Skip to content
สรุปเนื้อเรื่อง The Good Nurse (2022)

สรุปเนื้อเรื่อง The Good Nurse (2022)

The Good Nurse สปอยล์ : พยาบาลห้องไอซียูมีภาระอันหนักอึ้ง จนต้องพึ่งพาเพื่อนร่วมงานคนใหม่ที่อาสามาช่วยแบ่งเบางานที่บ้านและที่โรงพยาบาล กระทั่งการตายอย่างมีเงื่อนงำของคนไข้ทำให้เขาตกเป็นผู้ต้องสงสัย …

แนว : ชีวประวัติ ดราม่า อาชญากรรม
เรต : 16+
คะแนน IMDb : 6.9/10
คะแนนรีวิว : 6.5/10

สร้างจากเค้าโครงเรื่องจริง
(จากหนังสือ The Good Nurse เขียนโดย Charles Graeber)

โรงพยาบาลเซนต์อะลอยเซียส เพนซิลเวเนีย ปี 1996

พยาบาลหนุ่มเดินเข้าไปในห้องผู้ป่วยคนหนึ่ง ก่อนจะตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ เขาบอกกับหมอที่รีบวิ่งมาดูอาการว่า เขาได้ยินเสียงสัญญาณจากทางเดิน เมื่อเข้ามาในห้องก็เห็นผู้ป่วยนอนชัก จากนั้นก็ปิดเครื่องช่วยหายใจเนื่องจากเห็นว่าหัวใจของผู้ป่วยเต้นผิดจังหวะ ซึ่งต่อมาหัวใจก็หยุดเต้น … หมอและเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ต่างพากันช่วยผู้ป่วยกันอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ไร้ผล ในขณะที่พยาบาลหนุ่มคนนั้นยืนมองด้วยท่าทีที่เรียบเฉย

โรงพยาบาลพาร์คฟีลด์ เมโมเรียล นิวเจอร์ซีย์ ปี 2003

เอมี่ (รับบทโดย เจสซิกา แชสเตน) เป็นพยาบาลแผนกไอซียูกะดึกเพียงคนเดียวที่ทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วย เธอยังเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่มีลูกสาววัย 9 ขวบ และลูกชายตัวน้อยวัย 5 ขวบ นั่นทำให้ลูก ๆ ของเธอต้องอยู่กับพี่เลี้ยงแทบจะตลอดเวลา เอมี่จะได้เจอหน้าลูก ๆ ก็ตอนเช้าก่อนเด็ก ๆ ไปโรงเรียนเพียงไม่กี่นาที …​ คือไลฟ์บาลานซ์พังพินาศมาก

วันหนึ่ง หลังผ่านการทำงานหนักมาหลายเดือนต่อเนื่อง เอมี่เริ่มรู้สึกถึงโรคเก่าที่กำลังกำเริบและดูจะรุนแรงขึ้น “กล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ มีตุ่มเลือดที่หัวใจ” เธอรีบไปหาหมอในวันรุ่งขึ้น หมอแนะนำให้เธอหยุดงานและพักรักษาตัวจนกว่าจะได้เข้าไปอยู่ในรายชื่อปลูกถ่าย ไม่นับความเสี่ยงสูงที่เธอจะเป็นโรคหลอดเลือดสมอง

แต่ดูเหมือนชีวิตของเอมี่มันจะไม่ได้ง่ายขนาดนั้น “ฉันยังลาหยุดแบบมีค่าจ้างไม่ได้ จนกว่าจะทำงานครบหนึ่งปี” ซึ่งนับจากตอนนี้เอมี่ต้องทำงานอีกอย่างน้อย 4 เดือนถึงจะได้รับประกันสุขภาพ ในอีกทางหนึ่งเธอต้องเก็บเรื่องนี้ไม่ให้ทางโรงพยาบาลที่เธอทำงานอยู่รู้ ไม่เช่นนั้นมีโอกาสสูงที่เธอจะโดนไล่ออก

เอมี่จ่ายค่ารักษาเป็นเงิน 980 ดอลลาร์ ด้วยการแบ่งจ่ายบัตรเครดิตสองใบ จากนั้นเธอก็มานั่งนิ่งอยู่บนรถเป็นเวลานานหลายนาที ระหว่างนั้นก็ต้องคอยใช้มือเช็ดน้ำตาให้ตัวเอง มันไม่ใช่น้ำตาของความอ่อนแอ แต่เป็นน้ำตาที่รู้สึกผิดต่อและสงสารลูก ๆ แม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องแบกรับอะไรที่หนักขนาดนี้แล้วยังยืนอยู่ได้ จะเรียกน้ำตาที่ไหลออกมาว่าเป็นน้ำตาของความอ่อนแอได้อย่างไร

