The Law Cafe สปอยล์ : เรื่องราวของคิมจองโฮกับคิมยูริ สองเพื่อนซี้ที่รู้จักกันมายาวนานกว่า 17 ปีตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ทั้งสองได้กลับมาเจอกันอีกครั้งในฐานะผู้เช่าและผู้ให้เช่าพื้นที่ทำคาเฟ่ โดยเป็นคาเฟ่ที่ให้บริการรับปรึกษาทางด้านกฎหมาย
EP.1 คาเฟ่รับปรึกษากฎหมาย
EP.2 วิธีรักคนคนเดียวให้ได้สิบเจ็ดปี
EP.3 ภาวะอุบัติติ่ง
EP.4 ความรักกับความรุนแรง
EP.5 รอยจูบอันชอบธรรม
EP.6 จิตใจคนยากแท้หยั่งถึง
EP.7 ความผิดและบทลงโทษ
EP8 เกาะที่คั่นกลางระหว่างหัวใจ
EP.9 คำโกหกอายุสิบเจ็ดปี
EP.10 มรดกอันสวยงาม
EP.11 คนเดียวที่อยู่ในหัวใจ
EP.12 ความรักของสตอล์กเกอร์
EP.13 บางครั้งเราก็ตกหลุมพรางของชีวิต
EP.14 เกือบจะแฮปปี้เอ็นดิ้งแล้วนะ
EP.15 กลัวการผูกมัดจากการแต่งงานงั้นเหรอ
EP.16 ความรักที่ถูกต้องตามกฎหมาย (จบ)
เรต 15 + คะแนน 6/10 เรตติ้ง 6.0 %
แนว : รอมคอม
EP.1 คาเฟ่รับปรึกษากฎหมาย
คิมยูริ (รับบทโดย อีเซยอง) เป็นทนายความผู้มีจิตใจผดุงความยุติธรรม ทำงานอยู่แผนกประชาสงเคราะห์ในสำนักงานกฎหมายฮวังแอนด์กู ซึ่งทำหน้าที่ว่าความให้ผู้ด้อยโอกาสและให้คำปรึกษาทางด้านกฎหมายฟรี รวมถึงรับทำคดีที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ
วันนี้ที่ออฟฟิศ นำโดยท่านประธานได้จัดงานเซอร์ไพรส์เล็ก ๆ ที่ยูริจะทำงานที่นี่เป็นวันสุดท้าย เพราะเธอตั้งใจลาออกจากงานประจำเพื่อไปทำตามฝันของตัวเอง ท่านประธานทำท่าทางเหมือนจะร้องไห้เสียใจ แต่เอ๊ะ คำพูดเหมือนกับยินดี …
“ทนายคิมยูริของเรา ทำงานหามรุ่งหามค่ำกับคดีเพื่อส่วนรวมคดีนั้นเป็นเวลาสามเดือนสิบวันโดยไม่แตะคดีอื่นเลย แบบนั้นจึงทำให้บริษัทเราขาดทุนยับเยิน แต่นักปีนเขาจีรีสามารถประหยัดเงินได้ถึง 1,200 วอน (ประมาณ 32 บาท) …” ท่านประธานเน้นเสียงให้หนักแน่นขึ้นไปอีก “… ทนายคิมยูริที่รักของเรา ได้ทุ่มเทเพื่อส่วนรวมและผู้ด้อยโอกาส และนี่ก็เป็นคดีสุดท้ายแล้ว เพราะเธอได้ลาออกจากบริษัทเราแล้วครับ ทุกคนปรบมือ” จากนั้นเพื่อนร่วมงานก็เข้ามาแสดงความยินดีกับยูริกันยกใหญ่ที่เธอลาออก (555)
จากนั้นท่านประธานก็แนะนำยูริให้ไปเป็นโฆษกพรรคการเมือง เพราะใกล้จะถึงฤดุการเลือกตั้งแล้ว แต่ยูริไม่สนใจ เพราะเธอตั้งใจจะไปเปิดลอว์คาเฟ่ ตามความฝันของตัวเอง
ลอว์คาเฟ่
หลังจากลาออก ยูริก็ออกหาทำเลเพื่อเปิดคาเฟ่ จนเตะตาเข้ากับที่หนึ่ง เป็นตึกที่เจ้าของอาศัยอยู่บนดาดฟ้าและเปิดพื้นที่ส่วนอื่นให้เช่า บริเวณห้องที่ยูริสนใจ ผู้เช่าเดิมเคยทำเป็นคาเฟ่ไพ่ทาโร่ต์มาก่อน ทำให้ข้าวของส่วนใหญ่สามารถเอามาใช้ได้เลย เพียงแค่ทำความสะอาดเท่านั้น
ที่จริงแล้ว ทนายที่เก่งสำหรับยูริ คือทนายที่แก้ปัญหาให้กับลูกความได้สำเร็จโดยไม่ต้องขึ้นศาล และทนายคนนั้นจะเป็นทนายที่เก่งที่สุด เมื่อสามารถแก้ปัญหาให้ลูกความได้ในราคาเท่ากับกาแฟหนึ่งแก้ว ซึ่งเป็นที่มาของคอนเซปต์ร้านกาแฟลอว์คาเฟ่ของเธอ แต่มีอยู่คนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วย … คิมจองโฮ (รับบทโดย อีซึงกิ)
ยูริไม่รู้มาก่อนเลยว่าเจ้าของตึกที่เธอเช่าคือคิมจองโฮ เพื่อนสนิทของเธอตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม แต่ไม่รู้ทำไมนะ เขาถึงพยายามหลบหน้าเธอมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
จองโฮไม่ให้ยูริเช่าตึกทำคาเฟ่ โดยเขาอ้างว่าการลาออกจากงานประจำเพื่อมาทำคาเฟ่เป็นความคิดที่แย่มาก ทั้งสองจึงเกิดปากเสียงกัน และด้วยความเป็นเนิร์ดด้านกฎหมาย ทั้งคู่จึงยกหลักกฎหมายออกมางัดกัน จนคุณป้านายหน้าที่นั่งฟังอยู่ถึงกับมึนไปยี่สิบแปดตลบ
จองโฮพายูริมาบนดาดฟ้า แล้วชี้ให้เธอดูจำนวนคาเฟ่ที่เปิดอยู่แถวนี้ว่ามีอยู่ทุกหัวมุมถนน “เธอคิดเหรอว่าคนเราจะมีเวลามานั่งคาเฟ่อะไรกันนักหนา ต่อให้มีเวลาก็มีคาเฟ่อยู่ทุกมุมตึก แม้แต่ชนิดของเมล็ดกาแฟเธอยังไม่รู้จัก จะเอาอะไรไปสู้กับเขาได้”
ยูริเสียงอ่อย เพราะที่จองโฮพูดมันจริงทุกอย่าง แต่เธอก็พยายามจะพูดถึงจุดขายของคาเฟ่ “แต่มันเป็นคาเฟ่ที่รับปรึกษากฎหมายนะ”
จองโฮพยายามยกเหตุผลร้อยแปดเพื่อลบล้างความตั้งใจของเธอ “รู้ไหมว่าทำไมถึงไม่มีใครคิดทำคาเฟ่กฎหมาย ก็อาจเป็นเพราะมันไม่เวิร์กยังไงล่ะ เจ๊งชัวร์ !!!” หีม พอเจอคำนี้เข้าไป ยูริถึงกับของขึ้นทันที เธอตวาดลั่นใส่จองโฮว่าถ้ามันจะเจ๊งแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเขาด้วย … แล้วทั้งคู่ก็ได้แต่มองตากันด้วยความเงียบงันอยู่หลายวินาที ก่อนที่ยูริจะถามว่า ที่เขาเป็นแบบนี้เพราะเรื่องที่เคยคบกันเมื่อสมัยเรียนมหาลัยใช่มั้ย ?
“ฮะฮะฮ่า …” จองโฮหัวเราะกลบเกลื่อนความรู้สึก “… โอ๊ย เรื่องมันตั้งแต่ปีมะโว้นู่นแล้วนะ” จะอ้างว่าเป็นห่วงก็ไม่ได้ เพราะเดี๋ยวจะเสียฟอร์มอะไรแบบนี้ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ยอมให้ยูริเช่าตึกทำคาเฟ่อยู่ดี
ภาพแฟลชแบ็กกลับไปสมัยเรียนมหาวิทยาลัย จองโฮกับยูริคบกัน แต่จู่ ๆ เขาก็ขอเลิกกับเธอโดยไม่บอกเหตุผล หลังจากนั้น เขาสอบเนติบัณฑิตได้และทั้งสองก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย
ส่วนยูริก็มุ่งมั่นเรียนกฎหมายเพื่อจะเป็นทนายความ เพราะพ่อของเธอประสบอุบัติเหตุขณะทำงานในโรงงาน แต่กลับไม่ได้รับความเป็นธรรม ซึ่งมันคือจุดเริ่มต้นที่เธอเลือกจะเป็นทนายเพื่อสังคมอย่างแท้จริง (ไม่ใช่สร้างภาพลักษณ์ว่าตัวเองเป็นทนายเพื่อสังคมเพื่อสร้างชื่อเสียง โดยมีจุดประสงค์เพื่อกอบโกยเงินจากชื่อเสียงที่ได้)
วันหนึ่ง ยูริมีนัดขึ้นศาลในคดีบริษัทยักษ์ใหญ่ละเลยเรื่องปลอดภัยของคนงาน จนทำให้มีคนตายเพราะถูกเครื่องจักรบดทับร่าง เธอวางแผนให้จองโฮนำเอกสารที่ลืมไว้มาให้ที่ศาล เพราะต้องการให้เขาได้เห็นกับตาถึงสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ ให้เขาเห็นว่าสิ่งที่เธอทำมันเป็นประโยชน์กับสังคมและคนส่วนมากอย่างไร
วันถัดมา จองโฮร่างเอกสารสัญญาเช่าส่งให้ยูริ สัญญาเช่าที่พิมพ์ด้วยกระดาษขนาด A4 หนาประมาณครึ่งรีม !!!
โดยในสัญญาได้ระบุกฎข้อห้ามยิบย่อยเอาไว้มากมาย “ผู้เช่าจะหลีกเลี่ยงทางเดิน ร้านสะดวกซื้อ และสถานที่อื่น ๆ ที่ผู้ให้เช่าใช้อยู่” หรือข้อ 38 วรรคสอง “ไม่ให้ผู้เช่าพบกับผู้ให้เช่าโดยไม่ได้นัดหมาย” บลา ๆ ๆ คือสรุปกฎส่วนใหญ่ระบุเอาไว้เพื่อไม่ให้ยูริมาเจอจองโฮ
ยูริอ่านสัญญาไปจนถึงข้อ 112 ก็เกิดโมโหจนควบคุมอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ กฎอะไรมันจะมากมายขนาดนั้น ยูริจึงโยนสัญญาหนาครึ่งรีมทิ้งจนกระจัดกระจายไปทั่วห้อง … แล้วเธอก็หันมาพูดกับกล้องว่า “เขามันก็เป็นอย่างนี้แหละ โรคจิตเต็มขั้น”
ด้านจองโฮเองก็พูดกับกล้องเช่นกันว่า ที่เขาพยายามหลบหน้ายูริมาตลอด ก็เป็นเพราะเขาชอบเธอ
EP.2 วิธีรักคนคนเดียวให้ได้สิบเจ็ดปี
จองโฮหันมาพูดกับกล้อง ขณะที่เขานั่งชิลอยู่บนดาดฟ้าในวันที่ท้องฟ้าโปร่งและอากาศกำลังดี เขาเล่าให้เราฟังว่าเริ่มตกหลุมรักยูริตั้งแต่เมื่อไร …
ย้อนกลับไปเมื่อฤดุใบไม้ผลิ ปี 2006 หรือกว่า 17 ปีที่แล้ว ในตอนนั้นจองโฮย้ายโรงเรียนและยูริก็อยู่ห้องเดียวกับเขา จองโฮเป็นเด็กที่เรียนเก่งมาก เก่งแบบโคตรเก่ง ทำให้ยูริมักจะถามปัญหาที่ไม่เข้าใจในเรื่องจากการเรียนกับเขาเสมอ ๆ ทำให้ทั้งสองเริ่มสนิทกัน และก็เป็นจุดเริ่มต้นที่เขาแอบชอบเธอ …
“ผมแอบรักคนคนหนึ่งมา 17 ปีได้ยังไงน่ะเหรอครับ ก็แค่ไม่ต้องเจอเธอไง …” จองโฮยิ้มเล็ก ๆ ท่าทางเขินอายขณะที่พูดกับกล้อง “… ต่อให้ผมไม่เจอเธอ แต่เธอก็โผล่มาทุกที่อยู่ดี” ในห้วงความคิดของจองโฮนั้น ไม่ว่าจะตอนตื่นหรือว่าหลับฝัน เขาจะเห็นภาพยูริอยู่กับเขาเสมอ ๆ ตื่นก็ตื่นด้วยกัน แปรงฟันก็ยืนแปรงข้าง ๆ กัน แต่ …
แต่การคิดถึงแบบนั้นมันก็ทำให้จองโฮปวดใจไม่น้อย อย่างไรก็เถอะ ด้วยความที่ทั้งสองไม่เคยมีเรื่องไม่ดีให้คิดร้ายต่อกัน มันก็เลยดีและยังดำเนินต่อไปอย่างนั้น คิดถึงไปอย่างนั้น มีความสุขในจินตนาการความฝันไปแบบนั้น
ยอมรับเงื่อนไข
ยูริยอมรับเงื่อนไขในสัญญาเช่าทั้งหมด จากนั้นก็รีบจัดแจงเตรียมความพร้อมในการเปิดคาเฟ่ทันที โดยมีบาริสต้าระดับเทพอย่างซออึนกัง (รับบทโดย อันดงกู) ที่ฝึกปรือฝีมือมาจากในคุก คอยชงกาแฟเสิร์ฟลูกค้า และแบจุน (รับบทโดย คิมโดฮุน) เป็นพนักงานประจำร้าน
ทุกอย่างก็เหมือนจะดำเนินไปได้ด้วยดี แต่ไหง จู่ ๆ จองโฮก็เดินเข้ามาที่คาเฟ่ของยูริ พร้อมกับพูดนู่นบ่นนี่สารพัด ทำอย่างกับตัวเองเป็นเจ้าของร้านซะอย่างนั้น คือเป็นห่วงแหละดูออก แต่ยูริไม่คิดอย่างนั้น เธอมองว่าเป็นเรื่องน่ารำคาญที่เจ้าของตึกจะเข้ามาวุ่นวายกับผู้เช่าขนาดนี้
ยูริเลยตวาดลั่นกรอกหูของจองโฮ “ไอ้เปรตเวรตะไลปลาไหลกลับชาติมาเกิดเอ๊ย ที่ยอมให้มาตลอดนี่ก็เพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนกันนะ คิดว่านี่เป็นเรื่องตลกหรือไง อย่าเยอะขอร้อง อย่าเยอะ !!!” แล้วเธอก็เอานิ้วจิ้มไปที่หน้าผาก เหมือนผู้ใหญ่กำลังสั่งสอนเด็กให้จำ หือ โดนชุดใหญ่เข้าไปจองโฮถึงกับทำหน้าเป็นปลาจวดสองนิ้วเลยทีเดียว (555)
จองโฮขึ้นมานั่งจ๋อยอยู่บนดาดฟ้า แล้วก็ได้เห็นภาพบาดตาบาดใจ เมื่อหมอพัคซึ่งเช่าเปิดคลินิกอยู่ตึกเดียวกันได้เข้ามาทักทายยูริ ซึ่งหมอพัคเองก็ดูจะชอบยูริอยู่เหมือนกัน
ลูกความรายแรก
คืนแรกของการเปิดร้าน เป็นคืนที่ฝนเทลงมาหนักมาก บรรยากาศก็ดูจะอึมครึมชวนขนหัวลุก เวลานั้นเองยูริก็ได้ยินเสียงแปลก ๆ ที่มาจากห้องด้านบน ด้วยความตกใจเธอจึงรีบวิ่งขึ้นไปหาหมอพัคที่คลินิกชั้นบน แต่คำตอบที่ได้คือไม่มีใครอยู่ห้องนั้น !
