Refresh

This website www.online-idol.com/2021/11/29/one-ordinary-day-2021-kdrama-spoiler-30344/ is currently offline. Cloudflare's Always Online™ shows a snapshot of this web page from the Internet Archive's Wayback Machine. To check for the live version, click Refresh.

Skip to content
สรุปเนื้อเรื่องซีรีส์ One Ordinary Day (2021) วันถึงฆาต

สรุปเนื้อเรื่องซีรีส์ One Ordinary Day (2021) วันถึงฆาต

One Ordinary Day (2021) : วันธรรมดาวันหนึ่งของนักศึกษาชายธรรมดาคนหนึ่ง ที่เรื่องราวได้นำพาให้เขาตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมอันโหดเหี้ยม …

คะแนน 9.5/10
สนุกไหม ? ซีรีส์ดัดแปลงมาจากซีรีส์เรื่องดังของ BBC … Criminal Justice บอกเลยดีมาก ๆ เป็นซีรีส์ที่หาเหตุผลที่จะไม่ดูไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว จงดูโดยพลัน !

EP.1 ค่ำคืนที่เหมือนดั่งฝันไป

รีแคปซีรีส์ One Ordinary Day EP.1 : ค่ำคืนที่เหมือนดั่งฝันไป

คิมฮยอนซู (รับบทโดย คิมซูฮยอน) กำลังเรียนอยู่ระดับมหาวิทยาลัย คืนหนึ่งเขาต้องออกไปทำงานกลุ่มกับเพื่อน ๆ แต่อาจารย์ได้ส่งข้อความบอกยกเลิกอย่างกะทันหัน เพื่อน ๆ ของฮยอนซูจึงได้นัดกันจัดปาร์ตี้พูลวิลล่า ฮยอนซูอยากไปแต่ติดตรงที่ไม่มีเงินค่าแท็กซี่ เขาจึงขโมยรถแท็กซี่ของพ่อไป

ฮยอนซูปลดสายไฟกล้องหน้ารถออก แต่ด้วยความที่ไม่ชำนาญเส้นทางทำให้เขาขับหลงเข้าไปในย่านที่มีผู้คนคลาคล่ำ ในตอนนั้นเองก็มีผู้โดยสารหญิงคนหนึ่งขึ้นมานั่งที่เบาะหลัง หญิงสาวสวยเซ็กซี่วัยเบญจเพส ฮงกุกฮวา

ฮยอนซูตกใจเป็นอย่างมาก เขาพยายามจะบ่ายเบี่ยงปฏิเสธโดยอ้างว่าเป็นช่วงพัก แต่ฮงกุกฮวาก็ขู่ว่าจะร้องเรียนหากเขาปฏิเสธผู้โดยสาร ซึ่งแน่นอนว่าฮยอนซูไม่มีทางเลือก ความเสน่หาได้ก่อตัวในระยะเวลาเพียงสั้น ๆ ที่ทั้งสองได้อยู่ด้วยกัน หญิงสาวชวนให้เขาดื่มเหล้าเคล้ายาเสพติดที่บ้านของเธอ เวลาไม่นานนักด้วยฤทธิ์ยาเสพติด ทำให้ทั้งสองอารมณ์เตลิดเปิดเปิงไปไกล จนนำไปสู่ความสัมพันธ์วันไนต์สแตนด์ ความสุขที่เกิดจากฤทธิ์สารเคมีทำให้ฮยอนซูเหมือนหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่ง โลกที่เขาไม่รู้ว่ามันเป็นจริงหรือเป็นเพียงภาพหลอน

หลังเสพสมกันด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ฮยอนซูตื่นขึ้นมากลางดึก รีบหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาใส่ แต่สิ่งที่เขาเห็นอยู่บนเตียงมันทำให้เขาตกตะลึงที่สุดในชีวิต หญิงสาวนอนคว่ำหน้าจมกองเลือดอยู่บนเตียง !!!

เด็กหนุ่มน้อยแสดงอาการตื่นตระหนกอารมณ์แตกกระเจิง เขารีบแต่งตัวแล้วรีบวิ่งออกไปจากบ้านหลังนั้นทันที แต่ฮยอนซูลืมกุญแจรถเอาไว้ในบ้านของหญิงสาว ทำให้เขาต้องใช้มือทุบกระจกประตูเพื่อเปิดล็อก ฮยอนซูเข้ามาในบ้านพร้อมใช้สายตาสอดส่ายไปทั่ว เขาสังเกตเห็นมีดทำครัวความยาวประมาณครึ่งฟุตวางอยู่บนโต๊ะอาหาร เลือดที่เกรอะกรังไปทั่วทั้งบริเวณ ภาพที่เห็นเบื้องหน้ายิ่งทำให้ฮยอนซูยิ่งสติแตกกระเจิดกระเจิงไปกันใหญ่ สิ่งที่ฮยอนซูเลือกทำคือหยิบเอามีดเล่มนั้นออกมาด้วยเพื่อทำลายหลักฐาน

เวลาประมาณ​ตี 4 … รถแท็กซี่มาหยุดอยู่เบื้องหน้าด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์ ฮยอนซูนั่งเลิ่กลั่กอยู่บนรถหลังพวงมาลัย ตำรวจหญิงเห็นพิรุธจึงเดินมาขอตรวจวัดแอลกอฮอล์กับฮยอนซู แต่จะโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่ทราบได้ แบตเตอรี่เครื่องวัดแอลกอฮอล์เกิดหมดขึ้นมาซะอย่างนั้น ฮยอนซูจึงถูกนำตัวพาไปยังสถานีตำรวจ

ในเวลาเดียวกันนั้น คุณลุงที่อยู่ข้างบ้านของฮงกุกฮวาโทร. แจ้งตำรวจ เมื่อชุดพิสูจน์หลักฐานมาถึงที่เกิดเหตุ พบเหยื่อถูกแทง 13 แผล ซึ่งเมื่อไปประกอบกับการทุบกระจกเข้ามาในบ้าน ทำให้ตำรวจสันนิษฐานเบื้องต้นว่า เป็นเหตุบุกรุกข่มขืนแล้วฆ่า แล้วตัวฆาตกรต้องเป็นโรคจิตที่ฆ่าหญิงสาวด้วยจิตใจโหดเหี้ยมผิดมนุษย์มนา

ทีนี้เมื่อพัคซังบอม ตำรวจรุ่นเก๋า หัวหน้าชุดสืบสวนคดีฆาตกรรมกลับมายังที่สถานีตำรวจ เมื่อได้เห็นฮยอนซูนั่งออกอาการพิรุธ เขาจึงสั่งให้เจ้าหน้าที่ค้นตัวฮยอนซู แล้วก็พบมีดทำครัวเปื้อนเลือดอยู่ในเสื้อแจ็กเกต เกม ! ฮยอนซูโดนสั่งควบคุมตัวในข้อหาฆาตกรรม