แล้ววันนั้น เอมี่ก็ได้พยาบาลห้องไอซียูกะดึกคนใหม่ที่จะมาทำงานเป็นคู่หูกับเธอ เขาชื่อ ชาร์ลี คัลเล็น (พยาบาลคนเดียวกับตอนเริ่มเรื่อง รับบทโดย เอ็ดดี้ เรดเมย์น) ด้วยบุคลิกที่ดูเรียบร้อย เป็นมิตร แม้จะท่าทางแปลก ๆ ไปบ้าง แต่เขาก็ช่วยเหลือเอมี่ทุกอย่าง เรียกว่าการได้เขาเข้ามาในชีวิตตอนนี้เป็นเวลาพอเหมาะพอเจาะพอดี ยิ่งเมื่อเขาได้รู้ว่าเอมี่ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจ เขาก็ยิ่งก้าวเข้ามาในชีวิตเธอมากขึ้น จากที่ทำงานก็เริ่มเข้ามาช่วยดูแลลูก ๆ ของเธอ

เอมี่เริ่มบาลานซ์ชีวิตของตัวเองได้ดีขึ้น มีเวลาอยู่กับลูก ๆ ไม่ต้องทำงานหนักมาก และเธอก็แฮปปี้ที่ชาร์ลีเข้ามาในชีวิต เขาเป็นเพื่อนที่ดี ที่สุดแสนวิเศษสำหรับเธอ

เรื่องราวดำเนินไปกระทั่งคืนหนึ่ง ที่ห้องไอซียู … ได้เกิดเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้น แอนา ผู้ป่วยหญิงวัย 77 ปีรายหนึ่ง อยู่ดี ๆ ก็เกิดเสียชีวิตอย่างมีพิรุธ โดยไม่รู้สาเหตุการตายที่แน่ชัด !?

ผ่านไป 2 เดือน

7 สัปดาห์หลังจากแอนาเสียชีวิต ทางโรงพยาบาลได้แจ้งตำรวจเกี่ยวกับการตายที่ผิดปกติ โดยแจ้งว่าเป็นการตายที่อธิบายไม่ได้ อ้างความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่ลงความเห็นว่า เป็นอาการตอบสนองที่ไม่พึงประสงค์ที่ผิดปกติต่อยา

นักสืบสองนายเข้ามารับทำคดีนี้ ด้วยประสบการณ์ของทั้งสองทำให้เห็นความผิดปกติของทางโรงพยาบาล ที่ดูจะพยายามปกปิดหลักฐานที่จำเป็นต่อการสืบสวน เช่น ความพยายามกีดกันไม่ให้พยาบาล หรือเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์อื่น ๆ ให้ปากคำอย่างเป็นอิสระ จะให้ปากคำได้ต่อเมื่อมีทนายของโรงพยาบาลอยู่ด้วยเท่านั้น หรือความพยายามที่จะดึงเวลาให้ทอดนานถึง 7 สัปดาห์ก่อนที่จะแจ้งตำรวจ ซึ่งหมายถึงศพของแอนาได้ทำการเผาไปแล้วเกือบสองเดือนโดยไม่มีการทำการชันสูตร เพราะทางโรงพยาบาลไม่ได้แจ้งถึงความผิดปกตินี้ให้กับญาติรับรู้

ทำไมโรงพยาบาลต้องพยายามปกปิดเรื่องนี้ด้วย ? นักสืบทั้งสองไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ มันต้องเกี่ยวกับผลประโยชน์ของโรงพยาบาลอย่างแน่นอน … สิ่งที่ปกปิดนี่แหละ กระตุ้นให้นักสืบทั้งสองสืบเรื่องนี้ต่อไปแม้จะไม่มีหลักฐานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันในมือเลย

นักสืบทั้งสองเริ่มต้นด้วยการสืบหาประวัติของเจ้าหน้าที่ทุกคนในโรงพยาบาล จนไปพบกับประวัติอันน่าสงสัยของชาร์ลี ที่เคยโดนจับข้อหาบุกรุกและก่อกวนเมื่อปี 1995 โดยเขากรีดยางรถเพื่อนร่วมงานหลังเลิกคบกัน ที่น่าแปลกอีกอย่างคือเขาเคยทำงานมาแล้วถึง 9 โรงพยาบาล … ที่น่าแปลกยิ่งกว่าคือเมื่อนักสืบไปถามข้อมูลของชาร์ลีที่โรงพยาบาลเหล่านั้น กลับไม่มีที่ไหนยอมเปิดเผยประวัติเขาเลย แม้ว่าจะเป็นข้อมูลง่าย ๆ อย่างวันที่เขาลาออก เป็นต้น