โจซอกจุนเป็นคนไข้ของหมอพัคได้ยินยูริพูดเรื่องเสียงที่ดังจากด้านบน เขาจึงมาหายูริที่คาเฟ่ โดยในมือถือค้อน แถมยังใส่ฮูดกันฝนสีดำอย่างกับฆาตกรในหนังสยองขวัญไม่มีผิด เอาล่ะสิ ยูริจึงร้องกรี๊ดจนเสียงหลงเพราะเข้าใจว่าโจซอกจุนเป็นฆาตกรที่จะเข้ามาทำร้าย จองโฮเมื่อได้ยินเสียงก็รีบวิ่งมาช่วยยูริและได้เกิดการต่อสู้กันนิดหน่อย สุดท้ายแล้วก็ถึงบางอ้อว่าโจซอกจุนไม่ใช่คนร้าย แต่เป็นลูกความที่ต้องการมาปรึกษากฎหมาย ยูริจึงขอโทษเขาเป็นการใหญ่
โจซอกจุนมาปรึกษาเรื่องเสียงรบกวนจากห้องอพาร์ตเมนต์ชั้นบน เขาบรรยายว่าเสียงมันเหมือนกับมีการฆาตกรรมเกิดขึ้นบนนั้น ทำให้เขานอนไม่หลับมาสามวันแล้ว แต่เนื่องจากยูริเห็นจองโฮบาดเจ็บ เธอจึงตัดบทไปว่าคืนนี้ดึกมากแล้ว ขอให้คำปรึกษาในวันพรุ่งนี้แทน แล้วเธอก็ไปดูอาการของจองโฮ
ยูริประคองจองโฮขึ้นไปบนห้องดาดฟ้าของเขา แต่บังเอิญมือเกิดไปถูกหน้าอก จองโฮเลยโวยวายขึ้นโดยอ้างกฎหมายมาตรา 298 ว่ายูริกำลังล่วงละเมิดเขา ยูริรำคาญหนักมากจึงตวาดกลับไปเสียงดังลั่น “จะอะไรนักหนา ถ้าไม่พอใจก็มาจับคืนเลยมา !!!” ทำเอาจองโฮถึงกับนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออกกันเลยทีเดียว (555)
ในที่สุดยูริก็ประคองจองโฮขึ้นมาที่ห้อง เธอพยายามเปิดตู้เพื่อหาชุดปฐมพยาบาล แต่ก่อนที่เธอจะเปิดตู้ตู้หนึ่ง จองโฮก็รีบมาปิดตู้นั้นก่อนที่เธอจะได้เห็นเอกสารบางอย่างที่อยู่ในตู้นั้น มันเป็นเอกสารทางคดีที่เขาไม่ต้องการให้เธอรู้ … ช็อตนี้เองทำให้ทั้งสองใกล้ชิดจนเกือบจะได้จุมพิตกัน
สรุปแล้วในคืนนั้นจองโฮก็นอนหลับฝันดีเป็นพิเศษ ว่าที่จริงการที่ยูริเข้ามาในห้อเขา มันเป็นการละเมิดกฎที่ระบุเอาไว้ในสัญญาเช่า แต่จองโฮไม่สนใจหรอก เพราะเขารู้สึกได้ถึงความสุขที่มีเธอดูแลอยู่ใกล้ ๆ แบบนี้
โจ๊กผักที่กระเดือกไม่ลง
จองโฮตื่นเช้ามาด้วยความสดชื่น ยิ่งเขาได้พบกับยาและโจ๊กผักที่ยูริมาวางเอาไว้ให้ พร้อมข้อความที่เขียนด้วยลายมือบนกระดาษ Post-it มันยิ่งทำให้เช้านี้ของเขายิ่งสดใสมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ แต่ให้ตายเถอะ ช้อนแรกที่เขาตักโจ๊กใส่ปากก็ถึงกับสำลักออกมา เพราะรสชาติมันแย่จนกระเดือกไม่ลงจริง ๆ
“โจ๊กนี่ทำให้ไม่อร่อยจนกินไม่ลงนี่ยากนะ แต่ยัยนั่นทำได้จริง ๆ” คำสารภาพจากปากจองโฮ (555)
วันนี้หมอพัคเข้าไปหายูริที่คาเฟ่ (เพื่อจะขอตามไปบ้านโจซอกจุน) จองโฮที่เห็นก็เกิดอาการหึงขึ้นมา เขาจึงรีบเข้าไปขัดจังหวะ จนยูริถามกลับไปว่า “ทำไมถึงชอบเผือกเรื่องของฉันขนาดเน้ (เสียงสูง)”
จริง ๆ แล้วหมอพัคกับจองโฮมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกันและยังเป็นเพื่อนสนิทกันด้วย เขาจึงขอตามไปที่บ้านโจซอกจุนเพื่อฟังเสียงรบกวนที่เกิดจากห้องชั้นบนด้วย โดยอ้างว่าตอนที่เป็นอัยการ เขามีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับคดีประเภทนี้เป็นอย่างมาก การที่เขาไปด้วยย่อมมีประโยชน์แน่นอน
ที่ห้องอพาร์ตเมนต์ของโจซอกจุน … ยูริเอาเครื่องวัดเสียงไปด้วย ค่าความดังที่ได้มากถึง 103 เดซิเบล ซึ่งเกินกว่าค่ามาตรฐานเสียงที่ยอมรับได้ในช่วงกลางคืนที่ 52 เดซิเบล
อย่างไรก็ตาม คำแนะนำที่ยูริให้ได้เบื้องต้นคือทำหนังสือร้องเรียนตามกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษร แต่โจซอกจุนก็บอกว่าเขาเคยร้องเรียนไปนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ไม่เคยมีอะไรดีขึ้นเลย ยูริพูดอะไรไม่ออก เห็นได้ชัดว่าเธอสีหน้าไม่สู้ดี เพราะเธอรู้ดีว่าเรื่องเสียงรบกวนกฎหมายทำอะไรไม่ได้มาก แต่จองโฮมองต่างออกไป …
เมื่อกลับมาที่ตึก จองโฮได้บอกกับยูริว่า เขาเห็นห้องชั้นบนและห้องข้าง ๆ ทั้งซ้ายขวาของโจซอกจุนปิดไฟมืดเหมือนไม่มีคนอยู่ … สิ่งที่เขากำลังจะบอกก็คือ มีความเป็นไปได้ที่ตัวโจซอกจุนเองนั่นแหละที่เป็นคนทำเสียงรบกวนคนอื่น เพราะเป็นคนเดียวที่เที่ยวเดินถือค้อนไปทั่ว และถ้าเป็นอย่างที่เขาพูดจริง ๆ ก็เท่ากับว่ายูริเป็นคนส่งเสริมให้โจซอกจุนทำความผิดไปด้วย
บาดแผลในอดีต
หรือมันจะเป็นอย่างที่จองโฮคิดจริง ๆ เมื่อยูริได้ยินลูกค้าคุยกันว่าอพาร์ตเมนต์แห่งนั้นไม่มีคนอยู่ชั้น 11 เลย เพราะคนที่อยู่ชั้น 10 ส่งเสียงดังเอะอะโวยวาย
ยูริรีบไปที่อพาร์ตเมนต์นั้นอีกที แต่ถามใครก็ไม่มีใครรู้ว่าเสียงที่ว่านี้ดังมาจากที่ไหน เธอจึงพยายามตามสืบหาต้นตอของเสียงปริศนานั้นให้เจอ จนได้ความว่า เสียงอาจจะเกิดจากความบางของพื้นปูนที่ใช้ในการก่อสร้าง ซึ่งเป็นการลดต้นทุนของบริษัทผู้รับเหมาในสมัยนั้น
สืบไปสืบมากลับพบว่า อพาร์ตเมนต์นี้บริษัทก่อสร้างโดฮันเป็นผู้ก่อสร้าง เจ้าของคือประธานอีซึ่งเป็นคู่กรณีกับพ่อที่เสียชีวิตไปแล้วของเธอ ยูริถึงกับเข่าทรุดที่ต้องหวนกลับไปคิดถึงเรื่องราวในอดีตอีกครั้ง เธอจึงแนะนำให้โจซอกจุนฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายกับบริษัทก่อสร้างโดฮัน
ยูริเล่าเรื่องบริษัทก่อสร้างโดฮันให้จองโฮฟัง เขาจึงเตือนว่าอย่าเอาคดีพ่อ ซึ่งเป็นเรื่องส่วนตัวมาเกี่ยวข้องกับงาน
ภาพแฟลชแบ็กย้อนกลับไปตอนที่เกิดเรื่องคดีพ่อของยูริ ในตอนนั้นพ่อของจองโฮเป็นอัยการรับผิดชอบคดี แต่ดูเหมือนจะมีหลักฐานบางอย่างที่ผิดไปจากความเป็นจริง จึงทำให้ยูริไม่พอใจแล้วเข้าไปต่อว่าพ่อของจองโฮอย่างรุนแรง ตัวจองโฮเองก็ไม่สบายใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ไม่นานนักยูริก็เข้าใจและคิดว่าพ่อของจองโฮก็แค่ทำตามหน้าที่ เธอจึงขอให้จองโฮกลับมาเป็นเหมือนเดิม
วันเวลาผ่านไป จองโฮได้เป็นอัยการ ตอนนั้นเขาได้รู้ความจริงว่า พ่อของเขาเป็นคนสั่งให้เลิกสอบสวนบริษัทก่อสร้างโดฮัน ในคดีลอบวางเพลิงเมื่อปี 2006 เพราะความสัมพันธ์ส่วนตัว (คือแม่ของจองโฮเป็นคนในตระกูลโดฮัน) … พูดง่าย ๆ ก็คือจองโฮคิดว่าพ่อของเขาใช้ช่องทางของกฎหมายช่วยเหลือคนผิด เพราะคนนั้นเป็นญาติ
และนี่เองทำให้จองโฮหมดศรัทธากับการเป็นอัยการ เขาจึงตัดสินใจลาออกนับแต่นั้น
จองโฮในปัจจุบันนอกจากมีรายได้จากการเก็บค่าเช่า เขายังเป็นนักเขียนนิยายอีกด้วย นิยายของเขาตั้งชื่อเรื่องว่า “ผู้ลงทัณฑ์องค์กรทมิฬ” พล็อตเรื่องเกี่ยวกับบริษัทก่อสร้าง ที่ดำเนินเรื่องคล้ายกับชีวิตของประธานอีแห่งบริษัทก่อสร้างโดฮัน
ทีนี้ อีพยอนอุงได้จ้างประธานฮง (อดีตหัวหน้ายูริที่สำนักงานกฎหมาย) ให้สืบหาตัวคนเขียนนิยายเรื่องนี้
โจซอกจุนมืดแปดด้านกับสิ่งที่ต้องเผชิญ ยิ่งคำแนะนำของยูริคือการให้ฟ้องบริษัทก่อสร้างโดฮันด้วยแล้ว เขาจึงรู้สึกว่าโอกาสยิ่งมืดมนไปกันใหญ่
ในคืนเดียวกันนั้น โจซอกจุนขึ้นไปบนดาดฟ้าอพาร์ตเมนต์ เขาคิดจะกระโดดลงไปเพื่อจบปัญหา จองโฮรู้ข่าวก็รีบไปที่นั่นและเข้าไปเกลี้ยกล่อมให้เขามีแรงฮึดสู้ เพราะถ้าการต่อสู้ครั้งนี้ชนะ บริษัทก่อสร้างโดฮันก็จะไม่สามารถไปสร้างอพาร์ตเมนต์แบบนี้ได้อีก โจซอกจุนมีท่าทีอ่อนลง และเชื่อในคำพูดของจองโฮ
ยูริตามมาที่หลัง แต่เธอได้ยินทุกอย่างที่จองโฮพูด คำพูดเหล่านั้นมันเป็นคำพูดที่เธอจำได้เป็นอย่างนี้ เพราะเธอเคยพูดกับจองโฮเมื่อเห็นเขาท้อแท้ … มันทำให้ความรู้สึกเก่ากลับมา และความรู้สึกนั้นมันก็ทำให้ยูริหัวใจเต้นแรงอีกครั้ง
EP.3 ภาวะอุบัติติ่ง
เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ยูริร้องไห้ออกมาอย่างกับเด็ก ๆ จองโฮเลยต้องปลอบ ปลอบไปปลอบมา อยู่ดี ๆ ยูริก็บอกว่าหิวทั้งที่ร้องไห้อยู่อย่างนั้น … แหม่
จองโฮมาที่ห้องยูริเพื่อทำรามยอนให้เธอกิน แต่เอิ่ม คือห้องสาวโสดอะนะ จานชามไม่ล้าง ห้องไม่ได้ทำความสะอาด ข้าวของวางระเกะระกะเลอะเทอะเต็มไปหมด แต่ที่ร้ายที่สุดคือเปิดตู้เย็นมาเจอหัวหอมพันปีกับเนื้อไก่ชาติปางก่อนวางอยู่ในตู้ กลิ่นนี่ไม่ต้องบรรยาย จองโฮถึงกับต้องรีบเอามือบีบจมูกเอาไว้แทบไม่ทัน (555)
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ยูริก็ได้กินรามยอนร้อน ๆ อร่อย ๆ ฝีมือจองโฮนะ ระหว่างที่กินนั้น จู่ ๆ หัวใจเธอก็เต้นแรงอีกครั้งเมื่อจองโฮเอาปลายนิ้วมาสัมผัสที่หน้าผากเหมือนที่ชอบทำตอนสมัยเรียน
ภาวะอุบัติติ่ง
ยูริไปหาหมอพัคที่คลินิกชั้นบนเพื่อตรวจว่าเป็นอะไรถึงได้หัวใจเต้นแรงผิดปกติ หมอพัควินิจฉัยเบื้องต้นว่าอาจเป็นอาการแพนิก
ยูริกลับมาที่คาเฟ่ ซึ่งเป็นช่วงที่ไม่มีลูกค้า เธอเห็นแบจุนดูคลิปวง TWICE แล้วก็เต้นบิดไปโยกมาอย่างมีความสุข เธอจึงสงสัยว่าเขาเป็นอะไร แบจุนจึงเล่าว่าเมื่อวานเขาดูรายการวาไรตี้รายการหนึ่งที่สาว ๆ วง TWICE ไปออก มันทำให้เขาเกิดภาวะอุบัติติ่งขึ้นทันที
ยูริงงสิ อะไรคืออุบัติติ่ง ? แบจุนจึงพยายามอธิบายว่า “มันแบบว่าอารมณ์เหมือนโดนรถชนแบบไม่ทันตั้งตัว มันรุนแรงพลุ่งพล่าน พอเจอคนที่อยากติ่งด้วยก็จะรู้สึกประมาณนี้แหละครับ”
แล้วทันใดนั้นเอง จองโฮก็เปิดประตูเข้ามาในร้าน เสียงเพลงแบ็กกราวด์อย่างเท่ดังขึ้น จองโฮเดินสโลว์อย่างช้า ๆ ในขณะที่ยูริมีสีหน้าตกตะลึง แล้วอาการหัวใจเต้นแรงก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ยูริใช้มือขวาจับไปที่บริเวณหน้าอกของตัวเองเพื่อสัมผัสความแรงของหัวใจ ในหัวของยูริเวลานั้นคิดถึงคำแนะนำของหมอพัค ที่แนะนำให้โฟกัสที่อย่างอื่นเมื่อเกิดอาการหัวใจเต้นแรง เมื่อเริ่มอาการดีขึ้น เธอจึงรีบเดินออกไปจากร้านทันที ปล่อยให้จองโฮยืนงงอยู่อย่างนั้น
เรียกร้องค่าชดเชย
ที่ลอว์คาเฟ่ ยูริจัดกิจกรรมให้ความรู้ผู้อาศัยที่อพาร์ตเมนต์พูรึน อพาร์ตเมนต์ที่เกิดปัญหาเรื่องเสียงดังโดยไม่ทราบที่มา เพราะเธอตั้งใจจะรวบรวมคนเพื่อทำการฟ้องร้องบริษัทก่อสร้างโดฮัน ซึ่งเธอได้ขอให้จองโฮช่วย แต่เขาไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไร เพราะอพาร์ตเมนต์มันสร้างเสร็จมาแล้ว 16 ปี เป็นเรื่องยากที่จะชนะคดี
วันแรกที่จัดกิจกรรม มีผู้อาศัยที่อพาร์ตเมนต์พูรึนมาเข้ารวมตัวกันที่ลอว์คาเฟ่เป็นจำนวนมาก ผู้อาศัยเริ่มคล้อยตามสิ่งที่ยูริกำลังนำเสนอ แต่จู่ ๆ จองโฮก็พูดข้อมูลข้อเท็จจริงที่เคยเกิดขึ้นให้ผู้อาศัยได้ฟัง ปรากฏว่าค่าชดเชยที่ได้หลังจากค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการดำเนินคดีทางกฎหมายแล้วเหลือน้อยมาก มากจนแทบไม่คุ้มกับเวลาที่เสียไป ยังไม่นับที่ราคาอพาร์ตเมนต์จะตกลงไปอีกถ้าเป็นคดีความขึ้นมา เมื่อรู้เช่นนั้นผู้อาศัยส่วนใหญ่จึงขอถอนตัว
ยูริโกรธเป็นฟืนเป็นไฟที่จองโฮไม่ช่วยแล้วยังมาขัดขวาง อย่างไรก็ตาม เมื่อมีผู้อาศัยบางคนต้องการฟ้องร้อง จองโฮก็จำใจช่วยยูริหาเหลี่ยมหามุมที่ใช้ในการต่อสู้คดี อันดับแรกเลยที่ต้องทำคือสร้างเงื่อนไขที่ใช้ในการต่อรองขึ้นมา
โจซอกจุนเป็นอดีตมือกีตาร์ระดับเทพ แต่ตอนหลังหยุดเล่นไปเพราะปัญหาการติดเหล้า วันนี้เขาจึงแสดงฝีมือในการโซโลกีตาร์สด ๆ ในห้องของเขา ไลฟ์สดบน YouTube โดยมีจองโฮเป็นนักร้องนำ ยูริเป็นแดนเซอร์ แบจุนเป็นมือกลอง และหมอพัคเป็นมือเบส จองโฮตั้งชื่อคอนเสิร์ตนี้ว่า “คอนเสิร์ตเรียกร้องความเป็นธรรมจากบริษัทก่อสร้างโดฮัน” … หลังจบการเล่นดนตรี ยูริก็จะเล่าถึงปัญหาที่เกิดจากการก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐานของบริษัทก่อสร้างโดฮัน
แผนปั่นกระแสของจองโฮได้ผลตามคาด มียอดวิวมากกว่า 5 แสนวิว วันต่อมา จองโฮกับยูริไปเจรจากับทีมกฎหมายของบริษัทก่อสร้างโดฮัน สุดท้ายแล้วก็ได้เงินค่าชดเชยมารายละ 8 ล้านวอน (ประมาณ 210,000 บาท) แลกกับการลบคลิปและจะไม่มีการฟ้องร้องกันอีกในอนาคต
เรื่องดูเหมือนจะจบกันด้วยดีไปแบบนั้น แต่อีพยอนอุงสืบประวัติของยูริก็พบว่า เธอเป็นลูกน้องเก่าของประธานฮงแห่งสำนักงานกฎหมายฮวังแอนด์กู ทำให้อีพยอนอุงไม่พอใจ แต่ประธานฮงก็แจ้งไปว่ายูริลาออกไปนานแล้ว
คืนนั้น ยูริจัดงานเลี้ยงฉลองที่สามารถไกล่เกลี่ยคู่กรณีจนเป็นที่พอใจของทุกฝ่าย เธอยกตัวเองว่าเป็นเทพธิดาแห่งการไกล่เกลี่ย ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ในคืนนั้นเมื่อทุกคนพากันดื่มกันจนเมามาย
ยูริชวนจองโฮมาเป็นหุ้นส่วนลอว์คาเฟ่ เพราะรู้ว่าตอนที่อยู่ใกล้เขาหัวใจของเธอจะกระปรี้กระเปร่าเป็นพิเศษ และเขาก็ยังเป็นคนที่เธอพึ่งพาได้ เมื่อได้ทำงานกับเขาแล้ววทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจ แต่ …
แต่จองโฮปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย “ให้ฉันอยู่แบบ ไม่ต้องยุ่งกับใครจะเป็นการดีกับทุกฝ่าย” ยูริไม่เข้าใจเหตุผลที่เขาพูดออกมา จองโฮเลยตวาดใส่หน้าเสียงดังลั่นก่อนจะเดินขึ้นห้องไป “ก็เพราะฉันรำคาญเธอไง เลิกตามรังควานฉันซะทีเหอะ”
ยูริหน้าจ๋อยเดินกลับเข้าคาเฟ่ แต่เขาก็ต้องสตั๊นต์เป็นรอบที่สอง เมื่อพบว่าข้าวของในคาเฟ่ถูกรื้อค้นทำลายจนเสียหายยับเยิน เธอกวาดสายตาไปเจอภาพอะไรบางอย่างในกระจก และเลือดนองที่พื้นเป็นทางยาว !
ยูรินิ่งอึ้งมองสิ่งนั้นตาไม่กะพริบ เธอไม่ร้อง ไม่ขยับเขยื้อน ไม่ไหวติง เธอนิ่งอยู่อย่างนั้น ทันใดนั้นเอง จองโฮก็ปรากฏตัวขึ้นข้าง ๆ เธอ แล้วก็เอามือปิดตาเธอแล้วพูดขึ้นมาว่า “อย่ามอง” ก่อนที่เขาจะอุ้มเธอขึ้นมาอยู่ในอ้อมอก
EP.4 ความรักกับความรุนแรง
ภาพที่ยูริเห็นนั้นคือศพของนูรุงกี น้องหมาที่อาศัยอยู่ที่ตึก คืนนั้น จองโฮอุ้มยูริไปนอนพักที่บ้านบนดาดฟ้าของเขา
จากนั้นจองโฮก็โทร. แจ้งเจ้าหน้าที่ให้มาเก็บหลักฐาน เบื้องต้นสันนิษฐานว่า คนร้ายฆ่าหมาแล้วลากเข้ามา นอกจากนั้นก็ไม่พบหลักฐานอะไรเลย ทั้งกล้องวงจรปิด รอยนิ้วมือ ไม่มีเลย
ยูริตื่นขึ้นมาตอนบ่ายของอีกวัน สิ่งแรกที่เห็นก็คือชุดวอร์มที่วางอยู่ปลายเตียง กับกระดาษโน้ตที่เขียนด้วยลายมือของจองโฮว่า “พักผ่อนเยอะ ๆ อย่าเพิ่งไปไหน ฉันไปโรงพักแป๊บ”
ระหว่างนั้นพนักงานที่ร้านและเพื่อนบ้านผู้ใจดีก็เข้ามาช่วยกันเก็บกวาดร้าน สักพักจองโฮก็กลับมาจากโรงพัก เมื่อเห็นยูริกำลังเก็บกวาดข้าวของที่ร้านก็บ่นออกมาชุดใหญ่ที่เธอไม่นอนพัก แล้วก็บอกให้ยูรินอนอยู่ที่ห้องของเขาก่อนสักสองสามวันในระหว่างที่ยังจับคนร้ายไม่ได้ โดยเขาจะย้ายไปนอนบนพื้นหน้าประตูเอง ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ยูริก็สงสัยว่าเขากับเธอจะนอนห้องเดียวกันได้ยังไง “ชายหญิงนอนห้องเดียวกันจะไม่มีความรู้สึกเลยหรือไง ?”