รีแคปซีรีส์ One Ordinary Day EP.1

ภายในห้องสอบสวน ฮยอนซูต่อมน้ำตาแตก ร้องไห้ออกมาอย่างกับเด็ก ๆ เพราะเขาเชื่อว่าตัวเองไม่ผิด “ผมตื่นขึ้นมากำลังจะกลับบ้าน แล้วผมก็เจอเธออยู่แบบนั้น ผมไม่ทำจริง ๆ ผมไม่ได้ทำจริง ๆ” จังหวะนั้นเองที่หัวหน้าพัคซึงบอมทุบโต๊ะอย่างแรง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเชิงข่มขู่ “แล้วทำไมฮงกุกฮวาถึงตายล่ะ ? คนสุดท้ายที่อยู่กับเธอก็คือนาย และคนแรกที่เจอเธอตอนเสียชีวิตก็คือนาย”

ชินจุงฮัน (รับบทโดย ชาซึงวอน) ทนายความตลาดล่างที่ดิ้นรนหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เพื่อให้พอค่าใช้จ่ายที่ประดังประเดเข้ามาจนชักหน้าไม่ถึงหลัง วันนั้นเขาแวะไปหาลูกความที่สถานีตำรวจ จังหวะนั้นเองที่ทำให้เขาสะดุดตากับฮยอนซูที่อยู่ในห้องขัง เซนส์ความเป็นทนายของเขาบอกว่า เด็กหนุ่มคนนี้ไม่น่าจะเป็นฆาตกรที่มีจิตใจโหดเหี้ยมได้ จังหวะนั้นเองที่เขาตัดสินใจเข้าไปหาฮยอนซู เพื่อเสนอตัวเป็นทนายความให้

EP.2 ผู้ต้องสงสัย

สปอยล์ One Ordinary Day Ep.2

คำแนะนำแรกในฐานะทนายความของจุงฮันก็คือ ให้ฮยอนซูรูดซิปปากเอาไว้ ห้ามพูดอะไรกับใครทั้งนั้น คำที่จะต้องพูดนับจากนี้ก็คือ “ไม่รู้ ไม่รู้ และไม่รู้”

และจุงฮันได้เล่าถึงความน่ากลัวของหัวหน้าทีมสืบสวนคดีพัคซึงบอม เพื่อปรับทัศนคติความโลกสวยของฮยอนซู เขาเล่าว่าหัวหน้าพัคซึงบอมกำลังจะเกษียณอายุราชการในอีก 3 เดือน และมันไม่มีความดีหรือความเลวอะไรทั้งนั้น มันมีแค่เพียงตำรวจที่ทำสิ่งต่าง ๆ ที่พวกเขาเชื่อว่ามันคือความยุติธรรม ดังนั้นสิ่งที่ฮยอนซูต้องทำก็คือการหยุดพูดความจริงที่จะทำให้ตัวเองต้องเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในคุก

เจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาสตร์เข้าไปเก็บหลักฐานในสถานที่เกิดเหตุ โดยมีหลักฐานที่เชื่อมโยงกับฮยอนซูได้นับร้อยชิ้น

สำนวนคดีเกือบสมบูรณ์ ขาดเพียงอย่างเดียวคือคำรับสารภาพของฮยอนซู ในจังหวะเดียวกันนั้น พ่อแม่ของฮยอนซูมาเยี่ยมที่สถานีตำรวจ หัวหน้าพัคซังบอมจึงให้พวกเขาคุยกันในห้องสวบสวน ซึ่งในห้องนั้นมีการบันทึกคลิปการสนทนาเอาไว้ แต่แล้วหัวหน้าพัคซึงบอมก็ต้องผิดหวังที่ไม่ได้คำรับสารภาพของฮยอนซูตามที่หวัง

แม้คำรับสารภาพจะทำให้สำนวนในการส่งฟ้องคดีนั้นสมบูรณ์ แต่หลักฐานที่มีอยู่มากมายก็ทำให้หัวหน้าพัคซึงบอมเชื่อว่าเพียงพอที่จะเอาผิดฮยอนซูได้

ระหว่างนั้นเองเรื่องราวกลับยุ่งเหยิงมากขึ้นไปกว่าเดิม เมื่อคดีดังกล่าวหลุดไปถึงหูนักข่าว จนทำให้คดีของฮยอนซูกลายเป็นข่าวดังในโลกออนไลน์

ฮยอนซูถูกนำตัวไปฝากขังที่ศาลเพื่อรอการพิจารณาคดีตัดสินต่อไป แม้ทนายชินจุงฮันจะพยายามแถลงต่อศาลว่า หลักฐานทั้งหมดเป็นเพียงพยานแวดล้อม ไม่มีพยานที่เห็นฮยอนซูลงมือฆ่าเหยื่อ อีกอย่างฮยอนซูก็เป็นนักศึกษาที่ประวัติขาวสะอาด อย่างไรตาม ฮยอนซูถูกนำตัวเข้าเรือนจำเพื่อรอการพิจารณาคดีโดยไม่ได้รับการประกันตัว

EP.3 ความโหดร้ายที่เกินจะทานทน

One Ordinary Day EP.3

ทนายชินจุงฮันไปหาพ่อแม่ของฮยอนซู เพื่อนำเอกสารแต่งตั้งทนายไปให้เซ็น โดยตอนแรกเขาตั้งใจจะคิดค่าทนาย 90 ล้านวอน (2.6 ล้านบาท) แต่พ่อแม่ฮยอนซูไม่มีเงินมากขนาดนั้น ชินจุงฮันจึงลดค่าทนายให้ ลดไปลดมาเหลือ 50 ล้านวอน (1.4 ล้าน) แต่สุดท้ายพ่อแม่ฮยอนซูก็ยังไม่ตกลง

หัวหน้าชุดสืบสวนพัคซึงบอมโทร. ให้ทนายชินจุงฮันมาหา เพื่ออธิบายเหตุผลที่ทำให้เชื่อว่าฮยอนซูเป็นฆาตกรโหดเหี้ยม “ในคืนนั้น คิมฮยอนซูมีโอกาสที่จะเผยความจริงถึงสามครั้ง ครั้งแรกตอนที่เจอศพฮงกุกฮวา เขาเลือกจะโทร. แจ้งความก็ได้ แต่เขาเลือกที่จะทำลายหลักฐานและหนีไปจากที่เกิดเหตุ ครั้งที่สองตอนที่เขาถูกจับที่ด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์ สิ่งที่เขาทำคือถามว่าฮงกุกฮวาตายหรือยัง สุดท้ายคือตอนที่มาที่สถานีตำรวจ”

ชินจุงฮันไม่เห็นด้วยกับหัวหน้าพัคซึงบอม เพราะตอนนั้นฮยอนซูกำลังอยู่ในภาวะสติแตก แต่คำพูดของหัวหน้าพัคซึงบอมถึงกับทำเอาชินจุงฮันพูดไม่ออก “ฉันเป็นตำรวจแผนกคดีอาชญากรรมมา 30 ปี แค่มองหน้าก็รู้แล้วว่าใครเป็นอาชญากร แล้วรู้ไหมว่าอาชญากรแบบไหนที่จับยากที่สุด ก็คนที่มีสายตาแบบคิมฮยอนซูไง คนที่ดูแล้วไม่มีทางที่จะเป็นอาชญากรได้เลยแม้แต่นิดเดียว คนพวกนี้จะยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองจนถึงที่สุด ไอ้พวกนี้มันคือปิศาจที่ใส่หน้ากากเทวดา คิมฮยอนซูอาจไม่ใช่เด็กไร้เดียงสาอย่างที่นายคิดก็ได้”

