A Nearly Normal Family (2023) สปอยล์ : ครอบครัวธรรมดา ๆ ครอบครัวหนึ่ง ดูเหมือนจะพังทลาย เมื่อหนึ่งในสมาชิกตกเป็นผู้ต้องหาในคดีฆาตกรรมร้ายแรง …
แนว : ดราม่า อาชญากรรม ระทึกขวัญ
เรต : 16+
ความยาว : 6 ตอน (2 ชม. 33 น.)
คะแนนรีวิว : 6/10
IMDb เรตติ้ง : 6.9
สตรีมมิ่ง : Netflix
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นที่ ลุนด์ เมืองเล็ก ๆ ที่ดูเงียบสงบ ทางตอนใต้ของสวีเดน … สเตลล่า เด็กสาววัยสิบห้า ที่อยู่ในครอบครัวที่ดูเหมือนสมบูรณ์แบบ มีพ่อเป็นบาทหลวง ที่ยึดมั่นและศรัทธาในศาสนา เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านในชุมชน ส่วนแม่เป็นอดีตทนายความ ปัจจุบันเป็นอาจารย์ด้านกฎหมาย สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยลุนด์ ทุกอย่างดูเพอร์เฟกต์
สเตลล่ามีเพื่อนสนิทชื่อ อามีนา วันนี้ ทั้งสองไปเข้าแคมป์ฝึกซ้อมแฮนด์บอลด้วยกัน ซึ่งสเตลล่าเป็นดาวเด่นตัวความหวังของทีม
ระหว่างที่อยู่ในแคมป์ สเตลล่าเกิดเตะตาต้องใจผู้ช่วยโค้ชหนุ่มหล่อที่ชื่อ โรบิน หลังจากซ้อมเสร็จ สเตลล่าหาจังหวะรุกเข้าหาโรบิน และชวนเขาไปว่ายน้ำด้วยกันสองต่อสอง ว่ายน้ำเสร็จ ทั้งสองทำท่าจะจูบกันที่ริมหาด แต่เธอกลัวคนมาเห็น จึงชวนเขาไปในบ้านริมชายหาดที่อยู่ใกล้ ๆ ทั้งสองจูบกัน เขาเริ่มรุกเธอหนักขึ้น ด้วยการถอดชุดว่ายน้ำแบบทูพีซของเธอ ตอนนั้นสเตลล่าพูดออกมาว่า “ฉันไม่อยากทำแบบนี้” เธอพูดซ้ำด้วยประโยคเดิม ๆ สองถึงสามครั้ง แต่เขาก็ยังไม่หยุด สุดท้ายเขาก็ล่วงล้ำเข้าไปในร่างกายของเธอ ณ จุดนี้ สเตลล่าได้แต่นิ่ง และปล่อยให้เขาทำต่อไป จนกระทั่ง เจ้าของบ้านเข้ามาพบ
พ่อของสเตลล่าขับรถมารับที่แคมป์ หลังได้รับแจ้งว่า เธอแอบไปมีความสัมพันธ์กับผู้ช่วยโค้ชในบ้านของคนอื่น ระหว่างทาง เธอตัดสินใจบอกความจริงกับพ่อว่า จริง ๆ แล้วเธอไม่ได้ต้องการให้เขาทำ
พ่อพาสเตลล่าไปตรวจภายในที่โรงพยาบาล หมอตรวจอย่างละเอียด พบร่องรอยการมีเพศสัมพันธ์ แต่ไม่พบร่องรอยของการต่อสู้ หรือการทำร้ายร่างกาย ซึ่งดูจะสวนทางกับสิ่งที่สเตลล่าบอกกับพ่อ !?