จองโฮที่อึ้งไปแป๊ปนึงก็อ้ำ ๆ อึ้งแล้วบอกไปว่า “ไม่มี เอ่อ … เธอกับฉันก็เหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน แบบเอ่อ พี่ชายน้องสาว”
เอาล่ะสิ เจอคำนี้เข้าไปยูริก็ของขึ้นทันที เธอตวาดเสียงดังลั่นใส่หน้าจองโฮ “ครอบครัวบ้านแกสิ เออ นอนบ้านแกก็ได้ แล้วทำไมเราไม่นอนเตียงเดียวกันไปเลยล่ะ จะได้จบ ๆ ไป !?” แต่ก่อนที่เรื่องจะบานปลายไปมากกว่านี้ แม่ของยูริก็โผล่เข้ามาพอดี
แม่ยูริเนี่ยแอบเชียร์ให้ทั้งคู่คบกันตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว แต่จองโฮก็ทำเป็นบ่ายเบี่ยงมาตลอด ยูริเห็นแม่ออกตัวแรงขนาดนั้นก็ได้แต่เบ้ปากไปสิ (555)
คนจ้างวานฆ่าน้องหมา
ขณะยูริกำลังเดินกลับจากไปให้ปากคำที่โรงพัก จู่ ๆ เธอก็พ่นคำสบถออกมาชุดใหญ่ “ไอ้คนโรคจิต ปสด.เอ๊ย กล้าดียังไงมาฆ่าน้องหมา ถ้าจับได้ล่ะก็ มันต้องโดนถลกหนังหัวแล้วเอาไปต้มน้ำส้วม ไอ้สลัดผักเอ๊ย“ (555) จองโฮกลั้นฮาไม่อยู่ หัวเราะลั่นออกมา แต่สักพักเขาก็ยิ้มไม่ออกเมื่อยูริเอ่ยชื่ออีพยอนอุงออกมา เธอเชื่อว่าเรื่องที่เกิดขึ้นต้องเกี่ยวกับบริษัทก่อสร้างโดฮัน
มันเป็นอย่างที่ยูริคิดจริง ๆ อีพยอนอุงสั่งให้ลูกน้องไปข่มขู่ยูริ และยังรู้ด้วยว่ายูริคือลูกสาวของหัวหน้าคนงานที่เสียชีวิตจากเหตุไฟไหม้โกดังเมื่อหลายปีก่อน
ในคืนนั้น ยูริออกไปเดินเล่นกับหมอพัค เธอเล่าเรื่องเด็กผู้หญิงลึกลับในกระจกข้างครัวที่คาเฟ่ “ที่แปลกก็คือเด็กผู้หญิงคนนั้น เหมือนแกจะกลัวที่เห็นฉัน ฉันก็เลยไม่กลัว” หมอพัคก็เลยจะแนะนำร่างทรงที่รู้จักให้
ที่ห้องจองโฮ … ยูริอาบน้ำเสร็จแล้วอยู่ในชุดสีชมพู๊ชมพู แต่ระหว่างจะเดินไปนอน เกิดซุ่มซ่ามเดินเตะขาโต๊ะอย่างแรงจนเล็บฉีก จองโฮเลยเข้าไปอุ้มเธอ แต่ยูริก็โวยวายออกมาเพราะไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องทำดีกับเธอขนาดนี้ “ถ้ามาแตะต้องตัวฉันหรือทำดีกับฉันอีก สักวันนายจะต้องเสียใจ” จองโฮทำหน้ายิ้ม ๆ เหมือนลิงหลอกเจ้าหยอกยูริ ก่อนที่จะเขยิบเข้าไปใกล้ ๆ เธอ
ทารุณกรรม
ยังซูอินมาขอรับคำปรึกษาจากยูริเรื่องที่ถูกชายข้างห้องสะกดรอยตาม เธอเล่าว่า ชายคนนั้นมักจะยืนมองผ่านหน้าต่างขณะที่เธอกำลังพาลูกไปโรงเรียน และยังเห็นเขาแอบถ่ายรูปเธอเอาไว้ด้วย
ในคืนนั้น ชายคนดังกล่าวก็มาหายูริที่คาเฟ่และได้เล่าเรื่องราวอีกมุมหนึ่งที่แปลกยิ่งกว่าของยังซูอิน เขาได้กลิ่นเหม็นแปลก ๆ โชยมาจากระเบียงห้องยังซูอินมาถึงห้องของเขา และวันหนึ่งเขาก็ได้เห็นกับตา ในห้องนั้นมีเด็กอยู่อีกคน “ที่แปลกคือ ป้าแก (ยังซูอิน) ไม่เคยพาเด็กคนนั้นออกไปไหนเลย นี่ไงครับถึงทำให้ผมจับตาดูป้าแกทุกวัน” แล้วชายคนนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดรูปให้ดูตอนที่เด็กคนนั้นออกมาวิ่งเล่นข้างนอกตอนกลางคืน
ยูริดูรูปนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเธอเอะใจขึ้นมาว่า เด็กหญิงคนนั้นเป็นเด็กคนเดียวกับเด็กหญิงที่เธอเข้าใจว่าเป็นผีอยู่ในคาเฟ่ (ที่เล่าให้หมอพัคฟัง) เมื่อรู้ดังนั้นเธอกับจองโฮจึงรีบไปแจ้งความที่โรงพักทันที แล้วพาเจ้าหน้าที่ไปค้นห้องของยังซูอินทันที เมื่อไปถึงก็ไม่พบเด็กคนนั้น โดยยังซูอินเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด “คุณตำรวจคะ ฉันไม่เคยตบตีแกเลยนะ เด็กมันชอบขโมยเงินฉันอยู่ตลอด ที่ฉันทำไปก็แค่สั่งสอนครั้งสองครั้งเท่านั้น”
ระหว่างนั้น จองโฮก็เดินสำรวจภายในห้องที่คาดว่าใช้ขังเด็กหญิงเอาไว้ ภายในห้องมีกลิ่นเหม็นตลบอบอวล มีตู้เล็ก ๆ ขนาดเท่ากับเด็กหญิงเข้าไปนั่งขดตัวได้วางอยู่ จองโฮรู้ได้ในทันทีว่า ตู้เล็ก ๆ ใบนี้เป็นตู้ที่ใช้ขังเด็กหญิง ที่นั่นยังมีสายจูงจักรยานที่เอาไว้ใช้ล่ามเด็กหญิงวางอยู่ด้วย จองโฮเห็นสภาพแล้วก็รู้สึกหดหู่ยิ่งนัก
เจ้าหน้าที่แจ้งกับยังซูอินว่าต้องไปที่โรงพัก ส่วนลูกสาวของเธออีกคนเจ้าหน้าที่จะติดต่อพ่อของเด็กมาดูแล เธอจึงสติแตกคว้ามีดขึ้นมา ก่อนที่จะปรี่เข้าไปทำร้ายยูริ แต่จองโฮเข้ามาขวางเอาไว้จนมีดบาดเข้าที่แขนของเขาจนเลือดไหลเป็นทาง
อัยการได้ส่งประวัติอาชญากรรมของยังซูอินให้กับจองโฮ เธอเคยโดนคดีทารุณกรรมลูกตัวเองเมื่อสามปีก่อน ทำให้ลูก ๆ ของเธอถูกส่งไปที่ศูนย์พักพิง จากนั้นก็ถูกส่งไปอยู่กับครอบครัวบุญธรรมเป็นเวลาประมาณหกเดือน แต่ศาลยกฟ้อง ทำให้เธอได้ลูก ๆ กลับมาเลี้ยงอีกครั้ง
ที่คาเฟ่ … จีอาอยู่ในความดูแลของยูริเป็นการชั่วคราว วันนี้เธอรวบรวมความกล้าเพื่อบอกกับยูริว่า “หนูรู้ว่าตอนนี้พี่ซูอา (พี่สาวของเธอ) อยู่ที่ไหนค่ะ …” จีอาเริ่มสะอื้นแล้วก็ร้องไห้ออกมา “… ถ้าหนูบอกว่าซูอาอยู่ที่ไหน ซูอาก็ต้องกลับบ้าน แล้วแม่ก็จะรังแกซูอาต่อไป” ที่หนูน้อยจีอาไม่ยอมบอกใครว่าพี่สาวของเธออยู่ไหน เพราะกลัวว่าพี่สาวจะถูกแม่ทำร้ายอีก พอพูดจบหนูน้อยจีอาก็ร้องไห้ออกมาไม่หยุด
ตรงนี้ ภาพตัดมาที่ยูริกำลังพูดให้ข้อมูลกับเรา “เด็กที่เป็นเหยื่อทารุณกรรมไม่เคยได้สัมผัสโลกภายนอกครอบครัว ส่วนใหญ่มักจะไม่รู้ว่าตัวเองกำลังถูกทารุณกรรม เมื่อคนที่ควรรักพวกแกมากที่สุดกลับเป็นคนที่ทำร้ายพวกแกเสียเอง เด็กคนไหนจะเข้าใจได้ง่าย ๆ ล่ะ”
ยูรินึกถึงกระเป๋าสตางค์ของเธอที่หายไปตอนวางอยู่ที่คาเฟ่ มีรายการการใช้บัตรเครดิตที่ร้านขายของชำที่หนึ่ง เธอจึงคิดว่าต้องเป็นหนูน้อยซูอาที่ใช้แน่ ๆ เธอจึงชวนจองโฮไปตามหาหนูน้อยซูอาที่นั่น ทั้งสองใช้เวลาหาทั้งวันจนดึกดื่นแต่ก็คว้าน้ำเหลว
ยูริกับจองโฮกลับมาที่คาเฟ่ในกลางดึกคืนนั้น ซูอาที่กำลังแอบขโมยของกินอยู่ก็ตกใจกำลังจะทำท่าวิ่งหนี แต่ยูริก็นั่งคุกเข่าลงกับพื้น (เพื่อให้เด็กน้อยรู้สึกปลอดภัย) แล้วก็ใช้โทนเสียงพูดอันนุ่มนวลเพื่อให้หนูน้อยซูอาคลายความกลัว …
ซูอาล้วงหยิบกระเป๋าสตางค์ของยูริที่เธอขโมยไปออกมาด้วยมือที่สั่นเทา น้ำเสียงก็สั่นสะอื้น “หนูผิดไปแล้วค่ะ”
ยูริเหลือบตามองที่มือของหนูน้อย แล้วรีบพูดออกไปว่า “ถ้าเรื่องกระเป๋า พี่ไม่โกรธหนูเลย แค่หนูเอาไปซื้อของกินอร่อย ๆ พี่ก็โอเคแล้ว พี่ไม่โกรธหนูเลยจริง ๆ นะ” แล้วยูริก็กางมือออกพร้อมกับรอยยิ้ม เพื่อเป็นสัญญาณว่าเธอไม่โกรธเลยจริง ๆ “มานี่มา”
ซูอาค่อย ๆ ใช้เท้าเปล่าก้าวเข้ามาหายูริ แต่ก้าวได้เพียงสองก้าวเธอก็หยุดพร้อมกับส่ายหน้า “หนูกลับบ้านดีกว่าค่ะ …” ซูอาพูดไปทั้งน้ำตาที่ไหลออกมา “… หนูต้องกลับบ้านไปรับน้อง ถ้าหนูไม่อยู่จีอาจะเป็นคนโดนดุแทน”
“ที่หนูต้องกลับบ้าน ก็เพราะหนูกลัวน้องโดนดุอย่างงั้นเหรอ” ยูริถามเสร็จ น้ำตาก็ไหลพรากออกมาไม่หยุด จองโฮที่ยืนอยู่ไม่ห่างก็พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ จากนั้นยูริก็โอบกอดซูอาและบอกว่าจะช่วยให้ทั้งสองไม่ต้องกลับไปที่บ้านอีก
ตัดภาพมาที่จองโฮให้ข้อมูลกับเราด้วยตาอันแดงก่ำ “เรามารู้กันทีหลังว่า ซูอาโดนสายคล้องจักรยานล่ามคอขังไว้ที่ระเบียงทั้งวัน พอแม่หลับ แกก็จะแอบหนีออกมาทางหน้าต่าง แกจะแอบออกมาแล้วมาซ่อนตัวอยู่ที่คาเฟ่ของยูริทุกคืน เราถามแกว่าทำไมต้องมาอยู่ที่คาเฟ่ แกบอกเราว่า มันอุ่นดี”
หลังจากยูริกับจองโฮเดินเรื่องให้ซูอาได้ไปอยู่กับครอบครัวบุญธรรมที่เคยอยู่แล้ว เธอก็หันมาพูดกับกล้องว่า “ครอบครัวก็เหมือนกับโลกหนึ่งใบ พอโลกนั้นแตกสลาย คนส่วนใหญ่ก็จะคิดว่าชีวิตตัวเองย่อยยับไม่มีชิ้นดี แต่จริง ๆ แล้วครอบครัวก็เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่ใช่ทุกอย่าง ต่อให้รักครอบครัวมากแค่ไหน แต่บางทีเราก็ต้องไขว่คว้าความสุขของตัวเองบ้าง บางครั้งเราก็จำเป็นต้องถอยเพื่อหาทางออก เพราะถ้าหนีไม่ทัน ก็อาจจะต้องทุกข์ไปตลอดชีวิตก็ได้ ถ้ามีคนในครอบครัวหรือใครก็ตามทำให้คุณเจ็บช้ำ หนีออกมาเถอะค่ะ คนพวกนั้นคือคนโง่ที่แยกแยะระหว่างความรักกับความรุนแรงไม่ออก”
เมื่อเคลียร์ทุกอย่างจบ อยู่ดี ๆ ยูริก็เข้าสวมกอดจองโฮ และจูบเขา ก่อนที่จะบอกเขาว่าตอนนี้เธอไม่อยากเป็นคนในครอบครัว แต่อยากเป็นอย่างอื่นมากกว่า …
EP.5 รอยจูบอันชอบธรรม
หลังจากโดนยูริจูบและสารภาพว่าชอบเขา จู่ ๆ จองโฮก็เกิดกล้ามเนื้อเป็นตะคริวที่บริเวณต้นคออย่างกะทันหัน จึงต้องไปนอนให้แพทย์แผนตะวันออกฝังเข็มให้
ยูริตามไปที่คลินิกแพทย์แผนตะวันออก เพื่ออธิบายว่าทำไมเธอจึงจูบเขา ซึ่งมันเกิดจากความรู้สึกที่เธอชอบเขานั่นเอง แต่ทว่าจองโฮกลับไม่รู้สึกดีใจ ว่าที่จริงมันทำให้เขารู้สึกขมในใจซะมากกว่า เพราะอะไรน่ะเหรอ ? เพราะเขารู้สึกว่าความรู้สึกชอบที่เธอมีให้เขา มันไม่ได้ลึกซึ้งเท่ากับที่เขามีให้เธอน่ะสิ (คือแบบแอบชอบมา 17 ปี ไม่กล้าสารภาพเพราะมัวแต่คิดนู่นนี่นั่นแบบนี้เนี่ย ที่เขาคิดว่าลึกซึ้ง แต่ถ้าชอบแล้วสารภาพออกมาเลยแบบยูริเนี่ย เรียกว่าไม่ลึกซึ้ง)
ปัญหาที่แก้ได้ด้วยเงิน
ที่สำนักงานเขต … ยูริไปอาละวาดเจ้าหน้าที่คุ้มครองเด็ก ที่ปล่อยให้ซูอาและจีอาอยู่กับแม่ที่มีประวัติทำทารุณกรรม ทำให้เด็กทั้งสองต้องอยู่กับแม่ใจร้ายอย่างทุกข์ทรมานที่บ้านหลังนั้น
การไปอาละวาดที่สำนักเขตของยูริกลายเป็นข่าวใหญ่โตขึ้นมา ทำให้มีชาวเน็ตจำนวนมากตำหนิที่เธอไปอาละวาดเจ้าหน้าที่แบบนั้น ตำหนิทำนองว่า การโยนความผิดทั้งหมดไปให้เจ้าหน้าที่ตัวเล็ก ๆ คนเดียวเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ถ้าต้องการทำให้อะไร ๆ ดีขึ้น ควรจะแก้ที่ระบบมากกว่า (คือถ้าระบบดี ทุกอย่างจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนคนเดียว)
วันต่อมา เจ้าหน้าที่หญิงคนนั้นที่ยูริไปอาละวาดได้มาหายูริที่คาเฟ่ เธอมาสารภาพว่าเธอได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว แต่ตอนนั้นไม่มีศูนย์พักพิงสำหรับเด็กที่ไหนว่างเลย ทำให้ไม่กี่วันต่อมา พวกเด็ก ๆ ก็ถูกส่งกลับไปอยู่กับแม่ตามเดิม ซึ่งเธอก็รู้สึกผิดที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เด็ก ๆ ต้องอยู่กับแม่ใจร้ายอย่างนั้นเช่นกัน แต่ด้วยปัญหาของระบบ ตัวเธอเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน
เมื่อได้ฟังมุมมองที่ต่างออกไปจากหลาย ๆ ฝ่าย ยูริก็เริ่มเข้าใจอะไร ๆ มากขึ้น ทำให้เมื่อมีรายการโทรทัศน์ติดต่อขอให้ไปออกรายการ เธอจึงรีบตอบตกลงทันที ในรายการเธอได้กล่าวปกป้องเจ้าหน้าที่หญิงคนนั้น และเสนอวิธีแก้ปัญหาโดยการใช้เงิน นั่นก็คือเธอเสนอให้รัฐบาลเพิ่มเงินงบประมาณขยายศูนย์พักพิงให้เพียงพอ
รอยจูบอันชอบธรรม
วันถัดมาหลังจากไปออกรายการโทรทัศน์ ยูริมาที่คาเฟ่ตามปกติ แต่วันนี้ไม่ปกติเพราะมีลูกค้าเต็มร้าน หนึ่งในนั้นคือคังยองบุน ที่เข้ามาปรึกษากฎหมายกับยูริ …
คังยองบุนมีอาชีพเป็นแม่บ้าน เธอทำงานอยู่ที่บ้านหลังมานานกว่าหนึ่งปี วันหนึ่งเธอโดนเจ้าของบ้านเข้ามาลวนลาม เธอจึงป้องกันตัวโดยใช้น้ำร้อนสาด เป็นเหตุให้เธอโดนฟ้องข้อหาทำร้ายร่างกายนายจ้าง ซึ่งถ้าว่ากันในทางคดีอัยการดำเนินการระงับการสั่งฟ้องไปแล้ว แต่คังยองบุนรู้สึกว่าแบบนี้มันไม่เป็นธรรมกับเธอ เพราะเธอเชื่อว่าตัวเองไม่ได้ทำผิดอะไรเลย (คือ คังยองบุนรู้สึกเหมือนเธอเป็นอาชญากรที่ได้รับการระงับโทษจากอัยการ)
ยูริจึงแนะนำว่า เรื่องแบบนี้ต้องยื่นอุทธรณ์ต่อศาลรัฐธรรมนูญขอเพิกถอนระงับการสั่งฟ้อง แต่ตัวคังยองบุนจะไม่ได้ค่าชดเชยอะไรเลยจากการยื่นเพิกถอนนี้
ยูริขอให้จองโฮช่วยทำคดีนี้ และขอให้เขาไปเป็นเพื่อนในวันนัดไกล่เกลี่ยกับตาลุงเจ้าของบ้าน สิ่งที่ยูริต้องการในการไกล่เกลี่ยคือให้ตาลุงนั่นถอนฟ้องในคดีอาญา และคดีแพ่งที่เรียกร้องค่าเสียหายทั้งหมด เพื่อที่จะได้จบเรื่องไปโดยไม่ต้องเสียเวลายื่นเพิกถอนที่ศาลรัฐธรรมนูญ แต่ตาลุงนั่นดื้อแพ่ง อ้างว่าตัวเองเป็นผู้เสียหายที่ได้รับบาดเจ็บจากการกระทำของคังยองบุน แถมยังอ้างด้วยว่าที่เขาจูบเธอ ก็เป็นเพียงการแสดงความรักกันตามปกติเท่านั้น
จองโฮจึงกระเถิบเข้าไปนั่งข้าง ๆ ตาลุง และทำท่าจะเข้าจูบ ตาลุงจึงตกเก้าอี้ด้วยความตกใจ จองโฮจึงพูดขึ้นมาว่า “ต่อให้ลุงชอบคนคนนั้นแค่ไหน แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่ชอบ เขาไม่เรียกว่าการแสดงความรู้สึกนะ เขาเรียกว่าอาญชากรรม (คุกคามทางเพศ)” สุดท้ายตาลุงก็ต้องยอมถอนฟ้องไปตามที่ยูริต้องการ
ระหว่างเดินกลับ จู่ ๆ ยูริก็นึกถึงคำพูดของจองโฮขึ้น คำพูดที่เขาบอกหลังจากที่เธอจูบเขาว่า “สำหรับฉัน จูบนั้นมันผิดกฎหมาย” เมื่อนึกคำพูดนี้ขึ้นมา ยูริก็ถึงกับออกอาการกังวลทันที เพราะเธอรู้สึกว่ารอยจูบที่เธอจูบเขาเมื่อวันก่อนนั้น เป็นรอยจูบอันไม่ชอบธรรม หรือที่เรียกในภาษากฎหมายว่า “การคุกคามทางเพศ” !?