หัวหน้าพัคซึงบอมมองไปที่ทนายความตลาดล่างชินจุงฮันด้วยสายตาที่มั่นคงและจริงจัง “ไอ้พวกฆาตกรน่ะ ยิ่งใช้วิธีที่โหดร้ายมากขึ้นเท่าไรหน้ากากที่พวกมันใส่ก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น สายตาใสซื่อ รอยยิ้มที่อ่อนหวาน น้ำเสียงที่สงบนิ่ง หน้าตาที่มีเสน่ห์ แต่เพียงพริบตาเดียวมันก็พร้อมที่จะกลายเป็นปิศาจได้ ในสายตาฉัน คิมฮยอนซูเป็นแบบนั้นแหละ”

ตัดกลับมาที่คุก ฮยอนซูพยายามประครองสติตัวเองให้อยู่เมื่อต้องเข้ามาอยู่ในคุก ที่ซึ่งล้วนแล้วแต่มีอาชญากรตัวเป้ง ๆ มารวมกัน หนึ่งในนั้นมีขาใหญ่ที่ชื่อ “โดจีแท” เป็นขาใหญ่ในคุกแห่งนี้ เขาเป็นคนคุมการแลกเปลี่ยนมือถือ บุหรี่ หรือแม้แต่ยาเสพติด ใครก็ตามที่แอบลักลอบทำการซื้อขายกันเองโดยไม่ได้รับอนุญาต ความตายของมันผู้นั้นก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

โดจีแทมีฉายาว่าขาใหญ่แห่งคุกเขตเหนือ เขามีความเป็นอยู่ในคุกสุขสบายเหนือนักโทษคนอื่น ๆ

ส่วนพวกแก๊งแบคโฮที่มีอิทธิพลคุมแถบปูซานทั้งหมดก็มีพัคดูชิกเป็นหัวโจกในคุกแห่งนี้ ซึ่งเจ้าพัคดูชิกนี่แหละที่จ้องจะเล่นงานฮยอนซู เพราะไม่พอใจที่ฮยอนซูเข้ามายุ่งวุ่นวายกับเรื่องของพวกเขา แต่เดชะบุญที่ชะตาของฮยอนซูยังไม่ถึงขาด เมื่อได้โดจีแทเข้ามาช่วยคุ้มครอง

ระหว่างนั้น อัยการอันแทฮีตัดสินใจที่จะเปิดเผยตัวฮยอนซูให้กับสาธารณชน เพราะมองว่าเป็นอาชญากรรมที่รุนแรง เมื่อฮยอนซูถูกเปิดเผยตัวตนยิ่งทำให้ตัวเขาตกเป็นเป้ามากไปกว่าเดิม และทำให้เขารู้สึกตื่นกลัวขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าทวีคูณ

อย่างไรก็ตาม จากการเปิดเผยตัวตนของเขานี่เอง ทำให้พัคมีกยองแห่งสำนักงานกฎหมายบอมฮันตัดสินใจเรียกพ่อแม่ของฮยอนซูให้มาเข้าพบ เพื่อยื่นข้อเสนอว่าความให้กับฮยอนซูแบบฟรี ๆ ด้วยอ้างว่า ทนายซอซูอิน ผู้ช่วยของเธอเป็นรุ่นพี่ของฮยอนซูที่มหาวิทยาลัย

“ทนายความชินจุงฮันเป็นทนายความตลาดล่างค่ะ ในวงการเรารู้ดีว่าเขาชอบว่าความให้กับพวกโจรกระจอก เขาทำงานเพื่อเงินและเรียกค่าว่าความแพงเกินกว่าความเป็นจริง แต่สำหรับสำนักงานกฎหมายของเรามีทนายที่เคยเป็นอัยการและผู้พิพากษานับสิบคน รวมถึงมีที่ปรึกษาเป็นอดีตสายสืบและผู้เชี่ยวชาญทางด้านนิติเวช … สำหรับคดีของคิมฮยอนซูฉันจะเป็นคนว่าความให้ด้วยตัวเองค่ะ” ทนายความสาวพัคมีกยองออกปากกับพ่อแม่ฮยอนซูว่าจะว่าความให้ฟรี มันเป็นข้อเสนอที่มิอาจปฏิเสธได้จริง ๆ

ต่อมาเมื่อรู้ว่าตัวเองโดนเขี่ยจากการเป็นทนายให้กับฮยอนซู ทำให้ชินจุงฮันรู้สึกว่าตัวเองโดนขโมยคดีไปต่อหน้าต่อตา ก็ต้องยอมจำใจเพราะมันเป็นความต้องการของลูกความ

ตัดภาพกลับมาที่คุก ในคืนหนึ่งขณะที่ทุกคนกำลังหลับใหล เพื่อนร่วมห้องของฮยอนซูที่โดนพวกแก๊งแบคโฮซ้อมจนทนไม่ไหวตัดสินใจผูกคอตาย เหตุการณ์นี้เหมือนกับเป็นฟางเส้นสุดท้ายของฮยอนซู ความเลวร้ายทุกสิ่งอย่างที่ถาโถมเข้าใส่เขาไม่หยุดยั้ง มันทำให้เขาสติแตก ฮยอนซูวิ่งไม่คิดชีวิตเพื่อหนีออกจากคุกอันโหดร้ายแห่งนี้ แต่ทว่าเขาวิ่งไปได้ไม่เท่าไร ผู้คุมก็ใช้กระบองฟาด และเอาเท้าเหยียบตัวเขาเอาไว้เพื่อให้ยอมจำนน

EP.4 คำรับสารภาพ

One Ordinary Day EP.4

อัยการอันแทฮีวางแผนโน้มน้าวให้ฮยอนซูเข้าเครื่องจับเท็จ เธอกล่าวว่า “ถ้าปล่อยไปแบบนี้ คุณจะถูกตั้งข้อหาข่มขืน ทำร้ายร่างกาย และฆาตกรรม ซึ่งมันเป็นอาชญากรรมที่โหดเหี้ยม ทั้งไม่รับสารภาพและไม่สำนึกผิด ฉันบอกได้เลยว่าโทษจำคุกตลอดชีวิตมันคงไม่ไกลเกินเอื้อม หรืออาจจะถึงประหารชีวิตด้วยซ้ำ”

ที่จริงอัยการสาวอันแทฮีวางแผนจัดฉากกับหัวหน้าพัคซึงบอม เพื่อให้ผลการเข้าเครื่องจับเท็จเป็นประโยชน์ในการเล่นกับความรู้สึกของประชาชน แม้ว่าผลดังกล่าวจะไม่สามารถนำมาใช้ในศาลได้ก็ตาม