ด้วยสัญชาตญาณความเป็นนักสืบ ทั้งสองรู้ดีว่าชาร์ลีนี่แหละคือคนร้ายที่พวกเขากำลังหาตัวอยู่ แต่สัญชาตญาณความเป็นนักสืบมันใช้เป็นหลักฐานในศาลไม่ได้ พวกเขาจึงต้องพยายามต่อไปในการหาหลักฐานที่หนักแน่นพอที่จะใช้ในชั้นศาล

ถึงคิวเอมี่ต้องให้ปากคำ เธอดูเอกสารต่าง ๆ ของแอนาก่อนเสียชีวิต มองแวบเดียวเอมี่ก็เห็นตัวเลขความผิดปกติ แปลความหมายก็คือ มีคนใส่อินซูลินให้เธอ แต่เนื่องจากเธอไม่ได้เป็นเบาหวาน ดังนั้นอินซูลินจึงไม่ได้อยู่ในรายชื่อยาที่เธอจะได้รับ และถ้าจะบอกว่าเป็นการให้ยาผิดพลาดก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมาก สุดท้ายเอมี่ให้ความเห็นต่อนักสืบทั้งสองว่า อินซูลินอาจเป็นสาเหตุให้แอนาตายได้

แต่เมื่อนักสืบทั้งสองถามถึงความเป็นไปได้ที่ผู้ลงมือคือชาร์ลี เอมี่รีบปกป้องเขาและยืนยันเสียงแข็งว่าเขาเป็นพยาบาลที่ดีมาก ๆ และไม่มีทางทำอะไรที่ผิดพลาดแบบนี้ได้เป็นอันขาด

เวลาผ่านไปเกือบเดือน จู่ ๆ ก็เกิดมีผู้ป่วยอีกรายที่ตายอย่างเป็นปริศนาคล้ายกับกรณีของแอนา แต่คราวนี้เกิดเหตุช่วงกลางวัน ผู้ป่วยที่ตายชื่อเคลลี่ … เอมี่ดูประวัติการรักษาของเคลลี่ก็พบอินซูลินในกระแสเลือดเหมือนกัน มันทำให้เอมี่เริ่มสงสัยชาร์ลีขึ้นมาทันที

เอมี่นัดเจอกับเพื่อนพยาบาลที่เคยทำงานด้วยกันที่โรงพยาบาลเซนต์อะลอยเซียส ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่ชาร์ลีเคยทำงาน เธอจึงได้รู้ว่าเขามีส่วนเกี่ยวกับการตายของผู้ป่วยจำนวนมาก โดยพบอินซูลินในถุงน้ำเกลือของผู้ตาย มีรอยเข็มที่ถุงที่อยู่ในห้องเก็บอุปกรณ์ มีคนวางยาก่อนจะเอามันไปใช้ ตอนนั้นไม่มีใครสงสัยว่าเป็นชาร์ลี แต่ในช่วงนั้นมีผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นทุกคืน บางคืนก็สองสามคน แต่พอชาร์ลีออกไปก็เหลือเดือนละคน

ในคืนนั้น เอมี่รีบไปตรวจสอบถุงน้ำเกลือที่โรงพยาบาลด้วยความร้อนใจ ปรากฏว่ามีรอยเจาะจริง ๆ … เมื่อได้ข้อมูลนี้มาทำให้เอมี่เชื่อแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่า ชาร์ลีเป็นฆาตกร !!!

เอมี่รีบเอาเรื่องนี้ไปบอกกับนักสืบทั้งสอง “เขาทำในห้องเก็บอุปกรณ์ ก่อนจะเอาออกไปใช้ เขาจะฉีดอินซูลินใส่ถุงน้ำเกลือ มันจะค่อย ๆ เข้าไปในกระแสเลือด กว่าจะทำให้ใครตายต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงหรืออาจใช้เวลาเป็นวัน”

นักสืบถามเอมี่ถึงความเป็นไปได้ที่ชาร์ลีจะใส่ไดจ็อกซินเข้าไปในถุงน้ำเกลือด้วย ซึ่งเอมี่ก็ตอบว่าใช่ ถ้าสิ่งนั้นมันเป็นของเหลวใสก็จะไม่มีใครจับได้ ซึ่งไดจ็อกซินก็เป็นของเหลวใสที่สามารถฆ่าคนได้