ยูริกลับมาที่ตึก เจอแบจุน อึนกัง (บาริสต้า) และคุณป้าเพื่อนบ้านทั้งสองคนกำลังนั่งก๊งโซจูกันอย่างสนุกสนาน ด้วยมารยาทคุณป้าคนหนึ่งจึงยื่นโซจูให้เธอดื่ม ยูริก็รับมาอย่างเขินอาย ปากก็บอกไปว่า “ฉันดื่มไม่ค่อยได้หรอกค่ะ”
หลังจากกระดกไปทีเดียวจนหมดแก้ว โรคเมาเรื้อนก็ตามมาล่ะสิ (555) ยูริเอาร้องไห้งอแงออกมา ปากก็เอาแต่พล่าม “… มาตรา 298 ประมวลกฎหมายอาญา …” เอาแต่พูดประโยคนี้ซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น แบจุนจึงเปิดเน็ตหาข้อมูลก็พบว่า 298 เป็นมาตราที่ว่าด้วยการล่วงละเมิดทางเพศ จากนั้นไม่นาน ภาพของยูริก็ตัดไป
เช้ารุ่งขึ้น ยูริตกใจที่เห็นตัวเองใส่เสื้อซับในเพียงตัวเดียวนอนอยู่บนเตียง พยายามคิดทบทวนเหตุการณ์เมื่อคืนว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อจำสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้ เธอก็พูดกับตัวเองว่า “เมาเหมือนหมาเลยล่ะ” …
ยูริเดินไปหาจองโฮบนดาดฟ้า เธอพูดด้วยสำเนียงคนเมาที่กำลังเสียการทรงตัว เป็นเหมือนคำแถลงศาลว่า “เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2022 เวลาประมาณแปดโมงเช้า ข้าพเจ้าจูบคู่กรณีสองครั้งหน้าสถานีตำรวจฮงซาน โดยที่คู่กรณีไม่ยินยอมพร้อมใจ การกระทำนี้เข้าข่ายการทำอนาจารโดยการข่มขืนใจ ตามมาตรา 298 ประมวลกฎหมายอาญา ข้าพเจ้าเสียใจอย่างสุดซึ้งกับสิ่งที่ได้ทำลงไป อย่าฟ้องฉันเลยนะ …”
ยังไม่จบแค่นั้น ยูริยังไปคว้าเอาไม้กวาดมาทำเป็นไมค์ แหกปากร้องเพลงอย่างกับกำลังขึ้นคอนเสิร์ต จนจองโฮต้องลากตัวกลับเข้ามานอน แล้วตอนนั้นเองที่ความบรรลัยมาเยือน ยูริอ้วกใส่ทุกสิ่ง !!!
เมื่อรำลึกเหตุการณ์ความบรรลัยที่ตัวเองได้ทำเมื่อคืนได้แล้ว ยูริก็รีบไปขอโทษจองโฮทันที “ที่ผ่านมาฉันเอาแต่คิดถึงแต่ตัวเอง จนทำให้นายอึดอัดมาตลอด ฉันขอโทษนายจริง ๆ นะ” จองโฮหัวเราะหึ ๆ ใส่ยูริ แล้วบอกว่าไม่เป็นไรหรอก ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเมาเรื้อนขนาดนี้นะ
ไม่ใช่ ยูริไม่ได้ขอโทษเรื่องที่เธอเมา เธอกำลังขอโทษที่เรื่องที่เธอจูบเขาโดยที่ไม่ขอก่อน จองโฮพยายามกลั้นขำ แต่ถึงกับขำไม่ออกเมื่อยูริพูดว่า “ฉันรู้ว่านายไม่ชอบฉัน ต่อนี้ไปฉันจะไม่เอาเรื่องนี้มากวนใจนายแล้ว แต่ฉันยังตัดใจจากนายไม่ได้ จากนี้ไปฉันจะค่อย ๆ เข้าหานาย ให้โอกาสฉันอีกหน่อยนะ”
คนที่ห้ามแตะต้อง
ประธานฮวังนัดเจอกับยูริเพื่อเตือนว่าให้ระวังตัว และขอให้เธออย่าเข้าไปยุ่งกับบริษัทก่อสร้างโดฮันเลย แล้วประธานฮวังก็ให้หนังสือนิยาย “ผู้ลงทัณฑ์องค์กรทมิฬ” ให้ยูริเอาไปอ่าน
จองโฮให้คนตามสืบจนเจอตัวคนที่แอบเข้ามาทำลายข้าวของที่คาเฟ่ และฆ่าน้องหมาของเขา มันเป็นอาชญากรชั้นปลายแถวที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อแลกกับยา … คืนนั้น จองโฮไปดักเจอมัน และอัดมันจนน่วมให้สาสมกับที่มันทำน้องหมาของเขา
แล้วจองโฮก็ไปที่บ้านอีพยอนอุง ซึ่งก็คือน้าแท้ ๆ ของเขา (ญาติฝ่ายแม่) จองโฮเดือดดาลใส่อีพยอนอุง และย้ำว่าอย่ามาแตะต้องยูริ ไม่เช่นนั้นเขาจะทำลายทุกสิ่งจนสิ้นซาก
ยูริเดินมาเจอจองโฮนั่งอยู่หน้าตึกใบหน้ายับเยินก็ตกใจ เธอลืมตัวเดินไปสัมผัสเขาด้วยความเป็นห่วง แต่เมื่อเธอพยายามจะถอยออก จองโฮก็เอื้อมมือจับเธอเมาไว้ให้มาสัมผัสที่ใบหน้าที่บอบช้ำของเขา จากนั้น เขาก็เอ่ยปากออกไปด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา …
“ผมรู้ว่าผมไม่ควรทำแบบนี้ แต่วันนี้ผมเหนื่อยมากเลย ขอกอดหน่อยได้ไหม แค่แป๊บเดียว”
EP.6 จิตใจคนยากแท้หยั่งถึง
อีพยอนอุงแห่งบริษัทก่อสร้างโดฮันมาที่ลอว์คาเฟ่ เขาบอกกับทุกคนว่าตั้งใจมาที่นี่เพื่อมาทาบทามยูริไปทำงานด้านกฎหมายให้บริษัท แต่เธอก็ปฏิเสธไปทันที เมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้น อีพยอนอุงจึงจี้จุดทันที “ทำไมล่ะ เพราะพ่อตายที่บริษัทนี้อย่างงั้นเหรอ”
จองโฮลากอีพยอนอุงออกมานอกคาเฟ่ และเตือนอีกครั้งว่าอย่ามายุ่งกับยูริอีก แต่อีพยอนอุงที่มีศักดิ์เป็นน้าก็ค่อย ๆ เคลื่อนหน้ามากระซิบที่ข้างหูจองโฮ “ถ้าเธอรู้ว่าเราเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เธอยังจะชอบนายอยู่หรือเปล่านะ ฮะฮะฮ่า” จองโฮวิปขึ้นทันที สาวหมัดขวาซัดเข้าเต็มกรามของอีพยอนอุงจนลงไปนั่งกับพื้น ลูกน้องที่ยืนอยู่ตรงนั้นต้องเข้ามาประคอง ส่วนที่เหลือก็ไปห้ามจองโฮ
การมาเยือนของอีพยอนอุง ทำให้ยูรินึกถึงบาดแผลในอดีตเรื่องพ่อ จนทำให้เธอเป็นไข้ตัวร้อนจัดเกือบทะลุ 39 องศา จองโฮจึงขอร้องให้เธอนอนพักผ่อน ส่วนเขาจะดูแลลูกค้าที่มาปรึกษากฎหมายให้เอง
ผู้ลงทัณฑ์องค์กรทมิฬ
ระหว่างนอนป่วยอยู่บนเตียง ยูริได้หยิบเอาหนังสือนิยายผู้ลงทัณฑ์องค์กรทมิฬขึ้นมาอ่าน อ่านไปอ่านมาก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เพราะเนื้อหาตรงกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับพ่อของเธอเป๊ะ และมันทำให้เธอเกิดความสงสัยจนต้องออกไปหาความจริงบางอย่าง สุดท้ายเธอได้คุยกับอดีตเพื่อนร่วมงานของพ่อคนหนึ่ง และก็ได้รู้ความจริงว่า พ่อไม่ใช่ต้นเหตุที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้จนมีคนตายจำนวนมากในวันนั้น แต่เป็นเพราะประตูทางหนีไฟถูกปิดต่างหาก … ยูริเสียใจที่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเธอไม่เคยเชื่อเลยว่าพ่อบริสุทธิ์
ยูริยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนเขียนนิยายเล่มนี้ แต่อีพยอนอุงให้ลูกน้องตามสืบจนรู้แล้วว่า คนเขียนนิยายเล่มนี้ก็คือจองโฮนั่นเอง
คืนนั้น ยูริกลับมาด้วยความเศร้า จองโฮเข้าใจความเจ็บปวดของเธอเป็นอย่างดี เขาอยู่เป็นเพื่อนจนเธอหลับไป
ยูริตื่นขึ้นมาก็ตกใจที่จองโฮจ้องเธออยู่อย่างนั้น เธอจึงบอกกับเขาว่า เวลาที่มองใครเงียบ ๆ จะทำให้เราเข้าใจความรู้สึกของคนคนนั้นได้ แต่จองโฮตอบกลับไปว่าเขาเกลียดที่ตัวเองรู้สึกขี้ขลาดเมื่อเวลาอยู่ใกล้ ๆ เธอ ยูริจึงบอกให้เขาเลิกขี้ขลาดซะ คำพูดคำนี้เนี่ยแหละที่ทำให้จองโฮไปสมัครเป็นอัยการที่แผนกสืบสวนพิเศษอีกครั้ง เพื่อพิสูจน์ความเชื่อของตัวเองให้ได้ว่า พ่อของเขาใช้อำนาจในทางมิชอบช่วยบริษัทก่อสร้างโดฮันจริง ๆ
ความรุนแรงกับเยาวชน
วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่จองโฮรับหน้าที่เฝ้าคาเฟ่แทนยูริ เขาแต่งตัวใส่สูทผูกไท หลังจากเมื่อวานโดนคนคอมเมนต์ตำหนิเป็นเรื่องการแต่งตัว วันนี้ที่คาเฟ่มีลูกค้าน้อยมาก ลูกค้าปรึกษากฎหมายก็แทบไม่มี ค่ำแล้วมีเด็กนักเรียนคนหนึ่งเดินเข้ามาขอปรึกษาข้อกฎหมาย เด็กนักเรียนชื่อคิมมินกยู เขาต้องการรู้ว่าเด็กอายุ 14 หากก่ออาชญากรรมร้ายแรง ไม่ต้องรับโทษใช่มั้ย ? จองโฮตอบหลักกฎหมายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและเป็นมิตรว่า “ใช่ ตามกฎหมายเราจะไม่ลงโทษเยาวชนที่อายุต่ำ 14 ปี ต่อให้จะเป็นความผิดร้ายแรงแค่ไหนก็ตาม”
บาริสต้าอึนกังตามคิมมินกยูไป เพราะอึนกังจำได้ว่าเด็กคนนี้เป็นคนเดียวกับที่โดนพวกกลุ่มเด็กชั่วที่ตั้งตัวเป็นหัวโจกในโรงเรียนรังแก แล้วมันก็เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ คิมมินกยูโดนพวกเด็กชั่วรุมกระทืบ แล้วก็ไถเงินค่าขนม 30 เปอร์เซ็นต์ทุกวัน อึนกังจึงอาสาที่จะแก้แค้นให้คิมมินกยู
ภาพแฟลชแบ็กย้อนกลับไป น้องชายของอึนกังตายจากเหตุความรุนแรงในโรงเรียน เขาจึงคิดแก้แค้นโดยการจับเด็กชั่วพวกนั้นขังเอาไว้แล้วจุดไฟเผา แต่สุดท้ายเขาก็ปล่อยพวกเด็กชั่วเหล่านั้นออกมาก่อนที่จะมีใครได้รับบาดเจ็บ และยูริก็เป็นทนายให้เขา ในตอนนั้นยูริสอนเขาว่า ถ้าเรากำมีดเข้าไปฆ่าคนพวกนั้น คนที่เจ็บปวดและรับโทษก็คือตัวเราเอง
ค่ำของอีกวัน อึนกังไม่ไปทำงานที่คาเฟ่ ส่วนคิมมินกยูก็ไม่ไปโรงเรียน ทั้งสองอยู่ที่ตึกร้างแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ที่กลุ่มเด็กชั่วชอบพาคิมมินกยูมาทำร้ายร่างกาย …
ที่นั่น อึนกังนัดแนะกับคิมมินกยูว่าจะจัดฉากโยนความผิดไปให้ไอ้เด็กพวกชั่ว แผนการก็คือ เมื่อพวกเด็กชั่วเหล่านั้นเข้ามาในตึกร้าง เขาจะราดน้ำมันทั่วห้องแล้วจุดไฟเผา จากนั้นตัวเขาจะออกมาด้านนอกตึกเพื่อถ่ายคลิป ส่วนคิมมินกยูจะต้องหนีออกมาจากช่องหน้าต่าง ก่อนที่ไฟจะลามไปทั่วห้อง เมื่อตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุ เขาจะระบุไปว่าไอ้พวกเด็กชั่วพวกนั้นเป็นคนวางเพลิง
ในเวลาใกล้เคียงกัน จองโฮกับยูริได้รับแจ้งข่าวจากเพื่อนนักเรียนโรงเรียนเดียวกับคิมมินกยูถึงสถานที่ที่คิดว่าเขาจะไป ทั้งสองจึงรีบขับรถไปที่นั่นทันที … โดยทุนเดิม จองโฮไม่ชอบหน้าอึนกังอยู่ก่อนแล้ว เพราะอึนกังมีประวัติเป็นอาชญากร จองโฮจึงคิดว่าอึนกังต้องชี้นำคิมมินกยูให้ทำในสิ่งที่ไม่ดีแน่ ๆ
แผนของอึนกังเป็นไปได้ด้วยดี คิมมินกยูบาดเจ็บทีขาเล็กน้อยจากการกระโดดลงมาจากช่องหน้าต่างชั้นสอง ส่วนจองโฮกับยูริก็มาถึงพอดีเช่นกัน … อึนกังสารภาพกับยูริไปตามตรงว่าเขาวางแผนจัดฉากขึ้นมา เพื่อให้ไอ้เด็กชั่วพวกนั้นได้รับความผิด ยูริอึ้งพูดไม่ออก เพราะตอนเธอเป็นทนายให้เขาเธอเคยสัญญาว่า จะต่อสู้เรื่องความรุนแรงของเยาวชนไปด้วยกัน ส่วนจองโฮก็หัวร้อนทันที เขาโวยวายด่าทอไม่หยุดที่อึนกังทำอะไรโง่ ๆ แบบนี้ เพราะถ้าตำรวจขุดเจอประวัติอาชญากรขึ้นมา ทุกอย่างก็จบเห่
ตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุ สอบพยานเบื้องต้นนู่นนี่นั่น จนมาถึงคำถามที่ว่าอึนกังมาสถานที่นี้ทำไมในยามวิกาล และมันยังเป็นที่เปลี่ยวอีกด้วย อึนกังพูดไม่ออก เขาไม่คิดมาก่อนว่าจะเจอคำถามนี้ แต่ก่อนที่อะไร ๆ จะแย่ไปกว่านั้น จองโฮก็เดินมาพูดกับตำรวจด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “เขามากับพวกผมเองครับ”
EP.7 ความผิดและบทลงโทษ
จองโฮช่วยอึนกังปกปิดความจริง เพื่อให้เด็กหัวโจกเหล่านั้นได้รับโทษในข้อหาพยายามฆ่า
อย่างไรก็ตาม เมื่อความจริงมันเป็นเพียงการใส่ร้ายจัดฉาก ยูริจึงไม่ค่อยเห็นด้วย แต่เธอก็น้ำท่วมปากพูดไม่ออก และก็ให้บังเอิญว่าผู้รับผิดชอบคดีนี้คือตำรวจหญิงฮันเซยอน อดีตเพื่อน ม.ปลายจอมเฮียบของจองโฮและยูริ ที่มีนิสัยจับผิดโคตะระเก่งมาตั้งแต่สมัยเรียน ก็ยิ่งทำให้ยูริอยากทำเรื่องนี้ให้มันถูกต้อง
ที่ลอว์คาเฟ่ … ยูริตั้งคำถามกับทุกคนว่า “เรามีวิธีช่วยคิมมินกยูตั้งมากมาย แต่เราต้องใช้วิธีนี้กันจริง ๆ เหรอ ?”