หัวหน้าพัคซังบอมพาฮยอนซูไปดูศพของฮงกุกฮวาเป็นครั้งสุดท้ายที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ก่อนเข้าเครื่องจับเท็จ คือเป็นเทคนิคที่อัยการอันแทฮีใช้เพื่อจะทำให้ผลการเข้าเครื่องจับเท็จออกมาว่าฮยอนซูโกหก เพราะในทางการแพทย์ผู้ป่วยเป็นโรคหอบหืดไม่เหมาะที่จะเข้าเครื่องจับเท็จ

ทีนี้ ชินจุงฮันก็เข้ามาแทรกแซกการเข้าเครื่องจับเท็จ โดยเขาได้แนะนำให้ผู้ช่วยซอซูจินแจ้งสิทธิ์ให้กับฮยอนซูว่า ผู้ตกเป็นจำเลยมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธการเข้าเครื่องจับเท็จได้ทุกเมื่อ เพราะมันไม่สามารถนำไปใช้ในชั้นศาลได้ ฮยอนซูจึงทำตามคำแนะนำของชินจุงฮัน

ฮยอนซุกลับมาอยู่ในคุกตามเติมหลังจากปฏิเสธการเข้าเครื่องจับเท็จ แต่ความเป็นอยู่ของเขาในตอนนี้กลับแย่ลงไปกว่าเดิม เมื่อเขามีพัคดูชิกแห่งแก๊งแบคโฮเป็นศัตรู แต่โดจีแทก็ยังคอยช่วยเหลือเขาอยู่เสมอ คืนก่อนวันนัดไตร่สวนการฝากขังที่ศาล โดจีแทได้มอบหนังสือประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พร้อมด้วยแว่นสไตล์เด็กเรียนให้ใช้ใส่ไปในศาล (เพื่อให้ศาลเห็นใจ)

ฮยอนซูเปิดหนังสือเล่มนั้นอ่าน เขาพบมอตโต้ที่เขียนเอาไว้ในหน้าแรกที่ระบุว่า “ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ไม่มีผู้ใดพึงสันนิษฐานว่าผิด”

ระหว่างนั้น ชินจุงฮันก็ยังคงสืบคดีของฮยอนซูต่อไป จนได้พบว่าฮงกุกฮวาติดยาเสพติดที่มีชื่อว่า “เฟนทานิล” ซึ่งเป็นยาที่จ่ายให้เมื่อมีใบสั่งยาจากแพทย์เท่านั้น แล้วชินจุงฮันก็ได้เอกสารการสั่งยาพร้อมประวัติการรักษาตลอดระยะเวลา 3 ปี จากคลินิกเวชศาสตร์แห่งหนึ่ง

เมื่อถึงวันไต่สวนการฝากขัง ศาลพิจารณาให้ฝากขังฮยอนซู ด้วยเหตุผลที่อัยการอันแทฮีแจ้งต่อศาลว่า ฮยอนซูพยายามหลบหนีระหว่างอยู่ในเรือนจำ “ทนายจำเลยพยายามบอกว่าจำเลยไม่คิดที่จะหลบหนี แต่ตัวจำเลยเองกลับพยายามหนีออกจากเรือนจำ และทั้งที่อ้างว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์แต่กลับปฏิเสธการเข้าเครื่องจับเท็จ ตามคำแนะนำของอัยการ”

ทีนี้ ชินจุงฮันเอาเอกสารการสั่งยาเสพติดของฮงกุกฮวาไปเสนอขายให้กับทนายพัคมีกยอง เมื่อได้เอกสารดังกล่าว เธอจึงเดินทางไปเจรจาต่อรองกับอัยการอันแทฮี จากเดิมที่อัยการตั้งคดีเป็นข่มขืนและฆ่าโดยเจตนา ซึ่งมีโทษจำคุกตลอดชีวิตถึงประหารชีวิต แต่ด้วยหลักฐานชิ้นนี้ ทำให้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่อัยการจะพิสูจน์ความผิดของจำเลยว่าเป็นการเจตนาฆ่า เพราะยาเสพติดไม่ใช่ของฮยอนซู และฮงกุกฮวาก็เป็นคนที่ขึ้นรถแท็กซี่ของเขาวันนั้นด้วยตัวเอง

พัคมีกยองจึงเสนอว่าให้ลงโทษฮยอนซูในฐานข่มขืนและฆ่าโดยไม่เจตนา อัตราโทษ 10 ปี โดยไม่มีการอุทธรณ์ ซึ่งอัยการอันแทฮีขอให้ฮยอนซูรับสารภาพเพื่อแลกกับข้อตกลงนี้

ทนายพัคมีกยองถือว่าข้อเสนอนี้เป็นข้อเสนอที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว เธอจึงเดินทางไปหาฮยอนซูในเรือนจำเพื่อเกลี้ยกล่อมให้เขารับข้อเสนอดังกล่าว “ฉันแนะนำในฐานะผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย สถานการณ์ในตอนนี้มันยากที่คุณจะพ้นโทษจำคุกตลอดชีวิต และอาจจะเป็นโทษประหารก็ได้ … ยอมรับโทษสิบปี ถ้าคุณเป็นนักโทษชั้นเยี่ยม คุณก็จะได้ออกมาใช้ชีวิตได้เร็วขึ้น 3-4 ปี ตอนนั้นคุณก็จะอายุเพียงแค่สามสิบเท่านั้น”

ฮยอนซูตอบตกลง แม้ในใจลึก ๆ เขาจะยังเชื่อว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนฆ่าฮงกุกฮวาก็ตาม

เมื่อถึงวันนัดรับสารภาพที่ศาล ชินจุงฮันคนเดิมก็มาไซโคฮยอนจูที่ใต้ถุนศาลว่า แม้มันจะเป็นข้อเสนอที่ดีที่จะรับสารภาพแลกกับการรับโทษเพียงแค่สิบปี แต่หลังจากนั้น สังคมก็จะตีตราเขาว่าเป็นฆาตกรไปตลอดชีวิต ดังนั้น ชินจุงฮันจึงแนะนำว่าถ้าฮยอนซูเชื่อว่าตัวเองไม่ได้ฆ่า ก็ไม่ต้องรับสารภาพ และสู้คดีตามกระบวนการ แม้มันจะเสี่ยงที่ต้องรับโทษสูงสุดคือประหารชีวิตก็ตาม

ฮยอนซูยืนต่อหน้าศาล แต่แทนที่เขาจะกล่าวคำรับสารภาพตามที่ตกลงไว้กับทนายพัคมีกยอง เขากลับเชื่อชินจุงฮัน​

“ผมไม่ได้เป็นคนฆ่าฮงกุกฮวา !!!”