เมื่อกลับมาถึงบ้านพ่อปรึกษากับแม่ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เขาต้องการแจ้งความเอาผิดกับผู้ชายคนนั้น เพราะเขามองว่ามันเป็นการขืนใจ และผู้ชายคนนั้นต้องได้ผลของการกระทำ แม่จึงถามสเตลล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม่พยายามจี้ถามสเตลล่าว่า ได้แสดงท่าทางขัดขืน จนฝ่ายชายเห็นได้ชัดเจนหรือไม่ ? สเตลล่ายืนยันคำเดิม เธอบอกให้เขาหยุด แต่ไม่ได้แสดงท่าทางขัดขืน ได้แต่นอนนิ่งให้เขาทำ
ด้วยความเป็นทนาย แม่จึงใช้แง่มุมทางกฎหมายเป็นเหตุผลในการตัดสินใจปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป เพราะถึงแจ้งความดำเนินคดี สุกท้าย ศาลก็จะตัดสินยกฟ้อง เนื่องจากไม่มีหลักฐานที่มีน้ำหนักเพียงพอ ที่สำคัญ สเตลล่าไม่ได้แสดงออกถึงการขัดขืนอย่างชัดเจน
แม่พยายามอธิบายให้พ่อเข้าใจ ถ้าพ่อดึงดันจะดำเนินคดี เรื่องต่าง ๆ จะถูกขุดขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำอีก สเตลล่าจะต้องเจ็บปวด กับการพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ต่อหน้าคนแปลกหน้า
สุดท้าย ทั้งสองก็ตัดสินใจปล่อยผ่าน และทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ด้วยความเชื่อที่ว่า ทางเลือกนี้เป็นการปกป้องสเตลล่าดีที่สุด แต่ …
แต่คนเป็นพ่อแม่ไม่รู้เลยว่า การตัดสินใจแบบนี้กลับทำให้สเตลล่ารู้สึกผิด เธอรู้สึกว่ามันเป็นความผิดของเธอ ที่ปล่อยให้เขาทำโดยไม่แสดงอาการขัดขืน !
4 ปีผ่านไป
หลังเหตุการณ์นั้น สเตลล่าไม่ได้เรียนต่อ เธอออกจากโรงเรียน และทำงานเป็นพนักงานที่ร้านเบเกอรี่ในเมือง
ขณะที่แม่ก็แอบไปมีความสัมพันธ์ลับ ๆ กับอดีตเพื่อนร่วมงานที่ชื่อ มีเกล ซึ่งพ่อก็รู้มาตลอด แต่เก็บงำเอาไว้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พ่อเก็บความเจ็บปวดนั้นเอาไว้ในใจ เพื่อให้สถานะความเป็นครอบครัวยังดำรงอยู่ต่อไป และหวังว่าสักวันแม่จะสำนึกได้
เรื่องราวดำเนินไปจนถึงคืนนั้น สเตลล่าบอกกับพ่อแม่ว่า เธอจะไปเที่ยวกับอามีนา ทุกอย่างเป็นปกติ กระทั่งกลางดึก สเตลล่ากลับมาบ้านด้วยร่างกายที่เปียกปอน เธอแอบเข้าไปอาบน้ำที่ห้องน้ำด้านล่าง พ่อเห็นสเตลล่าทำตัวแปลก ๆ แต่ไม่ได้ว่าอะไร
วันต่อมา สเตลล่าถูกตำรวจควบคุมตัว และแจ้งข้อหาฆาตกรรม !
แม่ได้รับสายด่วนจากมีเกล แจ้งข่าวเรื่องสเตลล่าถูกจับในข้อหาฆาตกรรม และตำรวจกำลังนำหมายค้นมาที่บ้านของเธอ ด้วยสัญชาตญาณทนายความ แม่จึงเก็บเอาเสื้อผ้าที่สเตลล่าใส่เมื่อคืน และเอาโทรศัพท์มือถือของสเตลล่าไปซ่อน ซึ่งต่อมา แม่ก็เอาเสื้อผ้าไปเผา ส่วนโทรศัพท์ก็เอาไปโยนทิ้งน้ำ เมื่อตำรวจมาตรวจค้นที่บ้าน จึงไม่ได้หลักฐานอะไร
แม่ขอให้มีเกลเป็นทนายความให้สเตลล่า เพราะมีเกลเป็นทนายความคดีอาญาที่เก่งที่สุดที่เธอรู้จัก