ความคิดเห็นที่มีน้ำหนักมากที่สุดก็มาจากจิตแพทย์อย่างหมอพัค ที่กล่าวว่า “การแก้แค้นด้วยวิธีที่ไม่เป็นธรรม อาจเป็นบาดแผลในใจคิมมินกยูไปตลอดชีวิต” ระหว่างนั้น อึนกังก็เดินออกไปด้วยท่าทางไม่พอใจ แต่เขาไม่ได้โกรธใครนะ และก็เข้าใจด้วยว่าทำไมทุกคนถึงอยากทำให้มันถูกต้อง
รุ่งขึ้น จองโฮไปที่บ้านคิมมินกยู เขาอธิบายว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานจะทำให้เด็กพวกนั้นโดนข้อหาพยายามฆ่า แต่คิมมินกยูก็คิดว่าสิ่งที่พวกนั้นโดนมันสาสมแล้ว “จริง ๆ แล้วผมอยากฆ่าพวกมันให้หมดเลย ผมอยากหลุดพ้นจากพวกมัน”
จองโฮยิ้มให้คิมมินกยู จากนั้นเขาก็ร่ายยาวประวัติของตัวเองว่าเก่งแค่ไหน ยาวตั้งแต่สมัยเรียนยันทำงานเป็นอัยการ 8 ปี เพื่อที่บอกว่าเขาจะทำให้เด็กพวกนั้นถูกลงโทษอย่างที่ควรจะเป็น
วันถัดมา จองโฮ, อึนกัง และคิมมินกยูก็เดินทางไปที่โรงพัก เพื่อสารภาพกับตำรวจหญิงฮันเซยอนว่า ทั้งหมดเป็นการจัดฉากรอบวางเพลิง แต่ที่ทำไปก็เพื่อให้เด็กพวกนั้นโดนลงโทษในข้อหาใช้ความรุนแรงกับคิมมินกยู ส่วนเรื่องการแจ้งความเท็จจองโฮจะขอเป็นทนายให้กับอึนกังและคิมมินกยูเอง
ก่อนที่เด็กหัวโจกจะได้รับการปล่อยตัว จองโฮได้เดินไปคุยกับเข้าที่ห้องขังบนโรงพัก “มีคนบอกว่าให้ฉันทำตามกฎหมาย แต่ฉันสงสัยจริง ๆ ว่าสวะแบบพวกแกเนี่ยมันจะใช้กฎหมายแก้ได้จริงเหรอ” แล้วเขาก็ขู่เด็กหัวโจกเรื่องคลิปหลักฐานการกระทำความรุนแรงที่อยู่ในโทรศัพท์ ถ้าคลิปพวกนี้หลุดไปจบเห่แน่นอน ไอ้เด็กหัวโจกมันเลยหัวร้อนตะโกนลั่นใส่จองโฮ ทั้งที่ตัวเองยังอยู่ในห้องขัง
พ่อเด็กหัวโจกที่มีตำแหน่งเป็นถึงนายกเทศมนตรีพร้อมลูกน้องหลายคนมาที่ลอว์คาเฟ่ เขามาเพื่อที่โวยวายด่าทอคิมมินกยูที่ใส่ร้ายลูกเขาจนต้องนอนห้องขัง แหม่ ไม่รู้ฤทธิ์เดชแร็ปเปอร์สาวยูริซะแล้ว “เฮ้ยยย @#!?Z21(@@)!#$ เป็นถึงนายกเทศมนตรีแต่ยังกล้าเข้ามาดูหมิ่นคนอื่นเขาแบบนี้ นี่โง่หรือแกล้งโง่เนี่ย …” หลังโดนเข้าไปชุดใหญ่ พ่อของเด็กหัวโจกพร้อมด้วยลูกน้องจึงแจ้นหนีออกไปจากร้านแทบไม่ทัน
ยูริถามความต้องการของคิมมินกยูว่าต้องการให้จัดการอย่างไรกับเด็กหัวโจก เขาบอกว่าสิ่งเดียวที่เขาต้องการคือการไม่ต้องเจอไอ้เด็กเลวพวกนั้นอีกตลอดชีวิต ยูริรับปากว่าจะจัดการให้ได้ตามที่เขาต้องการ … นั่นหมายความว่า เธอต้องทำให้คณะกรรมการตัดสินให้เด็กหัวโจกย้ายไปเรียนที่โรงเรียนอื่น
ที่ประชุมคณะกรรมการควบคุมความรุนแรงภายในโรงเรียน … จองโฮมาประชุมแทนยูริ ที่ติดไปขึ้นศาลกะทันหัน แต่ยูริก็บอกเทคนิคในการประชุมคณะกรรมการแบบนี้ว่า แตกต่างจากเทคนิคที่ใช้ในศาล เพราะคณะกรรมการส่วนใหญ่ก็คือผู้ปกครองด้วยกันเองนี่แหละ สุดท้ายแล้วผู้ปกครองก็จะมองเป็นแค่เรื่องเด็กทะเลาะกัน แล้วเลือกที่จะไม่ลงโทษอะไร ดังนั้น วิธีการคือต้องทำให้ผู้ปกครองพวกนั้นแตกคอกันเอง
ด้วยความจัดเจนจากการเป็นทนายมาอย่างยาวนาน ทำให้จองโฮจัดการผู้ปกครองและเด็กเลวนั่นได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ผู้ปกครองที่ไม่ต้องการให้ลูกตัวเองเข้าไปมีส่วนร่วม ก็จะลงคะแนนให้เด็กหัวโจกย้ายโรงเรียน
เรื่องยังไม่จบแค่ย้ายโรงเรียน จองโฮจัดการเดินเกมต่อ โดยส่งหลักฐานเด็ดให้นักข่าวเอาไปขยี้ เป็นคลิปเสียงที่ครูหญิงคนหนึ่งระบุว่า นายกฮง พ่อของเด็กหัวโจกเคยมาข่มขู่ให้ปิดปากเรื่องที่ลูกชายใช้ความรุนแรงกับเพื่อนในโรงเรียน เท่านั้นยังไม่สาแก่ใจ จองโฮยังจัดข้อมูลการขุดคุ้ยประวัติการทุจริตของนายกฮงออกมาส่งให้นักข่าวต่อ แถมยังพาอัยการบุกค้นบ้านอีก
เด็กหัวโจกตอนนี้อยู่ในบ้านที่มีเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจค้นเต็มไปหมด ชีวิตพังพินาศอย่างแท้จริง ไม่เพียงแค่ตัวเองที่พัง ครอบครัวก็พังไปด้วย
จองโฮเดินออกมาจากบ้านของเด็กหัวโจก หลังพาอัยการเข้าไปตรวจค้นหลักฐานการทุจริต เขากำลังคุยโทรศัพท์กับเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่ง ในจังหวะนั้นเองที่จองโฮไม่ทันระวังตัว ไอ้เด็กเปรตหัวโจกก็เอาอิฐบล็อกตีเข้าไปท้ายทอยของจองโฮ
ไอ้เด็กเปรตมันจับจองโฮมัดเอาไว้กับเสาที่ห้องเก็บของ จากนั้นมันก็เรียกเพื่อนร่วมก๊วนมันมาด้วยอีกสองคน แต่เพื่อนอีกสองคนไม่เล่นด้วย เพราะไอ้เด็กเปรตประกาศว่าจะฆ่าจองโฮให้ตายคามือเพื่อปิดปาก เพื่อนทั้งสองจึงหนีออกมาแล้วโทร. แจ้งตำรวจ
ยูริเองก็อดแปลกในไม่ได้ที่ติดต่อจองโฮไม่ได้เลย โทร. ไปกี่สายก็ไม่รับ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ตำรวจหญิงฮันเซยอนโทร. บอกกับยูริว่าจองโฮโดนไอ้เด็กเปรตนั่นจับตัวเองไว้ ยูริจึงรีบบึ่งรถตามไปยังสถานที่เกิดเหตุทันที
สถานการณ์ที่ห้องเก็บของไม่สู้ดีนัก ไอ้เด็กเปรตมันเริ่มสติแตก เมื่อมันได้รู้ความจริงว่าจองโฮไม่มีคลิปอะไรนั่นที่ขู่ว่าจะเอาไปเปิดเผยให้โลกรู้ มันเอาไม้กอล์ฟในมือฟาดใส่ข้าวของไม่ยั้งเพื่อระบายอารมณ์ แต่ยังโชคดีที่เป็นจังหวะเดียวกับที่จองโฮแก้มัดเชือกได้ ทั้งสองจึงเกิดการต่อสู้กัน แต่ไอ้เด็กบ้านั่นมันก็ไวอย่างกับจรวด ง้างไม้กอล์ฟเตรียมฟาดใส่จองโฮ แต่ …
แต่ทันใดนั้นเอง เจ้าหน้าที่ก็เข้ามาในห้องและจับไอ้เด็กเปรตเอาไว้ได้
เมื่อเจ้าหน้าที่กลับไปหมดแล้ว ยูริยังอยู่กับจองโฮภายในห้องเก็บของนั้น ยูริสีหน้าเป็นกังวลมากเมื่อเห็นเลือดที่หัวจองโฮก็ร้องไห้ออกมาไม่หยุด จนทำให้จองโฮแปลกใจว่าเธอร้องไห้ทำไม ?
“ร้องก็เพราะว่านายเลือดออกไง ปัดโธ่ ต้องเป็นคนซื่อบื้อแค่ไหนเนี่ย ถึงโดนเด็ก ม.ต้นลักพาตัว … รู้มั้ยว่านายทำฉันเป็นห่วงแทบตาย” และนั่นก็เป็นคำพูดสุดท้ายที่ออกจากปากยูริ เพราะต่อจากนั้น จองโฮก็บรรจงใช้ริมฝีปากของเขาประกบเข้ากับริมฝีปากของเธอ ก่อนที่ยูริจะเอื้อมมือไปกอดคอเขา
EP.8 เกาะที่คั่นกลางระหว่างหัวใจ
จองโฮจูบกับยูริ แต่จู่ ๆ เขาก็ทำท่าเหมือนกับนึกอะไรขึ้นมาได้ “เดี๋ยวก่อนนะ ฉันทำแบบนี้ไม่ได้” แล้วก็วิ่งหนีออกไปทันที ทิ้งให้ยูริยืนงงด้วยอารมณ์ที่ค้างเติ่งอยู่ในห้องเก็บของเพียงลำพัง “มันเป็นเวรเป็นกรรม ปลาไฟพ่นไฟกลับชาติมาเกิดหรือยังไง ทำไมฉันต้องมาเจออะไรแบบเน้” ยูริสบถออกมาไม่หยุด
แล้วนับจากนั้น จองโฮก็เอาแต่หลบหน้ายูริ โทร. ไปก็ไม่รับ ส่งข้อความไปก็ไม่ตอบ ไปเคาะประตูบ้านก็ไม่ยอมเปิด นี่มันอะไรของมันเนี่ยยย !?
ระหว่างที่เขากำลังหลบหน้ายูริอยู่นั้น จองโฮได้หันหน้ามาคุยกับเราผ่านกล้องว่า เขามีเรื่องบางอย่างต้องสะสางให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นเขาจะขอเดตกับยูริอย่างเต็มที่เลย
เอ … เรื่องที่จองโฮต้องการสะสางมันคือเรื่องอะไรกัน หรือว่าจะเป็นเบื้องหลังบางอย่างที่เกี่ยวกับการตายของพ่อยูริ ใช่หรือเปล่านะ ?
ต่อมา จองโฮได้นำข้อมูลสำคัญที่เก็บเอาไว้ในรูปแบบยูเอสบีไดรฟ์ ไปมอบให้กับอัยการรุ่นพี่ที่เคยทำคดีการไฟไหม้ของโดฮันกรุ๊ปเมื่อ 15 ปีก่อน (คดีเดียวกับที่พ่อยูริเสียชีวิตนั่นแหละ) ซึ่งข้อมูลที่จองโฮให้ไปนั่นจะระบุชัดเจนเลยว่าพ่อของเขา ที่ตอนนี้ดำรงตำแหน่งเป็นอัยการสูงสุด มีส่วนเกี่ยวข้องในการช่วยปกปิดความผิดให้โดฮันกรุ๊ป เขาขอร้องอัยการรุ่นพี่ว่า ขอเวลาเขาทำเรื่องบางเรื่องก่อนสองสามวันก่อนที่จะเปิดโปงเรื่องนี้
หลังพบอัยการรุ่นพี่ จองโฮก็ไปหาแม่ที่บ้าน เขาไปที่นั่นด้วยความรู้สึกผิดที่จะบอกกับแม่ว่า ให้ท่านเตรียมใจไว้ เพราะไม่กี่วันที่จะถึงนี้ จะมีข่าวที่ทำให้แม่ตกใจ และแม่อาจจะโดนอัยการเรียกตัวไปสอบในฐานะพยานอีกด้วย ส่วนพ่อคงต้องลงจากตำแหน่ง แต่จะโดนลงโทษแค่ไหนคงได้รู้หลังจากสอบสวนเสร็จ “ผมรู้สึกผิดกับแม่ แต่ผมเชื่อว่าแบบนี้มันเป็นสิ่งที่ถูกต้องครับ” จองโฮเอื้อมไปจับมือแม่ แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา
ทุกสองเดือนหมอพัคจะไปเป็นแพทย์อาสาที่เกาะซุงพยอง เป็นเกาะเล็ก ๆ อันห่างไกลอยู่บนทะเลเหลือง แต่คราวนี้เขาอยากให้พนักงานลอว์คาเฟ่ไปกับกับเขาด้วย เพื่อไปเปิดบริการให้คำปรึกษาด้านกฎหมายกับชาวบ้าน ยูริตอบตกลงทันที
ที่เกาะซุงพยอง … หมอพัค ยูริ และพนักงานลอว์คาเฟ่อีกสองคนไปถึงพร้อมกับการต้อนรับอย่างดีจากผู้ใหญ่บ้าน ส่วนที่พักก็ถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้อย่างเพียบพร้อม เมื่อยูริเปิดประตูเข้าไปก็ถึงกับตกใจ มีคนนอนอยู่ … จองโฮ ใช่ จองโฮมาด้วยตามคำชวนของหมอพัค และเขาก็มาถึงล่วงหน้าหนึ่งวันก่อน
นี่เป็นครั้งแรกที่ยูริได้เจอหน้าจองโฮ หลังจากคืนแห่งรอยจูบที่มีให้กันในวันนั้น แต่ … แต่คำแรกที่จองโฮพูดออกจากปากคือ “ขอโทษ ฉันพลาดเอง” จากนั้น ยูริก็พ่นความในใจอันยาวเหยียดใส่หน้าจองโฮ …
“หายไปตั้งหลายวัน สรุปคำพูดออกมาได้แค่นี้เองเหรอ แต่จะบอกอะไรให้รู้นะว่าสำหรับฉันมันไม่ใช่ความผิดพลาด ถ้าฉันเป็นนาย ฉันคงไม่กล้าทำแบบที่นายทำหรอก เพราะมันทำร้ายจิตใจกันมากเกินไป นี่เห็นฉันเป็นตัวตลกหรือไง บัดซบจริง ๆ เลย” ความอัดอั้นของยูริถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาที่ไหลซึมออกมา
เหตุผลน่ะมี แต่กลัวที่จะพูด
รุ่งขึ้น หมอพัคกับยูริเปิดบูธคู่กัน บูธหนึ่งให้บริการทางการแพทย์ อีกบูฑหนึ่งก็ให้บริการคำปรึกษาด้านกฎหมาย แต่บูธยูริเงียบเหงาเหลือเกิน มีแต่ชาวบ้านมาขอดื่มกาแฟดริปฟรี แต่คุณลุงคุณยายที่ได้ดื่มก็บ่นออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่ากาแฟห่วยเพราะมีรสขม จนต้องพากันไปเอาน้ำตาลกับครีมเทียมมาใส่ช้อนพูน ๆ แหม่ งานนี้บาริสต้าอึนกังถึงกับเกาหัวแกรก ๆ กว่าจะดริปได้แต่ละหยดพิถีพิถันขนาดไหน ดันมาบอกว่ากาแฟขมซะอย่างงั้น (555) … แต่ไม่ผิดนะ ก็ไม่รู้จักนี่ กาแฟดิ๊ปเดิ๊ปอะไรนั่น
แต่แล้ว ยูริก็ได้คุณยายคนหนึ่งเข้ามาขอรับคำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องการปิดทางเดินสาธารณะ ซึ่งคู่กรณีก็เป็นคุณยายอีกคนที่ไปขอรับคำปรึกษากับจองโฮเช่นกัน
คือเรื่องมันเป็นแบบนี้ … คุณยายสองคนเนี่ยเป็นเพื่อนบ้านที่คบกันมายาวนานกว่าสามสิบปี ทั้งสองก็ปรองดองกันมาตลอด จนมามีเรื่องเมื่อไม่นานมานี้ ที่อยู่ดี ๆ คุณยายรุ่นพี่ก็เกิดปิดทางไม่ให้คุณยายรุ่นน้องใช้ทางลัดเดินตัดผ่านบ้านเพื่อขึ้นเขาไปเก็บของป่า ทำให้ต้องเดินอ้อมไกลไปขึ้นทางเขาอีกฟาก ทำให้คุณยายรุ่นน้องที่ใช้ทางนั้นเดินมาตลอดก็รู้สึกไม่พอใจ
จริง ๆ ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่การไม่ให้ใช้ทางลัด แต่ปัญหามันอยู่ที่คุณยายรุ่นพี่ดันไม่ยอมบอกเหตุผลนี่สิว่าทำไมถึงไม่ให้ใช้ทางนั้น ยิ่งโกรธเข้าไปอีกเมื่อถามเป็นร้อยครั้งพันครั้งก็ไม่ได้คำตอบ คุณยายรุ่นน้องเลยเอาคืนโดยการปิดทางเดินที่ใช้ที่ดินเธอเป็นทางผ่าน บ้านคุณยายรุ่นพี่จึงไม่มีทางเข้าทางออก
เอ ทำไมเล่าไปเล่ามามันเกินไปคล้าย ๆ กับเรื่องของยูริและจองโฮนะ ที่ว่าอยู่ดี ๆ อีกคนก็มีท่าทีเมินเฉยต่อความสัมพันธ์โดยที่ไม่บอกว่าทำไม ถามเท่าไรก็ไม่ตาม อีกฝั่งก็เลยเอาคืนด้วยการเย็นชาใส่บ้าง มันก็เป็นซะอย่างงั้น …
ด้วยความที่มันคล้ายกันเนี่ยแหละ แทนที่ยูริกับจองโฮจะโต้เถียงกันเรื่องคุณยาย ทั้งสองกับโต้เถียงกันเรื่องของตัวเอง ชาวบ้านทั้งเกาะต่างดูคนทั้งสองโต้เถียงกันด้วยความสนใจ
จนจองโฮบอกยูริว่า เรื่องบางเรื่องมันพูดยากมาก มันกลัวว่าถ้าพูดออกไปแล้วจะทำให้โดนเกลียด หรือถึงขั้นโดนเลิกคบ เขาขอให้รอเวลาที่เหมาะสมก็จะได้รู้เอง … เมื่อจองโฮพูดจบ คุณยายรุ่นน้องก็เข้าใจคุณยายรุ่นพี่ทันที คุณยายทั้งสองกอดกันร้องไห้กันกระจองอแงอย่างกับเด็ก ๆ ท่ามกลางความดีใจของคนทั้งเกาะที่เห็นทั้งสองกลับมาคืนดีกันอีกครั้ง
ยูริเข้าในสิ่งที่จองโฮบอก แต่เธอก็ไม่ชอบมันอยู่ดี เธอจึงเรียกเจ้าสิ่งนี้ว่า “เกาะแห่งความลับที่กั้นกลางระหว่างหัวใจ”
ต๊อกตาเยิ้ม
คุณยายรุ่นพี่หรือคุณยายนา เชิญยูริกับจองโฮไปทานข้าวที่บ้านเพื่อเป็นการขอบคุณ ระหว่างที่คุณยายเดินไปหยิบกับข้าวมาเสิร์ฟ จะด้วยความอะไรไม่ทราบได้ ยูริเห็นถุงต๊อกวางอยู่ นางจึงถือวิสาสะหยิบมากิน ก็กินไปหลายชิ้นอยู่
ตอนแรกก็ไม่มีอะไร แต่พอจะกลับนี่สิ ยูริเริ่มออกอาการแปลก ๆ เริ่มด้วยคุยกับมดมั่งล่ะ เริ่มมองหลังคาบ้านเป็นดาวที่หมุนวนรอบตัวบ้างล่ะ สักพักเท่านั้นล่ะ อาการรั่วเต็มรูปแบบก็ปรากฏ ลงไปนอนว่ายน้ำท่ากรรเชิงบนกองพริกตากแห้ง หัวเราะคิกคักไม่หยุด ทำเอาจองโฮตกอกตกใจเป็นการใหญ่ หมอพัคต้องรีบวิ่งเข้ามาดูอาการ ไล่ไปไล่มาก็รู้ความจริงว่า ต๊อกที่ยูริกินเป็นต๊อกกัญชา !