EP.5 การเอาตัวรอด

One Ordinary Day EP.5

ทนายพัคมีกยองขอถอนตัวออกจากการเป็นทนายให้กับฮยอนซู เนื่องจากความไม่พอใจที่ฮยอนซูผิดข้อตกลงที่เขาสัญญาว่าจะยอมรับสารภาพ ในมุมมองของทนายความอย่างเธอมองว่า ข้อตกลงที่เธอทำให้กับฮยอนซู เป็นข้อตกลงที่เรียกว่าปาฏิหาริย์ สำหรับจำเลยในคดีข่มขืนและฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม

อย่างไรก็ตาม การถอนตัวกลางคันจะทำให้ภาพลักษณ์ของทั้งตัวทนายพัคมีกยอง และสำนักงานกฎหมายเสียชื่อเสียง ดังนั้น พัคมีกยองจึงส่งต่อคดีให้ทนายซอซูจินไปทำต่อ แต่ด้วยความที่ขาดประสบการณ์ในการทำคดีใหญ่ ซอซูจินจึงไปจ้างชินจุงฮันให้เป็นทนายร่วมกับเธอ

ฮยอนซูกลับเข้าไปอยู่ในเรือนจำอีกครั้ง แต่การกลับมาคราวนี้เขาต้องเผชิญกับพัคดูชิก ที่ทั้งข่มขู่และทำร้ายร่างกายเขาอย่างรุนแรง ในคืนนั้นฮยอนซูถึงกับนอนฝันร้ายด้วยความหวาดกลัว ที่นี่ในตอนนี้มันไม่ต่างอะไรกับนรกบนดินเลยแม้แต่นิดเดียว

โดจีแทเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ห่าง ๆ จนเห็นฮยอนซูโดนทรมานโดยการเอาไฟรนที่มือ โดจีแทจึงสั่งให้ลูกน้องซ้อมพัคดูชิกอย่างหนักเพื่อให้ขอโทษฮยอนซู

ที่แท้แล้ว โดจีแทต้องการให้ฮยอนซูช่วยเหลือเขาทำงานอะไรบางอย่างเป็นการตอบแทน “ไม่มีอะไรมากหรอก นายก็แค่ต้องไหล่หลุดไปเข้าโรงพยาบาล เข้ารับการรักษาแบบปกติ หลังจากนั้นก็กลับมาที่นี่ ก็แค่นั้นแหละ” ฮยอนซูร้องเสียงลั่นคุก ขณะที่โดนลูกน้องของโดจีแทดึงแขนจนไหล่หลุด ก่อนจะถูกพาตัวไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลภายนอกเรือนจำ

ทั้งหมดนี้เป็นแผนการลักลอบเอาโคเคนเข้ามาภายในเรือนจำ ผ่านทางผ้ายืดพันแผลของโดจีแท

เรื่องราวดำเนินมาถึงวันพิจารณาคดีนัดแรก ซึ่งเป็นการพิจารณาโดยคณะลูกขุน …

อัยการอันแทฮีกล่าวเปิดคดีต่อหน้าคณะลูกขุน “หญิงสาวคนหนึ่งถูกพบเป็นศพอยู่ภายในบ้านของตัวเอง บนร่างกายของเธอถูกแทงทั้งหมด 13 แผล จำเลยพยายามทำลายหลักฐานทันทีหลังเกิดเหตุ และได้หลบหนีด้วยรถแท็กซี่ที่ขโมยมา ทั้งที่ได้ทำเรื่องเลวร้ายขนาดนั้น จำเลยกลับไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นผู้ก่อเหตุ แถมยังปฏิเสธการเข้าเครื่องจับเท็จ … คณะลูกขุนทุกท่านคะ เราจะปล่อยให้หน้าตาอันใสซื่อของจำเลยมาหลอกเราไม่ได้ และอย่าไปหลงกับคำกล่าวอ้างของทนายจำเลยที่อ้างเหตุผลต่าง ๆ ที่บอกว่าจำเลยไม่ผิด”

ด้านทนายชินจุงฮันพยายามชี้ให้คณะลูกขุนเห็นว่า ผลจากนิติเวชซึ่งพบว่าฮยอนซูใช้สารเสพติดประเภทยาระงับประสาทที่ได้จากผู้ตาย เมื่อผสมกับแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป อาจทำให้เกิดภาวะความจำเสื่อมชั่วคราว

อัยการอันแทฮีพยายามชิงความได้เปรียบจากสภาวะจิตใจอันอ่อนไหวของฮยอนซู เธอเสนอให้ฮยอนซูไปยังสถานที่เกิดเหตุพร้อมกับคณะลูกขุน …

ฮยอนซูแสดงท่าทางหวาดผวาอย่างเห็นได้ชัดเมื่อรู้ว่าตัวเองต้องกลับไปยังสถานที่เกิดเหตุอีกครั้ง

EP.6 ตัวตนภายใต้หน้ากาก

One Ordinary Day EP.6 สปอยล์

ฮยอนซูถูกนำตัวกลับมายังบ้านที่เกิดเหตุอีกครั้ง เขาแสดงอาการหวาดผวาอย่างเห็นได้ชัด ทนายชินจุงฮันจึงต้องเอ่ยปากเตือนสติ “ฮยอนซูฟังฉันนะ การมาตรวจสอบที่เกิดเหตุครั้งนี้ไม่เกี่ยวว่าคดีนี้จะแพ้หรือชนะ มันเป็นเพียงแค่การแสดงละครบทหนึ่งก็เท่านั้น พวกเขาพยายามหาทางยั่วยุนาย เพื่อให้นายแสดงอาการหวั่นไหวออกมา เพราะฉะนั้นอย่าเดินตามเกมพวกเขา นิ่งเอาไว้ให้มากที่สุด”

ฮยอนซูมองดูเหตุการณ์ที่ทางตำรวจได้จำลองขึ้นมาบนเตียง ชายที่แสดงเป็นฮยอนซูในวันเกิดเหตุคร่อมทับตัวหุ่นหญิงสาวอยู่บนเตียงนั้น เพื่อบังคับขืนใจเธอ ก่อนที่จะแทงเธอไม่ยั้งนับสิบแผล

สิ่งที่ฮยอนซูเบื้องหน้าทำให้เขาย้อนคิดกลับไปยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนั้น ในหัวของเขาพยายามคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จนภาพปรากฏขึ้นมาชัดเจนว่า “ตัวเขาเองคือฆาตกร !!?” ก่อนที่เขาจะหมดสติล้มฟุบลงไปกองอยู่กับพื้น

วันพิจารณาคดีนัดที่สอง …

ชินจุงฮันขอให้ซอซูจินขึ้นว่าความแทนเขา ระหว่างนั้นชินจุงฮันก็ออกไปตามเบาะแสของคนที่เขาคาดว่าน่าจะเป็นฆาตกรตัวจริง ที่เป็นอดีตนักโทษในคดีข่มขืน อีชอลโฮ