ไม่เท่านั้น แม่ยังใช้เส้นสาย เข้าไปล้วงข้อมูลหลักฐานจากอัยการเจ้าของคดี จนทำให้รู้ว่า “พบดีเอ็นเอของอามีนาอยู่ในอพาร์ตเมนต์ของผู้ตาย” ซึ่งทำให้แม่ประหลาดใจมาก ที่อามีนาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย
พ่อเข้าให้การกับตำรวจ พ่อยืนยันว่าลูกสาวกลับบ้านตั้งแต่ 5 ทุ่ม 15 นาที ซึ่งเป็นเวลาก่อนเกิดเหตุฆาตกรรม แต่ความจริง คือ พ่อโกหกเพื่อช่วยลูกสาว … พ่อลบข้อความที่ส่งหาสเตลล่าตอนตีหนึ่ง เป็นการปกปิดหลักฐาน
ขณะที่ฝ่ายตำรวจเอง มีประจักษ์พยานที่ได้ยินเสียงเหตุการณ์ และยืนยันว่าสเตลล่าไปหาชายหนุ่มที่ห้องบ่อยครั้ง ส่วนหลักฐานนิติวิทยาศาสตร์ก็คือ “รอยรองเท้า” ซึ่งตรวจพบไมโครไฟเบอร์ ที่สามารถระบุได้ชัดเจนว่า สเตลล่าอยู่ในที่เกิดเหตุ
ส่วนแรงจูงใจที่อัยการวาดไว้ก็คือ “การหึงหวง” เนื่องจากพบดีเอ็นเอของอามีนาในห้องของผู้ตาย อัยการจึงตั้งข้อสันนิษฐานแรงจูงใจว่า “ผู้ตายเป็นแฟนของสเตลล่า และอามีนาเกิดติดพันกับแฟนหนุ่มของเพื่อนสนิท ทำให้สเตลล่าใช้มีดแทงเขาไม่ยั้งด้วยความหึงหวง”
หลักฐานอีกอย่างที่สำคัญคือ พบสเปรย์พริกไทยในดวงตาของผู้ตาย ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับที่สเตลล่าพกติดตัวเป็นประจำ และตำรวจก็พบสเปรย์ขวดนั้นในวันที่เธอถูกควบคุมตัว
อย่างไรก็ตาม มีเกล ในฐานะทนายจำเลยมองว่าหลักฐานที่ตำรวจมียังอ่อน เพราะไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ให้ปราศจากข้อสงสัยว่า สเตลล่าเป็นฆาตกร หลักฐานที่ตำรวจมีเป็นเพียงหลักฐานที่บอกว่า เธออยู่บริเวณใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นสวนสาธารณะ
หลักฐานที่ยังขาดไปในคดีนี้คือ มีดที่ใช้เป็นอาวุธสังหาร และเสื้อผ้าในสเตลล่าใส่ในวันเกิดเหตุ รวมถึงโทรศัพท์มือถือ ซึ่งแม่ทำลายหลักฐานทั้งสามชิ้นนี้ไปแล้ว
ภาพความจริง
ความจริงคืออะไร ? เกิดอะไรขึ้นในคืนนั้น ?
สเตลล่ากับอามีนานัดไปเที่ยวคลับแห่งหนึ่ง ระหว่างนั้น สเตลล่าเจอกับชายหนุ่มรถพอร์ช เธอจึงทักเขา และขอเขาติดรถไปเที่ยวต่อ จากนั้นทั้งสองก็ค่อย ๆ ทำความรู้จักกัน คบกัน มีความสัมพันธ์กัน
คริส หนุ่มอายุ 32 แก่กว่าสเตลล่าถึงสิบสามปี เขาร่ำรวยมาจากคริปโต ความสัมพันธ์ของคริสกับสเตลล่าดำเนินไปด้วยดี จนกระทั่ง ลินดา แฟนเก่าของคริสมาหาสเตลล่า เพื่อเตือนให้ระวัง เพราะคริสมีเป็นคนอารมณ์ไม่ปกติ ที่สำคัญคือ “ชอบแอบวางยาผู้หญิง”
ตอนแรก สเตลล่าไม่เชื่อที่ลินดาพูด แต่เมื่อคบกับคริสไประยะหนึ่ง เธอก็เริ่มเห็นอารมณ์ที่แปรปรวน อีกทั้งยังสังเกตเห็นรสนิยมทางเพศแปลก ๆ ของเขา ทำให้เธอเริ่มระแวง และพยายามตีตัวออกห่างคริส
โทร. ไม่รับสาย ไม่ติดต่อ คริสจึงเข้าหาสเตลล่าที่บ้าน เขาชวนเธอไปเที่ยวกัน แต่สเตลล่าบอกว่าเธอนัดอามีนาเอาไว้แล้ว
คริสไปที่คลับเพื่อเจอกับอามีนา แล้วเขาก็แอบวางยาเธอ อามีนาเดินโซซัดโซเซเหมือนคนเมาออกมาจากคลับ ระหว่างทาง คริสจึงฉวยโอกาสดึงเธอขึ้นรถแล้วพาไปที่อพาร์ตเมนต์ จากนั้นก็ทำการล่วงละเมิด ขณะที่อามีนายังอยู่ในอาการเมาจากฤทธิ์ยา