คุณยายรุ่นพี่สารภาพว่า เหตุผลที่ไม่ให้คุณยายรุ่นน้องผ่านทางลัดขึ้นเขาก็เพราะลูกชายเธอปลูกกัญชา แต่ที่คุณยายทำต๊อกกัญชาเอาไว้กิน เพียงต้องการใช้สรรพคุณในการบรรเทาปวดและช่วยให้นอนหลับสบาย แต่หมอพัคแย้งว่ากัญชามันมีผลต่อสมองในด้านลบมากกว่าด้านบวก
คุณยายและลูกชายถูกจับส่งตำรวจในข้อหาเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ
จองโฮมารู้ภายหลังว่าที่คุณยายทำต๊อกกัญชากินนั้น เพราะคุณยายเป็นโรคร้าย แต่ไม่บอกใครและไม่ต้องการไปรักษาที่โรงพยาบาล คุณยายอยากตายที่บ้านของตัวเองที่อยู่มาทั้งชีวิต ท่ามกลางเพื่อนบ้านจนลมหายใจสุดท้าย จองโฮมาปลอบคุณยายในห้องขัง “คุณยายทำผิดครั้งแรก ไม่ติดคุกหรอกครับ” ส่วนลูกชายคุณยายน่าจะติดคุกหัวโต เพราะเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้ค้า
เรื่องที่ต้องสะสาง
วันรุ่งขึ้น ยูริฟื้นขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง แถมยังงง ๆ ว่าตัวเองไปกินเหล้าตอนไหนถึงได้เมาเรื้อนขนาดนั้น ในเวลาเดียวกันนั้น ก็มีรายงานข่าวด่วนทางทีวี ระบุว่าพ่อจองโฮประพฤติผิดต่อหน้าที่โดยการรับสินบนเพื่อปกปิดความผิดให้กับโดฮันกรุ๊ปเมื่อปี 2006
ยูริช็อกและเสียใจมาก เพราะเธอเชื่อมาตลอดว่าพ่อจองโฮทำตามหน้าที่อย่างสุดความสามารถแล้ว แต่มันไม่ใช่
จองโฮรีบวิ่งมาหายูริทันทีเมื่อเห็นข่าวทางทีวี เขายอมรับกับเธอว่าเรื่องนี้แหละที่เขารอสะสาง แต่คำตอบที่ได้จากยูริที่น้ำตายังไหลนองหน้า ก็คือ “จองโฮฉันเริ่มเกลียดนายอย่างที่นายเคยบอกแล้ว”
จองโฮมองตายูริด้วยสายตาอันหนักแน่นแกมอ้อนวอน “จะเกลียดหรือจะผลักไสฉันหรือจะทำยังไงก็ได้ ขอแค่อย่าทิ้งฉันไปก็พอ”
EP.9 คำโกหกอายุสิบเจ็ดปี
เช้าวันนั้น ยูริเดินทางไปที่เนติบัณฑิตสภาแห่งเกาหลี เพื่อเข้าพบคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย เนื่องจากเหตุละเมิด พ.ร.บ.ทนายความ ยูริพยายามโต้เถียงว่าเธอไม่ได้ให้คำปรึกษาทางกฎหมายโดยที่ไม่รู้กฎหมาย แถมการให้คำปรึกษาของเธอยังไม่มีค่าใช้จ่ายด้วยซ้ำ แต่คณะกรรมการก็ยกกฎหมายขึ้นมาอ้างว่า คนที่ไม่ใช่ทนายความไม่มีสิทธิ์ให้คำปรึกษาทางด้านกฎหมายได้ และการเข้าไปขอรับคำปรึกษาที่คาเฟ่ก็ต้องมีการสั่งกาแฟดื่ม ซึ่งในทางกฎหมายก็ถือว่าเป็นการเสียค่าใช้จ่ายเช่นกัน เมื่อโดนไม้นี้ ยูริก็โวยวายขึ้นมาว่า “ทำไมไม่คิดบ้างล่ะว่ากฎหมายต่างหากที่ผิด …” ข้ออ้างของเธอทำเอาคณะกรรมต่างพากันส่ายหัว จังหวะนั้นเองจองโฮก็ปรากฏตัวขึ้น
จองโฮอ้างว่าเขาเองที่เป็นคนทำผิด พ.ร.บ.ทนายความ ที่ให้คำปรึกษากฎหมายที่ลอว์คาเฟ่ทั้งที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนทนายความ ไม่น่าเชื่อว่าจองโฮพูดไม่กี่ประโยค เหล่าคณะกรรมการก็ตัดบท โดยสรุปคือให้มีการตักเตือนยูริ แล้วก็ปิดประชุมไปทันที … แหม่ การมีพ่อเป็นอัยการสูงสุดมันเป็นอย่างนี้นี่เอง
อย่างไรก็ตาม ยูริก็ยังคงเย็นชากับจองโฮ เธอมองว่าสิ่งที่จองโฮทำไม่ต่างอะไรไปจากนักต้มตุ๋น นักต้มตุ๋นที่หลอกลวงเธอมาอย่างยาวนาน เธอเรียกมันว่า “คำโกหกอายุสิบเจ็ดปี” ส่วนจองโฮก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับ “ฉันคิดว่าตัวเองรู้ทุกอย่างแต่มันไม่ใช่เลย ฉันขอโทษนะที่หลอกเธอมาตั้งหลายปี”
แชร์คริปโต
คุณนายชเวและคุณนายคิมเพื่อนบ้านสายฮาของลอว์คาเฟ่ ทั้งสองมีเรื่องสำคัญมาปรึกษายูริ โดยไม่ต้องการให้เรื่องนี้เข้าถึงหูจองโฮกับหมอพัค เพราะทั้งสองเอาเงินของตึกไปลงทุนซื้อเหรียญคริปโตตามคำชักชวนของเจ้าของร้านเสริมสวย ทั้งสองอ้างว่าตอนแรก ๆ พวกเธอก็ไม่ได้สนใจจะลงทุนอะไรพวกนี้หรอก เพราะเห็นว่ามันเป็นเงินที่เสกกันขึ้นมาเอง แต่เมื่อโดนกรอกหูทุกวัน ๆ ก็เลยอยากจะลองตามเทรนด์ที่วัยรุ่นสมัยนี้เขานิยมเล่นกัน
ยูริไปที่ร้านเสริมสวยร้านนั้น ซึ่งเจ๊เจ้าของร้านเสริมสวยก็อ้างว่ามีอาจารย์ (ร่างทรง) คนหนึ่งเป็นคนสอนการลงทุน แถมยังเป็นหมอดูที่ทำนายโชคชะตาได้แม่นยำอีกด้วย โดยปกติแล้วยูริไม่ใช่คนเชื่อเรื่องหมอดูหมอเดา แต่อาจารย์ร่างทรงคนนี้ทำนายทายทักเรื่องของเธอได้ถูกต้องแม่นยำอย่างกับตาเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพูดถึงเรื่องที่เธอเสียน้ำตาให้กับจองโฮ มันทำให้ยูริเริ่มเชื่ออาจารย์ร่างทรงคนนี้ … ต่อมา ยูริไปหาอาจารย์ร่างทรงอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เขาได้แนะนำให้เธอทำพิธีไล่ผี
ผ่านไปไม่นาน เจ๊เจ้าของร้านเสริมสวยก็มาหายูริที่ลอว์คาเฟ่ มาถึงก็ออกอาการเข่าทรุดร้องห่มร้องไห้ออกมาเป็นการให้ เธอบอกกับยูริว่าเหรียญคริปโตที่ลงทุนเอาไว้โดนถอดออกจากตลาด เท่ากับตอนนี้เหรียญคริปโตพวกนั้นก็กลายเป็นโค้ดที่ไร้ค่าทันที
ยูริพาผู้เสียหายทุกคนไปแจ้งความที่โรงพัก แหม่ แต่มีอยู่คนหนึ่งที่ไม่น่าเป็นเหยื่อได้เลยก็คือหมอพัค ! หมอพัคยิ้มอาย ๆ ที่ตัวเองเป็นจิตแพทย์แท้ ๆ แต่กลับอ่านคนไม่ออก โดนหลอกซะอย่างนั้น แต่ …
แต่คนที่น่าตกใจยิ่งกว่าหมอพัคคือตัวยูริเอง ยูริเองก็ตกเป็นเหยื่อที่สูญเงินไป 3 ล้านวอนเป็นค่าครูในการทำพิธีไล่ผี !
เมื่อยูริเองก็ยังเผลอใจตกเป็นเหยื่ออาจารย์ร่างทรงเข้าซะงั้น จองโฮจึงต้องเข้ามาจัดการเรื่องนี้ เขาให้ลูกน้องไปสืบประวัติอาจารย์ร่างทรงคนนั้นมา แล้วก็พบว่าเป็นนักต้มตุ๋นที่มีประวัติก่อคดีมาอย่างโชกโชนหลายสิบคดี ยูริจึงอยากได้ข้อมูลคดีเพิ่มเติม จองโฮจึงพาเธอไปที่สำนักพิมพ์ของเขา ตรงจุดนี้เองที่ทำให้เธอรู้ว่าเขาเป็นคนเขียนนิยายเรื่อง “ผู้ลงทัณฑ์องค์กรทมิฬ” การได้รู้ว่าเขาเป็นคนเขียนนิยายเรื่องนี้ ทำให้เธอรู้ความจริงอีกด้วยว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจองโฮต่อสู้กับพ่อ และพยายามหาหลักฐานที่นำมาใช้ในเปิดโปงพฤติกรรมของพ่อในคดีไฟไหม้โดฮันกรุ๊ป
เมื่อจองโฮมีข้อมูลของอาจารย์ร่างทรงหรือ “นักต้มตุ๋นมารู” มากพอแล้ว และรู้ว่าเขาชอบไปเล่นการพนันในบ่อน จองโฮจึงวางแผนปลอมตัวเป็นเซียนพนันเข้าไปเล่นกับนักต้มตุ๋นมารู ร่วมด้วยเหยื่อที่โดนหลอก โดยวางแผนโกงไพ่เพื่อเอาเงินมาคืนเหยื่อที่ถูกโกงไป เรียกว่างานนี้เป็นความร่วมมือกันของคนหลายสิบชีวิต และสุดท้ายตำรวจหญิงฮันเซยอนคนดีคนเดิม ก็เข้ามาจับกุมตัวนักต้มตุ๋นมารูเข้าซังเตไปตามระเบียบโดยละม่อม แถมยังสามารถติดตามเส้นทางการเงินจนสามารถเอาเงินทั้งหมดมาคืนให้กับเหยื่อที่โดนโกงเงินไปได้อีกด้วย
ต่อมา จองโฮได้รู้ความจริงว่า หลักฐานที่ใช้เปิดโปงพ่อจนต้องประกาศลาออกจากตำแหน่งอัยการสูงสุด ที่จริงแล้วตัวพ่อเองนั่นแหละที่เป็นคนเอาหลักฐานนั้นให้กับเพื่อนอัยการของจองโฮ เรื่องทั้งหมดนี้มันทำให้จองโฮรู้สึกว่าตัวเองโดนพ่อหลอกใช้ เพราะต้องการปลดปล่อยความรู้สึกผิดที่เก็บมานาน
ณ จุดนี้เอง ทำให้จองโฮเข้าใจความรู้สึกของการโดนคนที่ไว้ใจหักหลังว่ามันรู้สึกแย่แค่ไหน
ในคืนนั้น ยูริโทร. หาจองโฮขณะที่กำลังเดินข้ามถนน แต่ก็ให้บังเอิญว่าจองโฮก็อยู่อีกฟากของถนนเช่นกัน ทั้งสองยืนอยู่กันคนละฟากถนนโดยที่ทางม้าลายคั่นกลาง “ขอโทษนะ ขอโทษนะยูริ …” จองโฮน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด ในขณะที่ปากก็พร่ำบอกขอโทษไม่หยุดเช่นกัน “… ฉันนึกว่าฉันรู้ทุกอย่าง ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ ฉันไม่รู้อะไรเลย ขอโทษจริง ๆ นะที่หลอกเธอมาตั้งหลายปี ขอโทษนะ”
ยูริได้ยินคำขอโทษผ่านโทรศัพท์ ส่วนสายตาก็มองไปที่จองโฮที่ยืนอยู่อีกฟากถนน ยูริตัดสินใจวางโทรศัพท์และข้ามทางม้าลายเพื่อไปหาเขา จองโฮเองก็ทำเช่นเดียวกัน ทั้งสองจึงมายืนมองหน้ากันที่บริเวณทางม้าลายกลางสี่แยกไฟแดง ทันใดนั้นเอง รถเก๋งที่เร่งเครื่องมาด้วยความเร็วที่พุ่งเข้าหาคนทั้งสอง !
EP.10 มรดกอันสวยงาม
รถเก๋งสีดำคันนั้นพุ่งเข้าชนยูริจนร่างกระเด็น ก่อนที่คนขับจะเหยียบคันเร่งหนีไปโดยไม่เหยียบเบรกเลยแม้แต่นิดเดียว จองโฮรีบวิ่งเข้ามาดูอาการของยูริ ก่อนที่จะร้องเสียงหลงขอความช่วยเหลือ
ยูรินอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล มือขวากระดูกแตก มือซ้ายเส้นเอ็นอักเสบ ต้องใส่เผือกมือสองข้างไปอีกสักพักใหญ่ แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่ยูริกำลังกลุ้มใจคือเธอจะเข้าห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัวยังไง หรือแม้แต่จะหยิบช้อนกินข้าวอย่างไร แต่ดูเหมือนปัญหาเหล่านั้นจะถูกแก้โดยสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “แม่” … แม่ยูริมาป้อนข้าวป้อนน้ำมาดูแลเหมือนสมัยที่เธอยังเป็นเด็กน้อย
จองโฮไปโวยวายที่โรงพักที่ตำรวจยังตามหาคนขับรถตีนผีผู้ก่อเหตุคนนั้นไม่เจอ นั่นเป็นเพราะรถคันนั้นติดทะเบียนปลอม จากนั้น จองโฮก็ไปหาอีพยอนอุง (มีสักเป็นน้าของจองโฮ และเป็นลูกนอกคอกของประธานอี) เพราะเขาเชื่อว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นฝีมือของอีพยอนอุงนี่แหละ แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร ลูกน้องของอีพยอนอุงก็เข้ามาจับจองโฮขึงพืดแล้วก็ระดมกำปั้นเข้าเบ้าหน้าของจองโฮไปหลายหมัด งานนี้ทำเอาอีพยอนอุงหัวเราะชอบใจไม่น้อย ก่อนจะบอกว่า “เป้าหมายของฉันไม่ใช่ทนายคิม (ยูริ) แต่เป็นนายต่างหากล่ะ ฮะฮะฮ่า”
จองโฮพาร่างที่สะบักสะบอมและใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยช้ำมาหายูริที่โรงพยาบาล เขาบอกกับยูริว่าเขาเองที่ทำให้เธอต้องบาดเจ็บขนาดนี้ เขาเจ็บปวดเจียนตายที่เห็นเธอบาดเจ็บแบบนี้ แต่ยูริก็มองเขาด้วยแววตาอันอ่อนโยน ก่อนจะค่อย ๆ เอื้อมมือที่ใส่เฝือกอยู่ไปสัมผัสแก้มเขาอย่างแผ่วเบา “ฉันไม่เป็นไร ฉันสัญญาว่าจะไม่เจ็บตัวอีก”
ยูรินอนหลับพักผ่อนแล้ว แต่จองโฮยังคงนั่งรู้สึกผิดอยู่หน้าห้อง เขานั่งก้มหน้าน้ำตาซึมอยู่อย่างนั้น จนเมื่อแม่ยูริเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ จองโฮก็รีบลงไปคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าแม่และกล่าวขอโทษด้วยความสำนึกผิด แม่ยูริรีบลุกจากเก้าอี้ลงไปนั่งยอง ๆ “เธอเข้าใจฉันกับยูริผิดไปมากเลยล่ะ เราไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นหรอกนะ เพราะอย่างนั้นไม่ต้องพยายามมากขนาดนี้ก็ได้” แม่ยูริส่งรอยยิ้มพร้อมกับเอามือไปสัมผัสที่แขนเขาเบา ๆ เป็นการบอกว่าไม่เป็นไร (จริง ๆ)
หลังออกจากโรงพยาบาล จองโฮก็บังคับยูริให้มาอยู่กับเขาเพื่อความปลอดภัย งานนี้ทำเอายูริปฏิเสธเสียงแข็งเพราะเธอเชื่อว่าสามารถดูแลตัวเองได้ จนกลายเป็นขึ้นเสียงใส่กันตลอดทางตั้งแต่โรงพยาบาลยันมาถึงบ้านดาดฟ้า แต่ทั้งสองก็ถึงกับต้องชะงักไป เมื่อเห็นหญิงสาวคนหนึ่งมานั่งรออยู่ “แม่ของจองโฮ”
แม่จองโฮขอมาอยู่กับจองโฮสักพัก เพราะเธอไม่สบายใจเรื่องที่พ่อของเขากับครอบครัวได้ก่อเรื่องเอาไว้
มรดก
หลังจากยูริออกจากโรงพยาบาล ลอว์คาเฟ่ก็เปิดบริการตามปกติ และวันนี้ก็มีหญิงสาวชื่อฮียอนมาปรึกษาเรื่องมรดก เธอเล่าว่าเธอต้องพักการเรียนและไม่ได้แต่งงานกับชายที่เธอรัก เพราะเธอต้องใช้เวลาทั้งหมดไปกับการดูแลแม่ที่ป่วยต่อเนื่องยาวนานนับสิบปี กระทั่งท่านเสียชีวิตในที่สุด แต่กลายเป็นว่าแม่กลับเอาแต่เรียกหาแต่พี่ชายทั้งสองของเธอ โดยไม่เห้นความดีที่เธอทำเลยแม้แต่น้อย มาตอนนี้ เมื่อพ่อล้มป่วย ทุกอย่างก็เหมือนวนลูปกลับไปอีกครั้ง เมื่อพ่อได้เขียนพินัยกรรมด้วยลายมือ ระบุยกทรัพย์สมบัติแทบทั้งหมดให้กับพี่ชายทั้งสองของเธอ แต่กลับให้เธอเพียงเศษที่ดินที่บ้านเกิดเท่านั้น
