Skip to content
สรุปเนื้อเรื่อง Leave the World Behind (2023)

สรุปเนื้อเรื่อง Leave the World Behind (2023)

แนว : ดราม่า ระทึกขวัญ
ผู้กำกับฯ : แซม เอสเมล (ซีรีส์ Mr. Robot)
คนเขียนบท : แซม เอสเมล
ความยาว : 140 นาที
สตรีมมิ่ง : Netflix
คะแนนรีวิว : 7/10
IMDb : 6.5
RT : 75% | 34%

ทิ้งโลกไว้เบื้องหลัง

เรื่องราวเริ่มต้นที่อพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในบรูคลิน นิวยอร์ก … อแมนด้า (จูเลีย โรเบิร์ตส์) กำลังเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทาง ปลุกให้ เคลย์ (อีธาน ฮอว์ค) ตื่นขึ้นแต่เช้า

“นี่คุณกำลังทำอะไร ?” เคลย์ถามภรรยาทั้งที่ยังงัวเงียอยู่บนเตียง

อแมนด้ายังคงเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทาง ในขณะที่ปากก็พูดถึงความเครียดที่เกิดจากการทำงาน ผู้คนที่ใส่หน้ากากเข้าหากัน “ฉันโคตรจะเกลียดคนเลย !” เธอบอกสามีว่าวันนี้จะไม่ไปทำงาน และทุกคนในครอบครัวจะไปพักร้อนกัน

อแมนด้าเช่าบ้านหรูใกล้ชายหาดแถวลองไอแลนด์ มันระบุเอาไว้ในประกาศของรายการบ้านเช่าว่า “ทิ้งโลกไว้เบื้องหลัง” (Leave the world behind) เธอถูกใจทันทีที่ได้เห็น มันอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ไม่ไกลเมืองมาก ที่สำคัญคือมันอยู่ห่างไกลจากผู้คน

เคลย์ขับรถ Jeep เอสยูวีพาอแมนด้า และลูก ๆ ทั้งสองไปยังจุดหมาย ลูกชายคนโตวัย 16 ปี ชื่อ อาร์ชี่ (ชาร์ลี เอแวนส์) เป็นวัยรุ่นติดเกม ส่วนลูกสาวคนเล็กวัย 13 ปี ชื่อ โรส (แฟร์ราห์ แมคเคนซี) เธอติดซีรีส์ Friends มาก ๆ เป็นซีรีส์ที่จุดประกายความฝันในวัยเด็กให้กับเธอ ซึ่งเธอเปิดดูบนไอแพดมาตลอดทาง จนเมื่อใกล้ถึง สัญญาณอินเตอร์เน็ตก็ขัดข้องทำให้ดูต่อไม่ได้

เมื่อทั้งสี่มาถึง มันเป็นเหมือนโลกใบใหม่อย่างแท้จริง บ้านใหญ่ที่ถูกตกแต่งเป็นอย่างดี มีเนื้อที่ใช้สอยมากมาย มีสระว่ายน้ำส่วนตัว ห่างไกลผู้คน เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไปหลายกิโลฯ และยังอยู่ไม่ไกลจากชายหาด มันเป็นการเริ่มต้นช่วงพักร้อนที่เพอร์เฟ็กต์

เรือบรรทุกน้ำมัน

หลังจัดแจงอะไรเรียบร้อย บ่ายวันนั้น ทั้งสี่ก็พากันไปที่ชายหาด อแมนด้ารู้สึกดีมากที่มีผู้คนไม่เยอะ แทบจะเป็นชายหาดส่วนตัวเลยก็ว่าได้

ระหว่างนั้น โรสก็สังเกตเห็นเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่ค่อย ๆ พุ่งตรงมายังชายหาด ตอนแรกพวกเขาก็ไม่คิดอะไร แต่เมื่อมันใกล้เข้ามาโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ผู้คนก็พากันวิ่งหนี แล้วเรือลำนั้นก็พุ่งขึ้นเกยชายหาด … เคลย์เข้าไปถามเจ้าหน้าที่ว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าหน้าที่บอกเพียงว่า อาจเป็นเพราะระบบนำทางบนเรือทำงานผิดพลาด !?