สเตลล่าไปที่คลับตามนัดแต่ไม่เจออามีนา เธอตามหาจนทั่วก็ไม่เจอ โทร. ไปก็ติดต่อไม่ได้ แถมข้อความสุดท้ายที่อามีนาพิมพ์หาก็ใช้ภาษาแปลก ๆ เหมือนไม่ใช่ตัวอามีนาเป็นคนพิมพ์ สุดท้าย สเตลล่าจึงไปหาคริสที่อพาร์ตเมนต์ เธอพยายามเคาะประตูเรียก แต่ก็ไม่มีใครเปิด เธอจึงตัดสินใจปีนเข้าไปทางระเบียง เมื่อเข้าไปเธอก็เห็นคริสกำลังล่วงละเมิดอามีนา เธอจึงใช้สเปรย์พริกไทยฉีดเข้าไปที่ตาของคริส และพาอามีนาหนี
คริสหยิบมีดและวิ่งตาม จนไปสะดุดล้มที่สวนสาธารณะ สเตลล่าเห็นคริสล้ม เธอจึงหยุดวิ่ง และเดินกลับไปหยิบมีดเล่มนั้นแทงคริสไม่ยั้งจนถึงแก่ความตาย สายตาของสเตลล่าขณะที่ตัดสินใจทำแบบนั้น เป็นสายตาเลือดเย็นที่คุกรุ่นไปด้วยความโกรธแค้น
Freeze Response
ทีนี้ ขณะที่สเตลล่าถูกคุมขังระหว่างรอการพิจารณาคดี เธอถูกพาตัวไปพูดคุยกับนักจิตวิทยา ในที่สุด เธอก็เล่าเรื่องเหตุการณ์ที่ถูกล่วงละเมิดตอนอายุสิบห้า นักจิตวิทยารู้ในทันทีว่า เป็นปมที่ติดค้างในหัวใจของสเตลล่ามาตลอด เพราะเธอรู้สึกว่ามันเป็นความผิดของเธอ นักจิตวิทยาจึงชี้ให้สเตลล่าได้เห็นว่า “การที่เหยื่อนิ่งเฉยไม่ตอบโต้ถือเป็นเรื่องปกติ” เป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง ที่คนเราจะแสดงออกมาขณะถูกทำร้าย หรือที่เรียกว่า Freeze response ซึ่งเป็นอาการตอบสนองต่อความเครียดอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะตอนนั้นสเตลล่าอายุเพียงสิบห้า จึงไม่ใช่เรื่องแปลก และถือเป็นเรื่องปกติมาก ๆ
ที่สำคัญ นักจิตวิทยาชี้ให้สเตลล่าเข้าใจว่า มันไม่ใช่ความผิดของเหยื่อที่ไม่ขัดขืนขณะถูกกระทำ
นักจิตวิทยาสามารถคลายปมในใจของสเตลล่าที่ติดอยู่มานานหลายปีได้สำเร็จ เธอรู้แล้วว่า เหตุการณ์ครั้งนั้นไม่ใช่ความผิดของเธอ
คำพิพากษา
แม่ไปหาอามีนาเพื่อถามหาความจริง ตอนแรกอามีนาปิดปากเงียบไม่พูด เพราะคิดว่าเป็นวิธีที่จะช่วยสเตลล่าได้ แต่ท้ายที่สุด อามีนาก็ยอมเล่าความจริงทั้งหมด แม่จึงบอกกับอามีนาให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ จนถึงวันพิจารณาคดี
อามีนาบอกที่ซ่อนมีดที่ใช้เป็นอาวุธสังหาร ซึ่งต่อมาแม่ก็เอามีดเล่มนั้นไปทำลายหลักฐาน
การพิจารณาคดีเริ่มต้นขึ้น หลักฐานที่ทางอัยการมีบ่งชี้ชัดเจนว่า สเตลล่ากับอามีนาอยู่ในที่เกิดเหตุ และสเปรย์พริกไทยที่พบในตาของผู้ตายก็ยืนยันเช่นนั้น เพียงแต่อัยการไม่มีหลักฐานที่ทำให้ศาลเชื่อโดยปราศจากข้อสงสัยว่า สเตลล่าเป็นฆาตกร
ประจักษ์พยานได้ยินแค่เสียง ไม่ได้เห็นเหตุการณ์ ที่สำคัญคือไม่มีอาวุธสังหาร ศาลจึงพิพากษายกฟ้อง โดยยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยพ้นความผิด
ขณะที่ศาลยกฟ้อง สเตลล่าตกใจมาก เธอไม่คิดมาก่อนว่าหลักฐานต่าง ๆ จะหายไปได้ ทั้งที่เธอไม่ได้ทำอะไรเลย
จบบริบูรณ์
- ดู A Nearly Normal Family ที่ Netflix >>> คลิกที่นี่