จริง ๆ แล้วฮียอนไม่ได้สนใจเรื่องมรดกเลย แต่พี่ชายทั้งสองเอาเปรียบจนเธอทนไม่ได้อีกต่อไป เธอจึงขอให้ยูริเป็นทนายเพื่อเรียกร้องส่วนแบ่งมรดกที่ยุติธรรม
เบื้องต้น ยูริยังไม่ได้ตอบตกลงจะเป็นทนายความให้ฮียอน โดยขอให้เธอไปคุยกับพี่ชายทั้งสองเสียก่อน ส่วนจองโฮก็ไม่อยากให้ยูริรับทำคดีนี้ เพราะคดีนี้อาจนำไปสู่ความรุนแรงได้ และแนะนำว่าคดีแบบนี้เป็นคดีที่ต้องใช้ทนายที่มีความเชี่ยวชาญด้านมรดกเป็นการเฉพาะ
ในคืนนั้น ยูริดื่มกับสองคุณนายเพื่อนบ้านสายฮา และอีกหนึ่งแขกสุดพิเศษก็คือแม่จองโฮ ทั้งสี่ดื่มกันจนเมามาย ด้วยความเมานี้เองจองโฮจึงจะพายูริไปส่งบ้าน ระหว่างนั้นยูริเกิดอยากฟังคำบอกรักจากปากของจองโฮอีกครั้งและพยายามจะจูบเขา แต่จองโฮปฏิเสธรอยจูบและคำบอกรักนั้น เพราะเขาจะรอจนกว่าเธอจะให้อภัยเขาจริง ๆ เสียก่อน
เช้าวันถัดมา แม่สอนยูริว่าอย่าจมอยู่กับความแค้นในอดีต เพราะพ่อที่จากไปแล้วคงไม่ต้องการให้เธอเป็นเช่นนั้น ยูริจึงเริ่มคิดที่จะปล่อยวาง
วันเดียวกันนั้น ยูริได้รับสายจากฮียอนโทร. มาร้องห่มร้องไห้บอกว่าพ่อเธออยู่ในอาการโคม่า แต่เธอไม่สามารถโทร. ติดต่อพี่ชายทั้งสองของเธอได้เลย และที่ติดต่อไม่ได้ก็ไม่ได้ทำธุระอะไรสำคัญอยู่ เป็นเพียงแต่ทั้งสองกำลังทำการตกแต่งบ้านใหม่ แต่ตอนนั้นเองทั้งสองได้ไปเจอกับตู้เซฟที่ซ่อนเอาไว้อยู่ในผนัง
ยูริรีบตามไปฮียอนที่โรงพยาบาลทันที และก่อนที่พ่อของฮียอนจะสิ้นใจ เขาได้มอบจดหมายฉบับหนึ่งให้เธอกับมือ
ยูริเริ่มปล่อยวางความรู้สึกบางอย่างได้แล้ว เธอจึงบอกกับจองโฮว่าเธอจะไม่ทนทุกข์อยู่กับความแค้นอีกต่อไป และเธอก็ไม่อยากให้ความแค้นพวกนี้มาเป็นเงื่อนไขที่ทำให้คบกับเขาไม่ได้ ยูริตัดสินใจเผชิญหน้ากับมัน และจะทำลายความแค้นนี้ให้สิ้นซาก ในขณะที่เธอก็ขอให้จองโฮทำลายความรู้สึกผิดของตัวเองให้หมดไปจากใจเช่นเดียวกัน จองโฮยิ้มรับด้วยความยินดี
EP.11 คนเดียวที่อยู่ในหัวใจ
ในวันประชุมผู้ถือหุ้นของโดฮันกรุ๊ป อีพยอนอุงได้รวบรวมเสียงจากพันธมิตรเพื่อปลดประธานอีลงจากตำแหน่ง และเขาจะได้ก้าวขึ้นเป็นประธานคนต่อไปของโดฮันกรุ๊ป
ยูริและจองโฮยอมให้อีพยอนอุงก้าวขึ้นเป็นประธานโดฮันกรุ๊ปไม่ได้ จองโฮจึงไปขอร้องแม่ ที่ได้หุ้นมรดกจากคุณยาย มาเป็นตัวตั้งตัวตีโหวตตรงข้ามอีพยอนอุง จากนั้นก็ไปเจรจากับพันธมิตรของอีพยอนอุงให้เปลี่ยนข้าง และสุดท้ายคือไปต่อรองกับประธานอีให้ลงจากตำแหน่ง โดยประกาศว่าจะไม่ยกตำแหน่งบริหารให้คนในตระกูลอีกต่อไป แต่จะจ้างผู้บริหารมืออาชีพเข้ามาบริหารงานแทน
งานนี้ทำเอาอีพยอนอุงถึงกับหัวร้อนจนควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เมื่อแผนที่วางเอาไว้มาทั้งชีวิตกลับพังไม่เป็นท่า ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่อาจเปลี่ยนสถานะจากลูกชายหมาหัวเน่าของประธานอีเป็นอย่างอื่นได้เลย
ไขปริศนาจดหมายของพ่อ
ฮียอนขอให้ยูริกับจองโฮช่วยไขปริศนาในจดหมายของพ่อ ที่ส่งให้เธอกับมือก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต ซึ่งฮียอนเชื่อว่ามันอาจเป็นรหัสที่ใช้เปิดตู้เซฟที่บ้านคุณพ่อก็เป็นได้ …
“ฮียอนเอ๋ย มนุษย์เราล้วนจ้องเผชิญกับความตาย ฉันจะไปรออยู่ตรงที่ปลายทางมาบรรจบกัน แม้นี่จะเป็นคำร่ำลาสุดท้ายบนโลกใบนี้ แต่ก็ยังมีต้นไม้ออกดอกสะพรั่งอยู่กลางทุ่ง ผืนสนามเต็มไปด้วยทรายสีทอง แล้วฉันจะลืมที่นั่นไปได้อย่างไร” ทีมลอว์คาเฟ่มาระดมสมองกันเพื่อไขปริศนา จองโฮวิเคราะห์ว่าทุกคำในจดหมายล้วนแล้วแต่เป็นข้อความจากกวีหลายคนมารวมกัน ซึ่งเมื่อเอาปีที่กวีแต่ละคนมารวมกันก็จะได้เป็นรหัสตู้เซฟ (คิดว่าอย่างงั้นนะ)
ดีที่สุดเพื่อพิสูจน์ว่าทฤษฎีของจองโฮถูกต้องหรือเปล่าคือการลองทำซะเลย ยูริไปขออนุญาตฮียอน ก่อนที่ทีมลอว์คาเฟ่จะแอบเข้าไปในบ้านพ่อเพื่อทดลองใช้รหัสที่หามาได้เปิดตู้เซฟ เปิดได้จริง ๆ ด้วย แต่ …
แต่เมื่อเปิดตู้เซฟออกมาแล้วทุกคนต่างพากันตกตะลึงกับสิ่งของที่อยู่ด้านใน เพราะมันเป็นเพียงกระถางทรงกระบอกความสูงประมาณหนึ่งคืบที่มีดินใส่อยู่เกือบเต็ม จองโฮถึงกับเกาหัวแกรก ๆ ขุ่นพ่อต้องเป็นคนยังไงเนี่ย ถึงได้เอากระถางไร้ค่าเก็บไว้ในตู้เซฟ แต่ …
แต่เมื่อทีมลอว์คาเฟ่เอากระถางทรงกระบอกใบนั้นไปให้ฮียอน เธอเองก็ใช้มือคุ้ยลงไปในกระถาง จนได้ไปเจอกับกระดาษอีกแผ่นหนึ่ง กระดาษที่มีข้อความเป็นบทกวีเหมือนเดิม ฮียอนยิ้มให้กับทีมลอว์คาเฟ่ และบอกว่าจริง ๆ แล้วเธอไม่ซีเรียสเรื่องมรดกอะไรนั่นหรอก เพียงแค่ได้รู้ว่าพ่อรักเธอเท่า ๆ กับพี่ ๆ เธอก็ดีใจมากแล้ว ถึงแม้สิ่งที่พ่อทิ้งไว้ให้เธอจะเป็นเพียงแค่กระถามต้นไม้ไร้ค่าใบหนึ่งก็ตาม
ทุ่งดอกไม้กับของขวัญหมื่นล้าน
ยูริถอดรหัสบทกวีออก เธอจึงชวนฮียอนและทีมลอว์คาเฟ่ไปยังที่ดินร้างของพ่อฮียอน ซึ่งยูริคิดว่าที่นั่นต้องมีอะไรมากกว่าที่ดินร้างอันไร้ค่าอย่างแน่นอน และเมื่อไปถึงทุกคนก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่เห็น เพราะที่ดินที่ไร้ค่าแห่งนั้นมันเป็นทุ่งดอกไม้อันสวยงาม ทุ่งดอกไม้ที่พ่อฮียอนหวงแหนมากที่สุดในชีวิต … ฮียอนถึงกับร้องไห้ออกมาเมื่อได้รู้ว่าพ่อได้มอบที่ดินที่พ่อหวงแหนที่สุดให้กับเธอ มันจะมีความสุขใดที่จะมากกว่าความสุขที่คนเป็นลูกมีได้มากกว่านี้อีกนะ
ที่นั่น ฮียอนได้เจอคุณป้าแม่บ้านที่เฝ้าที่ดูแลที่ดินแห่งนี้ จากนั้นคุณป้าแม่บ้านก็หยิบเอากระเป๋าเจมส์บอนด์ที่ใส่รหัสมาให้ฮียอน และเมื่อถอดรหัสออกมาได้ สิ่งของที่อยู่ด้านในคือทองคำแท่งมูลค่านับหมื่นล้านวอน
และในกระเป๋ายังมีคลิปวิดีโอที่บันทึกคำสั่งเสียของพ่อฮียอนเอาไว้ด้วย โดยระบุว่าพินัยกรรมที่ทำขึ้นก่อนหน้านี้ให้ถือเป็นโมฆะ เพราะเขียนขึ้นจากการโดนบังคับ และให้ถือว่าคลิปนี้เป็นพินัยกรรมที่มีผลบังคับใช้
อย่างไรก็ตาม ฮียอนก็ตัดสินใจที่จะแบ่งทรัพย์สินมรดกให้พี่ชายทั้งสองของเธอในจำนวนเท่า ๆ กัน แม้ในทางกฎหมายเธอไม่จำเป็นต้องแบ่งทรัพย์สินให้พี่ ๆ เลยแม้แต่แดงเดียว ส่วนทองคำที่พ่อมอบให้เธอเป็นการส่วนตัว ฮียอนก็ตัดสินใจจะไปแจ้งกรมสรรพากรเพื่อจ่ายภาษีให้ถูกต้อง เพราะเธออยากให้ทีมลอว์คาเฟ่ทุกคนสบายใจว่าเธอทำทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แม้จะต้องจ่ายภาษีถึง 4,400 ล้านวอนก็ตาม
ความฝันในวัยเด็ก
ยูริหยิบหนังสือของจองโฮที่วางเอาไว้ขึ้นมาอ่าน ทำให้เห็นที่คั่นหนังสือที่เธอเคยให้เขาสมัยเรียน มันทำให้เธอจำได้ว่าตึกแห่งนี้เป็นตึกเดียวกับที่เคยบอกจองโฮว่าอยากได้เป็นสำนักงานหลังเรียนจบ ซึ่งมันทำให้เธอรู้ว่า จริง ๆ แล้วจองโฮชอบเธอมาตั้งแต่สมัยเรียน เขาชอบเธอมาตลอด 17 ปีที่ผ่านมา
ยูริรีบไปหาจองโฮทันที เธอขอให้เขาบอกความจริง ซึ่งจองโฮก็สารภาพเป็นครั้งแรกว่าเขาชอบเธอมาตลอด เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในชีวิตที่อยู่ในหัวใจเขามาตลอด …
EP.12 ความรักของสตอล์กเกอร์
ในคืนนั้น จองโฮกับยูริเกือบได้มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน ถ้าเพื่อนซี้ของเขาทั้งสองไม่โผล่มาขัดจังหวะ 18+ เสียก่อน (555)
ระหว่างนั้นจองโฮก็ได้รับรายงานว่าคนที่ขับรถชนยูริถูกฆ่าตาย จองโอจึงสันนิษฐานว่าเป็นฝีมือของอีพยอนอุง ยูริไม่เข้าใจว่าทำไมแค่เรื่องขับรถชนถึงกับต้องฆ่าแกงกัน แต่จองโฮตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ก็เพราะไม่มีอะไรที่มัน (อีพยอนอุง) ทำไม่ได้ไงล่ะ”
สตอล์กเกอร์สาวลึกลับ
คืนนี้ จองโฮให้หมอพัคมานอนที่ห้อง ซึ่งยูริก็มานอนอยู่ที่บ้านเขาเช่นกัน เพราะทั้งสองต่างเจอเรื่องที่ทำให้จองโฮอดเป็นห่วงไม่ได้ … ยูริรู้สึกเหมือนมีคนแอบเข้ามาในบ้าน เพราะเธอสังเกตเห็นข้าวของหลายอย่างถูกเปลี่ยนที่ และหลายอย่างก็หายไป ส่วนหมอพัคนั้นก็โดนสตอล์กเกอร์สาวกลับมาเล่นงานอีกครั้ง
เมื่อสามปีก่อน หมอพัคเคยเจอสตอล์กเกอร์สาวคนนี้เล่นงานอย่างหนัก ถึงขั้นต้องย้ายคลินิกเลยทีเดียว “ตอนแรกเธอเริ่มจากเป็นคนไข้ของผม จากนั้นเธอก็หมกมุ่นกับผมมากขึ้น ตามผมไปทุกที่” หลังจากนั้นก็มีการใช้กฎหมายจัดการกับหญิงสาวคนนั้น แต่เธอรอดคุกเพราะหมอพัคเป็นฝ่ายที่ยอมความให้ เพราะเห็นแก่พ่อแม่ของเธอที่สัญญาว่าจะส่งเธอไปอยู่ต่างประเทศ
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น หญิงสาวปริศนาชื่อดายอง มาทำเป็นตีสนิทกับยูริ โดยเริ่มต้นจากการขอสมัครเป็นพนักงานที่ร้านลอว์คาเฟ่ วันนี้เธอนัดเจอกับยูริและชวนไปเอาเอกสารบางอย่างที่บ้าน เมื่อไปถึงยูริก็เห็นข้าวของหลายอย่างที่หายไปมาอยู่ที่บ้านของดายอง แล้วสติของยูริก็ค่อย ๆ เลือนหายไปจากฤทธิ์ยานอนหลับที่ผสมอยู่ในกาแฟที่ดื่มเข้าไป … ที่แท้แล้วหญิงสาวปริศนาคนนี้คือคนเดียวกับสตอล์กเกอร์ที่ตามรังควานหมอพัคมาตลอด
ยูริโดนจับมัดเอามือไขว้หลังแล้วขังเอาไว้ในห้องนอน เมื่อฟื้นขึ้นมาได้เห็นรูปของหมอพัคติดอยู่เต็มผนังห้อง ยูริจึงรู้ได้ในทันทีว่าหญิงสาวคนนี้เป็นคนเดียวกับสตอล์กเกอร์ตัวร้ายที่ตามรังควานหมอพัค
ตอนนั้นเองจองโฮก็ร้อนใจเป็นอย่างมากเมื่อรู้ว่ายูริโดนสาวสตอล์กเกอร์จับตัวไป เขาพยายามตามหาจนยูริเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ไร้ประโยชน์
ระหว่างนั้นสาวสตอล์กเกอร์ดายองก็เริ่มสติแตกมากขึ้น เธอคว้าเอากรรไกรมาเพื่อจะทำร้ายยูริ แต่จู่ ๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น “ปัง ปัง !” เมื่อสาวสตอล์กเกอร์เปิดประตู อีพยอนอุงก็ถีบเธอจนกระเด็นก้นจั้มเบ้ากลิ้งสามตลบก่อนจะสลบไปทันที อีพยอนอุงขี่ม้าขาวมาช่วยยูริเอาไว้อย่างหวุดหวิด
คนบ้า ๆ บวม ๆ อย่างอีพยอนอุงก็มีความคิดแปลกประหลาด ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงคิดมาช่วยยูริ ? นั่นก็เพื่อให้เธอยิ่งเจ็บแค้น เพราะคนที่ช่วยเธอคือคนคนเดียวกับที่ฆ่าพ่อ มันเป็นความสะใจแบบแปลกประหลาดของคนบ๊อง ๆ อย่างอีพยอนอุงนี่แหละ
แล้วสตอล์กเกอร์ดายองก็อาศัยจังหวะที่อีพยองอุนกำลังคุยอยู่กับยูริหนีออกไปได้ ดายองไปหาหมอพัคที่คลินิก เธอเผชิญหน้ากับหมอพัค แต่คราวนี้หมอพัคพูดจาตัดขาดไม่เหลือเยื่อใยความเป็นหมอกับคนไข้ เขาไล่ให้เธอไปและอย่าได้มาเจอกันอีก ทำให้ดายองสติแตกควักกรรไกรออกมาหวังปาดคอเพื่อจบชีวิตตัวเอง แต่ยังดีที่หมอพัคเข้าแย่งกรรไกรจากมือของดายองเอาไว้ได้ ก่อนที่คมกรรไกรจะบาดเข้าไปลึกถึงเส้นเลือดใหญ่ … สุดท้าย ดายองก็ถูกจับเข้าซังเต
ความรักของสตอล์กเกอร์สาวมันเป็นความรักแบบไหนกันนะ ? แต่ที่แน่ ๆ มันต้องเป็นความที่บิดเบี้ยวเอามาก ๆ เลยล่ะ
หลังเรื่องร้าย ๆ ผ่านไป หมอพัคยืนมองดูฝนตก แล้วเขาก็พูดขึ้นว่า “เรื่องบางเรื่องเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างตอนฝนตก แต่ตราบใดที่เรามีคนคอยเป็นร่มให้ ถึงแม้จะเปียกฝนนิดหน่อย แต่ก็สามารถฝ่าสายฝนนั้นไปได้นะ”
EP.13 บางครั้งเราก็ตกหลุมพรางของชีวิต
ในขณะที่จองโฮกำลังมีช่วงชีวิตที่มีความสุขที่ได้ยูริเป็นแฟน แต่เขาต้องตกตะลึง เมื่อตื่นเช้ามาเห็นยูริกำลังพิมพ์หนังสือตกลงการอยู่ร่วมกัน จองโฮถึงกับอึ้งเมื่อได้อ่านข้อตกลงแค่ข้อแรก การคุมกำเนิด “ไม่ว่าฝ่ายหญิงจะเลือกวิธีการคุมกำเนิดแบบใดก็ตาม ฝ่ายชายต้องใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ซึ่งฝ่ายชายสามารถเลือกได้ว่าจะใส่ถุงยางแบบไหน” จองโฮถึงกับอุทานในใจว่า “นังผีบ้า !!!”