เมื่อกลับมาถึงบ้าน อแมนด้าเปิดแมคบุ๊กเช็กข่าวในอินเทอร์เน็ต แต่ปรากฏว่าอินเทอร์เน็ตล่ม โนไวไฟ โนห้าจี โทรศัพท์ก็ใช้การไม่ได้ และทีวีก็ไม่มีสัญญาณ แต่อย่างน้อยก็มีสิ่งที่ทำให้อแมนด้ายิ้มได้ เธอเห็นแม่กวางกับลูกกวางยืนอยู่ที่สวนหลังบ้าน เธอรู้สึกว่ามันเป็นสัญลักษณ์ที่บอกว่า สิ่งดี ๆ กำลังจะเกิดขึ้น (แต่มันจะใช่อย่างนั้นหรือเปล่านะ ?)

แขกไม่ได้รับเชิญ

เกือบเที่ยงคืน ระหว่างอแมนด้ากับเคลย์กำลังนั่งดื่มไวน์กันอย่างมีความสุข เสียงคนเคาะประตูก็ดังขึ้น ชายผิวดำแต่งตัวด้วยชุดทักซิโด้ ท่าทางสุภาพ ยืนอยู่หน้าประตูพร้อมด้วยลูกสาววัยรุ่น เขาแนะนำตัวเองว่าชื่อ จอร์จ (มาเฮอร์ชาลา อาลี) ส่วนลูกสาวเขาชื่อ รูธ (ไมฮาลา) เขาเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ และมาขออาศัยอยู่ที่ชั้นใต้ดิน เนื่องจากอพาร์ตเมนต์ของเขาเกิดไฟดับ

เคลย์ดูจะไม่มีปัญหาอะไร ตรงกันข้ามกับอแมนด้าที่แสดงท่าทางไม่พอใจออกมาชัดเจน เธอถึงกับใช้คำพูดออกแนวเหยียด ๆ ใส่จอร์จ ทำนองว่าเขาน่ะเหรอจะเป็นเจ้าของบ้านหรูหลังนี้ อีกทั้งเหตุผลที่จอร์จอ้างว่าอพาร์ตเมนต์ไฟดับ ก็เป็นเหตุผลที่ฟังดูไม่น่าเชื่อ

จอร์จจึงใช้กุญแจไขตู้เก็บของในบ้าน แล้วหยิบเงินสดออกมา 1,000 ดอลลาร์ยื่นให้ ถือเป็นค่าเช่าห้องใต้ดินให้เขากับลูกได้นอนในคืนนี้ ณ จุดนี้ อแมนด้ายอมให้เขากับลูกนอนพักที่ห้องใต้ดิน แม้จะไม่เต็มใจก็ตาม

จอร์จทำคอกเทลให้เคลย์ดื่ม เขาได้เล่าที่มาของบ้านหลังนี้ให้เคลย์และอแมนด้าฟัง

ระหว่างนั้น รูธเดินไปเปิดทีวี ปรากฏว่าทุกช่องขึ้นข้อความเตือนภัยฉุกเฉิน “นี่คือภาวะฉุกเฉินระดับชาติ สถานีวิทยุและโทรทัศน์ทุกสถานีจะหยุดออกอากาศ ระหว่างการแจ้งเตือนนี้” เมื่อเห็นแบบนั้น ทุกคนจึงตกลงกันว่าพรุ่งนี้ค่อยมาหาคำตอบกันว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ก่อนนอนคืนนั้น อแมนด้าก็ยังบ่นกับเคลย์ไม่หยุดเรื่องที่เธอไม่เชื่อว่า จอร์จเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ พร้อมกับยกข้อสงสัยร้อยแปดขึ้นมา ตรงกันข้ามกับเคลย์ที่ไม่สงสัยในตัวจอร์จกับรูธเลยแม้แต่นิดเดียว อแมนด้าผล็อยหลับไปพร้อมกับความสงสัย

แล้วกลางดึกคืนนั้น ขณะที่ทุกคนกำลังหลับ ข่าวทีวีช่อง CNN ได้รายงานสั้น ๆ แวบหนึ่งว่า “เกิดเหตุการโจตีทางไซเบอร์ทั่วสหรัฐอเมริกา !?”