ส่วนในการพิจารณาคดีในศาลวันนี้เป็นไปอย่างเข้มข้น อัยการได้นัดสืบพยานอดีตครูม. ปลายของฮยอนซูขึ้นมาให้การ เขาเล่าว่าฮยอนซูโดนไล่ออกจากโรงเรียนด้วยพฤติกรรมความรุนแรงในโรงเรียน จากการทะเลาะกับเพื่อนนักเรียน เขาได้ผลักเพื่อนคนนั้นจนตกบันได ก่อนที่จะตามลงไปทำร้ายร่างกายเพื่อนคนนั้นที่นอนหมดสติอยู่ จนได้รับบาดเจ็บสาหัส

อย่างไรก็ตาม ฮยอนซูได้ชี้แจ้งในเรื่องที่เกิดขึ้นว่า “ตอนนั้นพ่อผมเข้าร่วมประท้วงเรียกร้องให้ขึ้นค่าแท็กซี่เป็นสตาร์ตเริ่มต้นที่ 300 วอน จากนั้นเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนก็มักจะบูลลี่โดยการเรียกผมว่า 300 วอน ในวันที่เกิดเรื่อง เพื่อนคนนั้นล้อพ่อผมว่าประท้วงเพื่อเงิน 300 วอน ทำให้ผมทนไม่ไหว … ส่วนที่ผมไม่แจ้งเรื่องนี้กับทางโรงเรียน ก็เพราะผมกลัวว่าถ้าพ่อผมรู้เรื่องนี้แล้วท่านจะรู้สึกเจ็บปวด”

วันพิจารณาคดีนัดที่สาม …

ชินจุงฮันได้แจ้งกับฮยอนซูว่า การพิจารณาคดีที่ผ่านมาเป็นไปในทิศทางบวก คณะลูกขุนเปิดใจรับฟังมากขึ้น ดังนั้น ขอให้ฮยอนซูมั่นใจ

แต่ระหว่างที่อัยการอันแทฮีกำลังซักพยาน ซึ่งก็คือหัวหน้าพัคซึงบอมอยู่นั้น ฮยอนซูก็ได้เกิดความกดดันจนถึงกับระเบิดออกมาเป็นคำพูดลั่นศาล “ผมไม่ได้เป็นคนฆ่าฮงกุกฮวาครับ สิ่งที่ผมพูดเป็นความจริง สิ่งที่ตำรวจคนนั้น (หัวหน้าพัคซึงบอม) พูดออกมาเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน … ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่ได้ฆ่าเธอ ผมไม่ได้ฆ่าฮงกุกฮวา”

อัยการเห็นฮยอนซูสติแตก จึงให้เขาขึ้นมาพูดในคอกพยาน ซึ่งฮยอนซูก็ตอบตกลงแม้ว่าทนายซอซูจินจะแนะนำว่าเขาไม่ควรทำอย่างนั้น เพราะสภาพจิตใจของเขาในตอนนี้ไม่มั่นคงพอที่จะตอบคำถาม อาจจะหลุดปากพูดอะไรที่เป็นโทษกับตัวเองก็เป็นได้

แล้วก็เป็นอย่างที่ซอซูจินแนะนำจริง ๆ อัยการอันแทฮีตั้งคำถามจี้ไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายได้ทิ้งคำถามอันแหลมคมจี้ไปในจุดที่แม้แต่ตัวฮยอนซูเองก็มิอาจปฏิเสธได้ ไม่มีทางที่ใครเลยจะปฏิเสธได้เลยจริง ๆ

“คุณเอาแต่พูดว่าผมไม่รู้ ผมจำไม่ได้ เอาแต่อ้างว่าตัวเองสับสนเลยทำให้หนีออกมาจากที่เกิดเหตุ ภาพหญิงสาวที่นอนจมกองเลือดอยู่บนเตียงทำให้คุณหวาดกลัว แต่คุณก็ยังกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้งเพื่อเอาเสื้อแจ็กเกต และทำลายหลักฐาน พร้อมกับหนีออกมาจากที่เกิดเหตุเป็นครั้งที่สอง” อัยการอันแทฮีจ้องไปฮยอนซูที่กำลังกระวนกระวายอยู่บนคอกพยานจนแทบบ้า ก่อนที่จำเลยจะยอมรับกับคำพูดของอัยการสาว

“คุณคงไม่ทันคิดสินะ ว่าตอนนั้นสิ่งที่คุณควรทำคือการโทร. เรียกรถพยาบาล ทำไมถึงคิดไม่ออกล่ะคะ ?” อันแทฮีกล่าวจบประโยค ฮยอนซูน้ำตาไหลพรากออกมาไม่หยุด มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ทำไมเขาถึงไม่เรียกรถพยาบาล เขาได้แต่ตอบกลับไปว่าตอนนั้นเขากลัวมาก อัยการสาวยิงคำถามต่อ “คุณกลัวว่าตัวเองจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นฆาตกร มากกว่าชีวิตของหญิงสาวคนหนึ่งที่เพิ่งมีเพศสัมพันธ์กันชั่วข้ามคืน ในเมื่อคุณหนีไปโดยไม่คิดที่จะช่วยเหลือเหยื่อเลยแม้แต่นิดเดียว !!!”

ฮยอนซูน้ำตาไหลออกมาไม่หยุดอย่างกับเด็ก เขาเอาหลังมือขวาของตัวเองปาดน้ำตาที่ไหลออกมาอยู่อย่างนั้น ก่อนที่อัยการอันแทฮีจะยิงคำถามสุดพีคใส่ “ฉันไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่า จำเลยที่ยืนกรานว่าตัวเองบริสุทธิ์อย่างคุณ ทำๆมถึงได้หนีออกจากที่เกิดเหตุ และกลับมายังที่เกิดเหตุอีกครั้งเพื่อทำลายหลักฐาน แล้วก็ขับรถหนีออกจากที่เกิดเหตุไปด้วยรถแท็กซี่ที่ขโมยมาไปด้วยความมึนเมา … เพราะอะไรรู้ไหมคะ เพราะถ้าคุณคิดที่จะโทร. เรียกรถพยาบาล ตอนนี้ฮงกุกฮวาอาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็ได้ แต่คุณได้ทำลายความหวังนั้นไปจนหมดสิ้นด้วยตัวของคุณเอง แบบนี้คุณยังกล้าที่จะบอกว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์อีกเหรอคะ !!?”

ในตอนท้าย ภาพได้ย้อนกลับไปแสดงให้เห็นว่า มือของฮงกุกฮวายังขยับเขยื้อนอยู่ตอนที่ฮยอนซูหนีออกไปจากที่เกิดเหตุ ตอนนั้นเธอยังไม่ตาย !

EP.7 เปลี่ยนไปเป็นคนละคน

สปอยล์ One Ordinary Day EP.7

ความจริงที่อัยการอันแทฮีจี้ถามฮยอนซู มันทำให้เขารู้สึกผิดขึ้นมาจริง ๆ เขาจำได้ว่า ตอนนั้นนิ้วมือของฮงกุกฮวาขยับอยู่จริง ๆ นั่นหมายความว่า ถ้าเขาตัดสินใจเรียกรถพยาบาล เธอก็อาจจะมีชีวิตรอด !!?