ข้อต่อมา “ฝ่ายชายและฝ่ายหญิงต้องพยายามสนองความต้องการของกันและกัน ต้องไม่ปิดบังว่าแต่ละฝ่ายถึงจุดสุดยอดหรือไม่ …” จองโฮเอานิ้วไปสัมผัสปากยูริด้วยท่าทางกระดากอาย เขาถามไปตรง ๆ ว่าจำเป็นขนาดนั้นเลยเหรอที่ต้องเอาเรื่องนี้มาพูดกันแบบนี้ แต่ยูริก็ยิ้มหวานใส่แล้วบอกว่าเธอต้องการอยู่กับเขาไปนาน ๆ จึงอยากให้เข้ากันได้ทุกเรื่อง
จังหวะนั้นเองที่จองโฮโน้มตัวเข้าไปจูบยูริ แล้วทั้งสองก็ศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมกันอย่างละเอียดเพื่อเอาไปใส่ในข้อตกลง 🙂
การลวนลามในที่ทำงาน
คืนนั้น หนูน้อยอีซึลเดินร้องไห้มาที่ลอว์คาเฟ่เพียงลำพัง เธอบอกว่าต้องการความช่วยเหลือเพราะคิดว่าแม่ของเธอกำลังจะตาย “แม่อ้วกแล้วก็ปวดท้องทุกวัน ไปหาหมอก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร แม่แอบร้องไห้คนเดียวทุกคืน ถ้าแม่ตายอีซึลก็ต้องอยู่คนเดียว” ยูริจึงโทร. หาซงฮวา แม่ของอีซึลให้มาที่ลอว์คาเฟ่
รุ่งขึ้น ซงฮวามาหายูริที่ลอว์คาเฟ่อีกครั้ง เธอพยายามตั้งสติให้หยุดร้องไห้เพื่อที่จะได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น … เมื่อประมาณหนึ่งปีก่อน เธอถูกลวนลามขณะที่เธอทำงานเป็นเลขาฯ ของชเวยอฮวาน ส.ส.สามสมัย “ตอนแรก ๆ ก็เป็นหัวไหล่ หู คอ แขน หน้าอกและก้น บางทีเขาก็ล้วงเข้ามาในกระโปรงของฉัน” ซงฮวาบอกว่าเธอจำเป็นต้องทนทำงานนี้ต่อไปทั้งที่รู้สึกอับอายมาก เพราะไม่ใช่งานที่หาได้ง่าย ๆ และอีซึลก็กำลังจะเข้าโรงเรียน
แต่ที่หนักที่สุดก็คือเมื่ออาทิตย์ก่อน ส.ส.ชเวยอฮวานให้ซงฮวาเอาเอกสารไปให้ที่บ้านพักตากอากาศ เมื่อไปถึงก็พบกับท่าน ส.ส.กับเพื่อน ๆ กำลังดื่มเหล้าเคล้านารีกันอยู่ (หนึ่งในนั้นมีอีพยอนอุงด้วย) จังหวะนั้นเองที่ซงฮวาถูกลวนลาม และทุกคนก็หัวเราะใส่เธอ ทำให้เธอรู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก จนไม่สามารถลืมเรื่องเหตุการณ์นั้นไปได้เลย “ไม่ว่าฉันจะพยายามลืมแค่ไหนก็ลืมมันไม่ได้เลย พออยู่บ้านก็จะได้กลิ่นโคโลญจน์เขาแล้วก็เริ่มคลื่นไส้ ฉันต้องทนกับเรื่องพวกนี้อย่างกับคนโง่”
จองโฮเห็นคดีนี้อันตรายเกินไป เพราะคนที่เกี่ยวข้องนอกจาก ส.ส.ชเวยอฮวานแล้ว ยังมีผู้มีอิทธิพลหลายคนมีเอี่ยวด้วย และหนึ่งในนั้นก็คืออีพยอนอุง แต่ยูริก็คือยูริ เธอยืนกรานที่จะทำคดีนี้ เพราะถ้าเธอไม่รับก็ไม่มีทนายคนไหนรับทำคดีนี้อีกแล้ว
จากนั้นยูริก็แนะนำให้ซงฮวาไปพบกับ ส.ส.ชเวยอฮวาน โดยนำเอาปากกาบันทึกเสียงซ่อนเอาไว้ในกระเป๋า แล้วล่อหลอกให้ ส.ส.สายหื่นพูดถึงเหตุการณ์ในวันนั้น
คืนนั้น หลังปิดลอว์คาเฟ่และยูริกำลังกลับบ้าน มีคนร้ายกระชากกระเป๋าของเธอ โดยกระเป๋าใบนั้นมีปากกาบันทึกเสียงที่เป็นหลักฐานสำคัญเก็บเอาไว้ ยูริได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากการหกล้ม แต่ที่เป็นเดือดเป็นแค้นสุด ๆ เลยก็คือจองโฮ
จองโฮรู้ดีว่าต่อให้ช้างมาฉุด ยูริก็ยังดึงดันทำคดีนี้ต่อไป เมื่อห้ามไม่ได้ก็ต้องส่งเสริม เขาจึงบากหน้าเอาเอกสารทางคดีทั้งหมดไปปรึกษาพ่อ คำแนะนำที่ได้ก็คือ คนพวกนี้เกาะติดกันก็เพราะผลประโยชน์ วิธีการคือต้องทำให้คนพวกนี้แตกกันเอง แต่หลักฐานที่จองโฮให้มามันเล็กน้อยเกินกว่าที่จะเล่นงานคนพวกนี้ได้
คืนนั้นในการประชุมคดีที่ลอว์คาเฟ่ จองโฮและยูริวางแผนที่จะเล่นงาน ส.ส.ชเวยอฮวานในงานการกุศลที่เขาจัดขึ้นที่โรงแรม โดยยูริจะให้นักสะเดาะกุญแจ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือโจรนั่นแหละ ที่เธอเคยเป็นทนายให้มาช่วยในการเข้าไปขโมยหลักฐานปากกาบันทึกเสียงคืนมา โดยงานนี้นอกจากทีมลอว์คาเฟ่แล้ว ยังมีสองเพื่อนบ้านสายฮามาร่วมด้วย
สุดท้ายก็เป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้ เมื่อขโมยปากกาบันทึกเสียงมาได้แล้ว ทีมลอว์คาเฟ่ก็เปิดประจานกลางงานการกุศล ขณะที่ ส.ส.ชเวยอฮวานกำลังกล่าวสปีชอยู่บนเวที
EP.14 เกือบจะแฮปปี้เอ็นดิ้งแล้วนะ
แผนการเปิดโปง ส.ส.สายหื่นสร้างแรงกระเพื่อมเกิดคาดคิด สื่อต่าง ๆ เล่นข่าวนี้จนกลายเป็นข่าวใหญ่ อีพยอนอุงจึงเสนอแผนบางอย่างกับ ส.ส.ชเวยอฮวาน ในขณะที่คืนนั้น ทีมลอว์คาเฟ่เลี้ยงฉลองความสำเร็จด้วยกันอย่างพร้อมเพรียง
รุ่งเช้ามา ข่าวทีวีรายงานว่า ส.ส.ชเวยอฮวานตั้งโต๊ะแถลงข่าวยอมรับว่ามีความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกต้องกับเลขาฯ จริง แต่เป็นความสัมพันธ์ที่ยินยอมทั้งสองฝ่าย และเมื่อเขาตัดสินใจจะยุติความสัมพันธ์ เลขาฯ สาวได้เรียกร้องเงินเป็นจำนวนมาก จนนำไปสู่การแฉเรื่องนี้ออกสู่สาธารณะ จากนั้นนักข่าวก็รายงานต่อว่า ข้อความที่ทั้งสองส่งคุยกันก็จะมีแต่เรื่องงานเพียงอย่างเดียว ไม่มีเรื่องส่วนตัวเลย … งานนี้กระแสตีกลับทันที คอมเมนต์ในโซเชียลรุมด่าเลขาฯ สาวเป็นผู้หญิงหิวเงินอย่างสนุกปาก
อัยการผู้เที่ยงธรรม
ยูริ จองโฮ และซงฮวาเดินทางไปพบอัยการเจ้าของคดีที่สำนักงานอัยการ แต่ยูริกับจองโฮถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อรู้ว่าอัยการคนนั้นคือแบคกอนมัน รุ่นพี่ของทั้งสองที่มหาวิทยาลัย ซึ่งจริง ๆ แล้วสำหรับยูริเขาเป็นมากกว่ารุ่นพี่ แต่เป็นแฟนเก่าจอมเจ้าชู้ของเธอในตอนนั้น และเคยมีเรื่องชกต่อยกับจองโฮ ทำให้ทั้งสองไม่ค่อยกินเส้นกันเท่าไรนัก
ถึงอย่างนั้น ยูริก็มองในทางที่ดีว่า การได้แบคกอนมันเป็นอัยการเจ้าของคดีก็ยังดีกว่าเป็นคนอื่น เพราะอย่างน้อยก็มั่นใจว่าแบคกอนมันจะไม่เข้าข้างคนชั่วอย่างอีพยอนอุง
จังหวะนั้น ประธานอี ซึ่งมีศักดิ์เป็นคุณตาของจองโฮก็นัดบอดให้โดยที่เขาไม่เต็ม คือประธานอีไม่ต้องการให้จองโฮคบกับยูรินี่แหละ ถึงขั้นพูดชัดเจนเลยว่า “ไม่ต้องเป็นผู้หญิงที่ฉันเลือกให้ก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ยัยทนายคนนั้น … ผู้หญิงที่เปิดคาเฟ่ต๊อกต๋อยแบบนั้นเหมาะสมกับแกอย่างงั้นเหรอ”
ด้วยคำพูดของคุณตาและการกลับมาของแบคกอนมัน ทำให้จองโฮไปซื้อแหวนเพชรเตรียมขอยูริแต่งงานหลังจากจบคดีนี้
ยูริควานหาหลักฐานเพิ่มเติมตามคำแนะนำของอัยการแบคกอนมัน เธอพยายามไปขอความร่วมมือกับเพื่อนร่วมงานของซงฮวา แต่ก็ไม่มีใครออกมาเป็นพยานให้ มีเพียงอีกิลยอง พนักงานชายที่เคยโดน ส.ส.สายหื่นกระทำอนาจารเช่นเดียวกัน
อีกิลยองมาที่ลอว์คาเฟ่เพื่อพบกับยูริ เขาเล่าว่าตัวเขาเองก็เคยโดนจับก้นจับเอวเช่นเดียวกัน แต่ไม่มีหลักฐานอะไรเลยนอกจากไดอารีที่เขาเขียนบันทึกเหตุการณ์เอาไว้
แน่นอนว่าการเอา ส.ส.สายหื่นเข้าคุกมันไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้ายังมีกลุ่มผู้มีอิทธิพลหนุนหลังเขาอยู่แบบนี้ ยูริจึงคิดแผนที่จะใช้เรื่องราวของอีกิลยองทำลาย ส.ส.ชเวยอฮวาน เพื่อจะทำให้กลุ่มผู้มีอิทธิพลเหล่านั้นเลิกสนับสนุนเขา เมื่อไม่มีกองหนุนแล้วการส่ง ส.ส.สายหื่นเข้าคุกก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ในอีกทางหนึ่ง จองโฮก็ไปหาอัยการแบคกอนมันเพื่อไซโคให้เขาจริงจังกับคดีนี้เพราะเป็นคดีสำคัญ ถ้าทำสำเร็จเขาก็จะดังเป็นพลุแตก และอนาคตทางการเมืองก็สดใสตามมาด้วย “นายรู้มั้ยว่าตัวเอกของคดีนี้คือใคร ? … ก็ตัวนายเองยังไงล่ะ อัยการผู้เที่ยงธรรม” โดนจองโฮยกหางอย่างนี้เข้าให้ อัยการแบคกอนมันก็ถึงกับหลงคารมคู่กัดเก่าในทันที
ทีนี้เมื่อทุกอย่างเข้าล็อกตามแผนที่ยูริกับจองโฮได้วางเอาไว้ ส.ส.ชเวยอฮวานจึงไปทวงบุญคุณกับประธานอี เมื่อเป็นเช่นนั้น ประธานอีจึงให้ USB Drive ที่มีข้อมูลที่ใช้ทำลายอีพยอนอุงได้ พร้อมกับบอกให้ ส.ส.สายหื่นยอมรับสารภาพในคดีนี้ซะ แล้วกำจัดอีพยอนอุงให้สิ้นซาก เมื่อออกมาจากคุกประธานอีรับปากว่าจะดูแลเขาเป็นอย่างดี
ส.ส.ชเวยอฮวานไปที่สถานีตำรวจ และรับสารภาพว่าทำอนาจารต่อซงฮวาและอีกิลยองจริง จากนั้นก็ยื่นข้อมูลลับให้กับตำรวจเพื่อแฉความผิดของอีพยอนอุงที่เสนอเงินสินบน และจัดหาบริการทางเพศให้กับผู้ที่ไปบ้านพักตากอากาศของเขา
เซอร์ไพรส์
หลังคดีจบลง จองโฮนัดยูริไปออกเดตด้วยกัน เขาได้เตรียมแผนเซอร์ไพรส์ขอเธอแต่งงานเอาไว้อย่างเลิศหรูอลังการ แต่ระหว่างที่แผนที่เตรียมไว้กำลังจะเริ่ม ยูริได้พูดขึ้นว่า การที่เธอได้อยู่กับเขาแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว เพราะถึงอย่างไรเขาก็คงไม่ขอเธอแต่งงานหรอกใช่มั้ยล่ะ … เจอคำนี้ปุ๊บ จองโฮจึงยกเลิกแผนเซอร์ไพรส์ในทันที ในใจเขาตอนนั้นคือคิดว่า ยูริไม่ได้จริงจังที่จะคบกับเขาขนาดนั้น
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ยูริเห็นท่าทางของจองโฮเปลี่ยนไป ด้วยความที่จองโฮรู้สึกว่าตัวเธอไม่ได้จริงจังกับความสัมพันธ์ เธอจึงลงไปคุกเข่าบนพื้นและเอื้อมมือไปกุมมือเขาและบอกว่า “การได้อยู่กับนายมันเหมือนเวลาเดินช้าลงเลยล่ะ เป็นความสุขและสงบสุขอย่างบอกไม่ถูก”
จองโฮถึงตัวยูริให้ขึ้นมานั่งบนโซฟา ส่วนตัวเขาก็ลงไปคุกเข่ากับพื้นแทน จังหวะนั้นเขาได้ล้วงไปหยิบกล่องแหวนเพชรออกมาจากเสื้อสูท และพูดขึ้นว่า “แต่งงานกับฉันนะ ยูริ”
EP.15 กลัวการผูกมัดจากการแต่งงานงั้นเหรอ
จองโฮคุกเข่าขอยูริแต่งงาน แต่กลับได้รับคำตอบที่คาดไม่ถึง ยูริปฏิเสธ จากนั้นเธอก็ยกแม่น้ำทั้งห้าและมหาสมุทรทั้งสี่มาอ้าง อ้างไปไกลถึงขนาดบอกว่า ระบบการแต่งงานมีมานานไม่รู้กี่ร้อยกี่พันปี มันยังจะใช้ได้ผลในปัจจุบันอยู่อีกเหรอ จนสุดท้ายก็วกกลับมาเข้าประเด็นว่า “ฉันยังไม่พร้อมที่จะเป็นครอบครัวเดียวกับนาย”
จากนั้นยูริก็เอาเรื่องจองโฮขอแต่งงานไปปรึกษากับเพื่อนซี้ตลอดกาล ฮันเซยอน แต่ไหง ปรึกษาไปปรึกษามา วันรุ่งขึ้น ฮันเซยอนก็ร้องห่มร้องไห้แบกลูกวัยแบเบาะมาที่ลอว์คาเฟ่ คำเดียวที่เธอพูดออกมาจากปากคือ “ฉันจะหย่า”
ฮันเซยอนมาขออยู่กับยูริสักพักเพราะมีปัญหากับสามี และเธอต้องการหย่ากับเขา ซึ่งปัญหาของฮันเซยอนเป็นปัญหาคลาสสิกในยุคสมัยนี้ พ่อแม่ต้องทำงานนอกบ้าน ทำให้การเลี้ยงลูกเป็นภาระอันหนักอึ้งต่อเนื่องยาวนานไปอีกหลายปี … พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ การมีลูกทำให้ทุกอย่างพุ่งเป้าไปที่ลูกจนทำให้ความสัมพันธ์ของพ่อแม่มีปัญหา
ในเวลาห่างกันไม่มากนัก แม่ของจองโฮก็มาที่ลอว์คาเฟ่เพื่อปรึกษากับยูริเรื่องการหย่าร้างเช่นกัน เหตุผลก็คือเธอไม่ต้องการให้สามีแบกรับภาระและความรู้สึกอันหนักอึ้งของครอบครัวเธออีกต่อไป เธอเห็นใจเขาที่ต้องเก็บทุกอย่างไว้โดยไม่ปริปากแม้สักคำเดียว
ระหว่างนั้นอีพยอนอุงทำร้ายประธานอีผู้เป็นพ่อ ด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่สะสมมาเป็นเวลานาน จากนั้นเขาก็หลบหนีไปพร้อมกับลูกน้องคนสนิทก่อนที่จะมีการออกหมายจับ ขณะที่ประธานอีนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ท่านบอกกับจองโฮว่าอีพยอนอุงหนีออกนอกประเทศทางเรือไปแล้ว แต่ที่จริงเขายังคงอยู่ในเกาหลีและกำลังวางแผนอะไรบางอย่าง
และแผนบางอย่างที่ว่านั้นคือการลักพาตัวแม่ของยูริเพื่อล้างแค้น … จองโฮติดตามแม่ยูริโดยอาศัย GPS ที่เคยให้พกติดตัวเอาไว้ก่อนหน้านี้ แต่เมื่อไปถึงกลับไม่เจอใคร
ต่อมาอีพยอนอุงจับตัวจองโฮเอาไว้ได้ จองโฮโดนอัดซะน่วม อย่างไรก็ตามจองโฮพูดจาหว่านล้อมลูกน้องคนสนิทของอีพยอนอุงจนใจอ่อน ยอมบอกที่ขังแม่ยูริ จองโฮจึงส่งข้อความไปบอกลูกน้องของเขา สุดท้ายก็สามารถช่วยแม่เอาไว้ได้
ในตอนท้าย อีพยอนอุงจับตัวจองโฮเป็นตัวประกัน ยูริเข้าไปเกลี้ยกล่อมอีพยอนอุง โดยรับปากว่าจะเป็นทนายให้ และจะไม่ปล่อยให้เขาต้องทนทุกข์กับความอยุติธรรมเพียงลำพังอีกต่อไป จองโฮฉวยโอกาสจังหวะนั้นจัดการกับอีพยอนอุงจนตัวเองโดนแทงจนได้รับบาดเจ็บ สุดท้ายอีพยอนอุงก็ถูกตำรวจจับตัวไป … ในเวลาเดียวกันนั้นเอง จองโฮก็หมดสติไป
EP.16 ความรักที่ถูกต้องตามกฎหมาย (จบ)
จองโฮหมดสติในอ้อมกอดของยูริ เจ้าหน้าที่จึงรีบพาเขาไปโรงพยาบาลโดยเร็ว ยูริและทีมลอว์คาเฟ่ต่างลุ้นด้วยใจระทึกอยู่ด้านนอกห้องผ่าตัด กระทั่งแพทย์เจ้าของไข้ออกมาแจ้งผลว่าทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี จองโฮต้องนอนพักสองสามวันอาการก็จะดีขึ้น … ระหว่างนั้น ยูรินอนเฝ้าไม่ห่างเตียงจองโฮด้วยความเป็นห่วงอย่างสุดหัวใจ
วันนั้น จองโฮอาการดีขึ้น เขาจึงเดินขึ้นไปบนดาดฟ้าโรงพยาบาลเพื่อสูดอากาศ ยูริไม่เห็นเขาอยู่ที่เตียงก็ตกใจเป็นอย่างมาก รีบเดินหาเขาอย่างกับคนสติแตกทั่วทั้งโรงพยาบาล จนไปพบเขาบนดาดฟ้า เธอจึงรีบจ้ำไปหาเขาทั้งน้ำตาที่เอ่อล้น “จองโฮ นายไม่รู้หรือไงว่า ถ้านายเจ็บฉันเจ็บยิ่งกว่านายซะอีก ขอร้องล่ะ ต่อจากนี้อย่าเจ็บตัวอีกนะ ฉันรักนายนะ ฉันรักนาย จองโฮ ฉันรักนาย” … จองโฮกล่าวขอโทษแล้วโอบยูริเอาไว้ในอ้อมอก
ในวันเดียวกันนั้น ข่าวทีวีรายงานข่าวอีพยอนอุงถูกตำรวจจับกุมหลังจับตัวประกันไว้นานกว่าสองชั่วโมง เขาโดนตั้งข้อหาในความผิดหลายกระทง จัดหาบริการทางเพศ ยักยอก และมีส่วนเกี่ยวข้องในคดีฆาตกรรม ไม่รอดพ้นโทษสถานหนักอย่างแน่นอน
ระหว่างนั้น พ่อแม่ของจองโฮก็ดูจะระหองระแหงกันไม่เลิก เช่นเดียวกับฮันเซยอนกับโดจินกี ที่ยังคงทะเลาะขึ้นเสียงกันอยู่อย่างนั้นไม่เลิก ยูริจึงคิดอยากแก้ปัญหาให้ทั้งสองคู่ …
เริ่มต้นจากฮันเซยอน ยูริขอร้องให้ไปปรับความเข้าใจกับโดจินกี เพราะปัญหาที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ตัวสามี แต่อยู่ที่ตัวแม่สามีที่มองเธอเป็นลูกสะใภ้ที่ไม่เอาไหน เมื่อคุยกันรู้เรื่อง โดจินกีจึงรับปากว่าจะเอาเรื่องนี้ไปคุยกับแม่ และสัญญาว่าจะไม่ให้เกิดปัญหาแบบนี้ขึ้นอีก
ส่วนแม่ของจองโฮ ยูริใช้วิธีที่สุดแสนแปลกประหลาด คือให้ฮันเซยอนเอากุญแจมือตำรวจใส่มือแม่กับพ่อของจองโฮเอาไว้ ด้วยความที่พ่อของจองโฮเป็นคนไม่ค่อยพูด มีปัญหาอะไรก็มักจะเก็บเอาไว้คนเดียว การที่กุญแจมือบังคับให้ทั้งสองได้อยู่ด้วยกัน ทำให้มีเวลาได้ปรับความเข้าใจโดยที่ไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหลบหน้าอีกฝ่ายไปได้เหมือนที่ผ่านมา … พ่อจองโฮยอมรับว่าตลอดเวลาเขาแบกรับทุกอย่างเอาไว้เพราะไม่อยากให้แม่จองโฮรู้สึกเจ็บปวด แล้วทั้งสองก็ตกลงที่จะแยกกันอยู่เพื่อให้เวลาแต่ละคนได้คิดทบทวน ก่อนที่ทั้งสองจะกลับมาใช้ชีวิตคู่ด้วยกันอีกครั้ง
หลังจากจัดการชีวิตให้คนอื่นเรียบร้อยแล้ว แต่สำหรับเรื่องของตัวเองนั้นแตกต่างออกไป คืนนั้น ยูริคุยเรื่องการแต่งงานกับแม่ แม่บอกว่าไม่มีใครรู้หรอกว่าอนาคตของชีวิตคู่จะไปลงเอยกันตรงไหน แต่มันไม่สำคัญอะไรเลย ที่สำคัญยิ่งกว่าคือการได้อยู่เผชิญความเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน “ถ้าเราอยากอยู่กับเขาอยากใช้ชีวิตอยู่กับเขา นั่นแหละคือคนที่ใช่“ แม่ยังพูดไม่ทันจบ ยูริก็รับบึ่งรถมาหาจองโฮทันที
ยูริยืนเผชิญหน้ากับจองโฮที่หน้าลอว์คาเฟ่ ยูริขอเขาแต่งงานตรงนั้น “แต่งงานกับฉันนะจองโฮ” จองโฮเหมือนกับตัวเองหลงเข้าไปอยู่ในความฝัน แต่มันเป็นความฝันที่เป็นจริง จากนั้นจองโฮก็จูบยูริเป็นคำตอบของทุกสิ่งอย่าง
จองโฮตื่นเช้ามาในวันนั้นโดยที่มียูรินอนอยู่เคียงข้าง ไม่แค่นั้น ยังมีเสียงกรนของยูริเป็นเสียงพื้นหลังในยามเช้าของวันนั้น 😁
งานแต่งงานของจองโฮกับยูริจัดขึ้นที่ริมทะเลสาบ ซึ่งก็ให้บังเอิญว่าวันนั้นเป็นวันที่พายุกำลังจะเข้า มีแขกเหรื่อมากันมากมาย ทั้งครอบครัวและเพื่อนร่วมงาน รวมทั้งลูกความที่ทั้งสองเคยช่วยเหลือด้วย
ระหว่างพิธี ลมพายุเริ่มพัดแรงขึ้น แรงขึ้น และแรงขึ้น แขกเหรื่อที่มาร่วมงานต่างพากันแตกตื่นกับแรงลม แต่ดูเหมือนว่าจะมีอยู่สองคนที่ไม่ได้สนใจลมพายุนั่นเลยแม้แต่นิดเดียว จองโฮกับยูริ … แม้ลมพายุจะรุนแรงจนพัดข้าวของกระจัดกระจาย และสายฝนที่พัดกระหน่ำ แต่พวกเขามีความสุขร่วมกัน
หลังแต่งงาน จองโฮก็เปิดห้องรับปรึกษากฎหมายที่ลอว์คาเฟ่คู่กับยูริ ทำให้ลูกความที่มาปรึกษามีทางเลือกมากขึ้น
จบบริบูรณ์
Photos : ภาพหน้าจอจาก KBS2 Korea