ ก็โดนกำลังตำรวจที่ตามมาควบคุมตัวเอาไว้ได้ทั้งหมด

หลังเหตุการณ์เลวร้ายผ่านไป เซวอนกลายเป็นคนมีความรู้สึกเหมือนคนปกติ เขาได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับโทยุน ในขณะที่ แจอีก็ยังปรากฏตัวอยู่ในหัวของเขา ทั้งสามได้ใช้ชีวิตครอบครัวกันอย่างมีความสุข

จบบริบูรณ์

Source : Apple TV+
ดู Dr. Brain ที่ Apple TV+ : คลิกที่นี่