ณ ห้องเยี่ยมนักโทษในเรือนจำ ทนายชินจุงฮันโต้กลับฮยอนซูทันที “นายคงจะตาฝาดไปเอง คอ หัวใจ ปอด ทุกจุดโดนมีดแทง มันทำให้เหยื่อตายคาที่ ถึงนิ้วมือเธอจะขยับจริง มันก็แค่การเกร็งของกล้ามเนื้อหลังจากตายไปแล้ว เป็นเรื่องปรกติของศพที่ตายด้วยการกระทำที่รุนแรง ก็แค่ทำเป็นลืม ๆ มันไปซะเถอะ” แต่คำพูดเพียงไม่กี่คำคงไม่อาจช่วยให้ความรู้สึกของฮยอนซูดีขึ้นมาได้ เขาจึงขอตัวเดินกลับเข้าห้องขังไปอย่างหน้าละห้อย

ว่าที่จริง ฮยอนซูในตอนนี้ไม่แน่ใจว่าเขาได้ฆ่าเธอจริงหรือเปล่า จากเดิมที่ยืนกรานเสียงแข็งว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนฆ่า

วิกฤติของฮยอนซูไม่จบอยู่แค่เพียงสถานการณ์ทางคดีความเท่านั้น การใช้ชีวิตอยู่ในคุกก็ย่ำแย่ไม่แตกต่างกัน ฮยอนซูยังคงโดนตามรังควานจากพัคดูชิกไม่เลิก จนในที่สุดเขาจำต้องเดินไปหาโดจีแทเพื่อขอความช่วยเหลือ “ช่วยผมด้วยครับ”

โดจีแทเรียกให้ฮยอนซูนั่งลงที่เก้าอี้ที่อยู่เบื้องหน้าเขา พร้อมกับมองไปที่รอยสักสไตล์ยากูซ่าที่ต้นแขนของตัวเอง “นี่เป็นรอยสักแรกตอนที่ฉันอายุยี่สิบ ตอนนั้นฉันเป็นเด็กเรียนที่วัน ๆ เอาแต่อ่านหนังสือ โชคชะตาก็นำพาให้ฉันถูกใส่ความในคดีทำร้ายร่างกาย แต่ไม่มีใครเชื่อฉันเลย ฉันพยายามทำทุกอย่างเหมือนอย่างที่นายทำตอนนี้ ถึงกับเคยคิดที่จะฆ่าตัวตายด้วยซ้ำ มันทำให้ฉันคิดขึ้นมาได้ว่า ถ้าอยากอยู่รอดก็ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อน” พูดง่าย ๆ ก็คือ โดจีแทสอนให้ฮยอนซูเป็นอย่างเขานั่นเอง

นับแต่นั้น ฮยอนซูก็ออกกำลังกายฝึกความแข็งแกร่งของร่างกาย รวมทั้งจิตใจที่ดูนิ่งขึ้น เรียกว่าโดจีแทเป็นยังไงฮยอนจูก็เป็นอย่างนั้น เหมือนกับฮยอนซูคนใหม่ขึ้นมาเฉยเลย ไม่ใช่แค่เปลี่ยนบางสิ่งแต่คือเปลี่ยนทุกสิ่ง ตั้งแต่มายด์เซตไปจนถึงท่าทางการแสดงออก

ระหว่างนั้น ทนายชินจุงฮันได้ให้อดีตภรรยาของเขาที่ทำงานในสถาบันนิติเวชขึ้นมาเป็นพยาน สรุปรวมความจากบาดแผลต่าง ๆ เธอจึงให้ความเห็นว่า มีความเป็นไปได้ “สูง” ที่คนร้ายจะเป็นคนถนัดขวา ซึ่งทนายชินจุงฮันได้พยายามพิสูจน์ให้คณะลูกขุนเห็นว่า ฮยอนซูเป็นคนถนัดซ้าย !

ตัดภาพกลับมาที่เรือนจำ ฮยอนซูกำลังสักมอตโต้ภาษาละตินที่แขนข้างซ้าย “IN DUBIO PRO REO NEMO PRAESUMITUR MALUS” มีความหมายว่า “ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย”

ฮยอนซูมองดูรอยสักที่แขนซ้ายของเขา ในขณะยังคาบบุหรี่แบบไม่มีก้นกรองอยู่ในปาก ก่อนจะหันหน้าไปถามโดจีแทว่า …

“พี่เชื่อว่าผมไม่ได้ฆ่าเธอ (ฮงกุกฮวา)​ จริง ๆ เหรอครับ … แล้วถ้าผมเป็นคนฆ่าเธอจริง ๆ ล่ะ !!?”

EP.8 ตอนจบ

One Ordinary Day  ตอนจบ

“ฉันไม่สนใจหรอกนะ ว่านายจะเป็นคนฆ่าเธอหรือเปล่า ฉันสนใจแค่ตัวตนของนายตอนอยู่ที่นี่เท่านั้น” โดจีแทตอบคำถามฮยอนซูด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

ในการพิจารณาคดีโดยสรุป ทนายชินจุงฮันพยายามชี้ให้คณะลูกขุนเห็นถึงความบกพร่องในขั้นตอนการสืบสวนของตำรวจ และชี้ให้เห็นว่ายังมีผู้ต้องสงสัยหลายคนที่ตำรวจเพิกเฉยในการเรียกมาสอบสวน พูดง่าย ๆ คือ ตำรวจได้ปักธงไปตั้งแต่ต้นแล้วว่า ตัวจำเลย (ฮยอนซู) เป็นฆาตกร

การพิจารณาคดีล่วงมาถึงขั้นตอนสุดท้าย ขั้นตอนที่อัยการอันแทฮีแถลงปิดคดีต่อหน้าคณะลูกขุน “การสืบสวนของตำรวจไม่เพียงพอตามที่ทนายจำเลยได้ตั้งข้อสังเกตไว้จริง ๆ ค่ะ เรื่องที่มีผู้ต้องสงสัยคนอื่นนอกจากจำเลยก็เป็นเรื่องจริงค่ะ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เรามองข้ามข้อเท็จจริงของคดีนี้ไป … ความจริงที่ว่าเหยื่อถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม ความจริงที่ว่าจำเลยอยู่ในที่เกิดเหตุขณะเหยื่อเสียชีวิต ความจริงที่ว่าไม่มีหลักฐานใดที่บ่งชี้ว่ามีบุคคลอื่นนอกจากจำเลยอยู่ในบ้านที่เกิดเหตุ ความจริงที่ว่าร่างกายของจำเลยเต็มไปด้วยเลือดของเหยื่อ ความจริงที่ว่าจำเลยไม่ได้แจ้งความ แต่เลือกที่จะทำลายหลักฐาน สำคัญที่สุดคืออาวุธมีดที่เปื้อนเลือดของเหยื่อที่พบในตัวจำเลย จะมีหลักฐานอะไรที่ชัดเจนไปกว่านี้”

ภายในห้องพิจารณาคดีปกคลุมไปด้วยความเงียบงัน ทุกสายตาจับจ้องไปที่อัยการอันแทฮี ทุกสายตากำลังลุ้นว่าเธอจะยื่นเสนอลงโทษในอัตราโทษเท่าไร “ในสายตาของอัยการแล้ว ผู้ก่ออาชญากรรมร้ายแรงแต่ไม่สำนึกผิด ผู้ที่เอาแต่อ้างว่าจำไม่ได้ เราขอให้ศาลตัดสินโทษประหารชีวิต !!!”