หลักฐานที่สำคัญที่สุดคือ …

นักสืบเอาเรื่องนี้ไปปรึกษากับหัวหน้า แต่ปัญหาเดิมก็วนลูปกลับมา นั่นก็คือไม่มีหลักฐานการชันสูตรที่ใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาลได้ เอมี่จึงไปขอร้องกับสามีของเคลลี่ ให้ขุดศพของเธอขึ้นมาตรวจ ซึ่งก็พบอินซูลินเช่นกัน … ทั้งหมดเอาหลักฐานที่มีไปให้อัยการดู ผลก็คือหลักฐานไม่พอเอาผิดชาร์ลีได้ เพราะมันไม่มีหลักฐานที่ชี้ได้อย่างชัดเจนว่าชาร์ลีเป็นฆาตกร

ถ้านึกไม่ออกว่าทำไมก็ให้นึกถึงคำว่า “ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย” หรือ “ปล่อยคนร้ายร้อยคนดีกว่าจับผู้บริสุทธิ์เพียงคนเดียว”

ในเวลาเดียวกันนั้น ชาร์ลีก็โดนโรงพยาบาลไล่ออกโดยอ้างเหตุที่เขาลงวันที่ที่ทำงานที่โรงพยาบาลก่อนหน้าผิด ซึ่งดูก็รู้ว่าเป็นข้ออ้างที่ทางโรงพยาบาลเลือกที่จะไล่เขาออกแทนที่จะเอาผิดเขา เป็นเหมือนการปัดความรับผิดชอบโดยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

คือถ้าโรงพยาบาลเลือกที่จะเอาผิดกับชาร์ลี เรื่องนี้ก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา โรงพยาบาลก็จะโดนญาติผู้ป่วยฟ้องร้อง ซึ่งถ้าโรงพยาบาลรอดจากการล้มละลายไปได้ ก็จะต้องเสียชื่อเสียงไปตลอดกาล สุดท้ายก็ต้องเจ๊งอยู่ดี

นักสืบทั้งสองบอกกับเอมี่ว่า ทางสุดท้ายแล้วที่จะจัดการกับชาร์ลีได้นั่นคือต้องทำให้เขารับสารภาพออกมาเอง

ว่าที่จริงสำหรับเอมี่มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เพราะในอีกมุมหนึ่ง ชาร์ลีเป็นเพื่อนที่ดีที่เข้ามาช่วยประคับประคองชีวิตเธอในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา การได้รู้ว่าเพื่อนที่เธอเทิดทูนเป็นฆาตกรต่อเนื่องมันไม่ง่ายเลย มันไม่ง่ายเลยจริง ๆ

นักสืบสั่งให้ตำรวจตามจับตัวชาร์ลี โดยใช้อำนาจควบคุมตัว 48 ชม. ก่อนที่เขาจะย้ายไปทำงานอีกโรงพยาบาลหนึ่ง และก่อเหตุแบบเดิมซ้ำ ๆ ไปเรื่อย ๆ … สองนักสืบจับตัวชาร์ลีและพยายามเค้นให้เขารับสารภาพ แต่ก็นั่นแหละ ชาร์ลีปฏิเสธที่จะพูด

สุดท้ายเอมี่ก็เข้ามาพบเขาและพูดกับเขาด้วยความจริงใจ ก่อนจะขอให้เขาสารภาพออกมา ในที่สุดชาร์ลีก็สารภาพว่าเขาเป็นคนทำ และได้เอ่ยชื่อเหยื่อ แต่เขาก็สามารถระบุชื่อได้เพียงบางคนเท่านั้น

บทสรุป

เพื่อเลี่ยงโทษประหารชีวิต ชาร์ล คัลเล็น สารภาพผิดในข้อหาฆาตกรรม 29 คน แต่เชื่อว่าจำนวนเหยื่อที่แท้จริงอาจมากถึง 400 คน และเขาไม่เคยอธิบายถึงเหตุผลที่ทำลงไป เขาถูกตัดสินโทษจำคุกตลอดชีวิต 18 รอบติดต่อกัน และจะไม่มีสิทธิ์ได้รับทัณฑ์บนจนถึงปี 2403 ซึ่งหมายถึงเขาจะไม่มีวันได้ออกจากคุกตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ

ชาร์ลีเป็นพยาบาลมานาน 16 ปี โรงพยาบาลส่วนใหญ่ที่เขาทำงานพบว่าเขาน่าสงสัย แต่ไม่เคยมีที่ไหนทำอะไรเขา ดำเนินคดีเขา ด้วยเหตุผลที่ว่าการทำแบบนั้นจะทำให้โรงพยาบาลเสียชื่อเสียง ที่สำคัญต้องโดนฟ้องร้องจากญาติผู้เสียชีวิต

ส่วนเอมี่ได้เข้ารับการผ่าตัดหัวใจและอยู่กับลูก ๆ ของเธอ และยังคงเป็นพยาบาลที่ดีต่อไป

ดูหนังเรื่องนี้ได้ที่ Netflix : คลิกที่นี่