ทนายชินจุงฮันหักดินสอเพื่อระบายอารมณ์ เมื่อได้ยินอัยการร้องต่อศาลให้ลงโทษจำเลยด้วยการประหารชีวิต ด้านฮยอนซูที่พยายามแสดงสีหน้าเย็นชาระหว่างการพิจารณาคดีมาตลอด เมื่อได้ยินคำว่า “ประหารชีวิต” ก็ถึงกับหน้าถอดสี

ก่อนที่คณะลูกขุนจะหารือกันเพื่อตัดสินคดี ทนายชินจุงฮันก็แถลงต่อหน้าคณะลูกขุนเป็นครั้งสุดท้าย โดยใช้อีโมชั่นเพื่อให้ลูกขุนเห็นใจ โดยชี้ประเด็นไปที่ความเป็นนักศึกษาอ่อนต่อโลกของฮยอนซู “ทุกคนคิดว่าคนคนนั้น (ฮยอนซู) เป็นฆาตกรผู้โหดเหี้ยมจริง ๆ เหรอครับ เด็กหนุ่มที่มีสายตาที่อ่อนโยน สุภาพนอบน้อม นักศึกษาที่วัน ๆ วุ่นวายอยู่แต่กับการเรียน ซึ่งตลอดเวลาเขายืนกรานมาโดยตลอดว่าตัวเองบริสุทธิ์”

จากนั้น ชินจุงฮันก็พยายามชี้ไปที่หลักฐานของอัยการที่นำเสนอมานั้นเป็นเพียงแค่หลักฐานแวดล้อม ซึ่งพิสูจน์ไม่ได้อย่างชัดเจนว่าจำเลยเป็นคนลงมือฆ่าฮงกุกฮวา

แล้วคำตัดสินของคณะลูกขุนก็ออกมา มีความผิด 4 เสียง ไม่มีความผิด 5 เสียง !

อย่างไรก็ตาม แม้คณะลูกขุนจะมีเสียงข้างมากว่าจำเลยไม่มีความผิด แต่การตัดสินใจของคณะลูกขุนจะถูกนำมาใช้ประกอบการพิจารณาเท่านั้น นั่นเท่ากับว่า ศาลจะเป็นผู้ตัดสินความผิดอีกที และนี่คือคำตัดสินของศาล …

“ศาลได้พิจารณาข้อโต้แย้งของทนายในประเด็นที่ว่า ไม่มีหลักฐานโดยตรง การสืบสวนของตำรวจมีความบกพร่อง และมีหลักฐานมีถูกมองว่าไม่สามารถยอมรับได้ แต่ศาลมองว่าการสืบสวนของตำรวจ และคำฟ้องของอัยการเพียงพอและสมเหตุสมผล ด้วยเหตุนี้ศาลจึงตัดสินว่า จำเลยมีความผิดจริง !!!” ศาลท่านตัดสินว่าฮยอนซูมีความผิด และลงโทษจำคุกตลอดชีวิต

เสียงร่ำไห้ของผู้เป็นแม่ดังกึกก้องไปทั่วห้องพิจารณาคดี ที่เห็นลูกชายของตัวเองต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต

One Ordinary Day EP.8 : ตอนจบ

ฮยอนซูกลับมาที่คุกอีกครั้ง การกลับมาคราวนี้สายตาของเขาเปลี่ยนไป มันเป็นสายตาของความชาชิน เป็นเหมือนสายตาของคนที่ผ่านเรื่องเลวร้ายมาตลอดทั้งชีวิตจนชาชิน ชาชินจนเหมือนไม่มีความเลวร้ายใดบนโลกจะทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่นได้อีกต่อไป

ระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่ในคุก ฮยอนซูได้รับอิทธิพลความคิดจากโดจีแทมาไม่น้อย “ระบบตุลาการของเกาหลีเข้าข้างแต่คนมีเงินเท่านั้นแหละ สำหรับคนที่ไม่มีเงิน อำนาจ หรือเส้นสาย ความยุติธรรมก็อยู่ห่างไกลด้วยเช่นกัน” มันเป็นคำพูดที่โดจีแทพูดกับฮยอนซู … มันเป็นคำพูดก่อนที่เขาจะเชื้อเชิญให้ฮยอนซูเสพโคเคน !!!

ว่าที่จริง ฮยอนซูในตอนนี้ไม่ใช่เด็กน้อยไร้เดียงสาอีกต่อไปแล้ว เขากลายเป็นนักเลงคุกอย่างสมบูรณ์แบบ เขาตัดสินใจที่จะไม่ยื่นอุทธรณ์ด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มฮยอนซูโดนคุกกลืนกินโดยสมบูรณ์แล้วจริง ๆ ?

ผ่านไประยะหนึ่ง …

ด้วยความไม่ยอมแพ้ในความเชื่อของตัวเอง ทนายชินจุงฮันจึงได้พยายามสืบหาหลักฐานต่อไป จนได้พบว่าหมอที่จ่ายยาให้กับฮงกุกฮวาคือฆาตกรตัวจริง จากนั้นเขาจึงได้ส่งเรื่องไปให้หัวหน้าพัคซึงบอม และอัยการอันแทฮี และในท้ายที่สุด ฆาตกรตัวจริงก็รับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือฆ่าฮงกุกฮวา ด้วยชนวนเหตุที่เกิดจากความหึงหวง

รีแคปซีรีส์ One Ordinary Day EP.8 : ตอนจบ

ฮยอนซูได้รับการปล่อยตัว และกลับมาใช้ชีวิตกับครอบครัวเหมือนเดิม แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมก็คือตัวฮยอนซูเอง เขากลายเป็นเด็กหนุ่มที่ดูกร้าวเกินอายุ มาร์ลโบโรเมนทอลเป็นบุหรี่ที่เขาเลือกสูบ … ไม่มีฮยอนซูที่ยิ้มแย้มอ่อนต่อโลกอีกต่อไป

ในตอนท้าย ทนายชินจุงฮันเดินทางไปหาลูกความที่สถานีตำรวจ ที่นั่นเองเขาได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่งนั่งร้องไห้ในห้องขังด้วยความสิ้นหวัง เขาได้เดินไปยื่นนามบัตรให้กับหญิงสาวคนนั้น (คิมยูจอง) !!! ก่อนที่ภาพจะซูมไปที่ใบหน้าทนายความตลาดล่างที่กำลังเผยให้เห็นรอยยิ้ม เป็นการเปิดทางให้กับซีซั่น 2 ต่อไป

คิมยูจอง ใiนซีรีส์ One Ordinary Day EP.8 ตอนจบ

จบบริบูรณ์

Source: VIU Thailand