เลิฟยูบั๊ก

อแมนด้าถูกโรสปลุกให้ตื่นแต่เช้า เธอบอกปัญหากับแม่ เธอดูซีรีส์ Friends ตอนจบไม่ได้ เพราะไอแพดไม่มีอินเทอร์เน็ต อแมนด้าถึงกับเอือมที่เห็นลูกสาวจริงจังกับซีรีส์ จึงพูดให้โรสรอจนกว่าพ่อจะตื่น … คำพูดของอแมนด้ายิ่งตอกย้ำให้โรสรู้สึกว่า พ่อแม่ไม่สนใจสิ่งที่เธอคิดเลยสักนิด และมองว่าความคิดของเธอเป็นเรื่องไร้สาระ

อแมนด้าเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วก็เห็นข้อความที่ส่งจากสำนักข่าว “มีรายงานว่าแฮกเกอร์อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ไฟฟ้าดับ” แต่ไม่กี่วินาทีต่อมา ข้อความเหล่านั้นก็หายไป เธอรีบปลุกเคลย์ เขาจึงบอกให้เธอใจเย็น และเขาจะขับรถไปในเมืองเพื่อถามใครสักคนที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

เมื่อเห็นพ่อตื่น โรสรีบจูงมือพ่อให้ไปแก้ไขอินเทอร์เน็ต หรือไม่ก็จัดการกับทีวีให้หน่อย เพราะเธออยากดูซีรีส์ Friends ตอนจบ แต่ดูเหมือนคำขอร้องของเธอจะไม่มีใครแคร์ โรสจึงออกมานั่งเล่นที่สระว่ายน้ำอย่างเซ็ง ๆ ระหว่างนั้นเธอก็เห็นกวางนับร้อย ๆ ตัว ยืนออกันอยู่ที่สวนหลังบ้าน โรสมองพวกมันด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะค่อย ๆ เดินเข้าไปจ้องมองพวกมันใกล้ ๆ

ช่วงเช้าของวันนั้น อแมนด้าเล่าเรื่องข้อความให้จอร์จฟัง สีหน้าของเขาดูวิตกกังวล แต่เขากลับใช้คำพูดกลบเกลื่อน “ผมว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตหรอก คงเหมือนกับ ‘เลิฟยูบั๊ก’ นั่นแหละ”

อแมนด้าไม่เข้าใจว่า ‘เลิฟยูบั๊ก’ คืออะไร ? จอร์จจึงอธิบายว่า มันคือไวรัสคอมพิวเตอร์ที่เกิดขึ้นในปี 2000 เมื่อคนที่ได้รับอีเมลหัวข้อ ‘ฉันรักคุณ’ คลิกไฟล์ที่แนบมา ไวรัสจะส่งต่อไปให้ทุกคนที่อยู่ในสมุดรายชื่อ ทำให้เกิดความเสียหายทางธุรกิจหลายพันล้านดอลลาร์ และคนที่ทำเป็นแค่เด็กวัยรุ่นสองคนในฟิลิปปินส์ … รูธที่นั่งฟังอยู่ด้วย ถึงกับเบ้ปากมองบนแล้วเดินออกไป เธอเชื่อว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นการก่อการร้ายระดับโลก ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่เกิดจากเด็กน้อยสองคนอย่างที่พ่อบอกแน่นอน

จากนั้น จอร์จก็มาปลอบรูธ โดยบอกว่าแม่ต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน ซึ่งภรรยาของเขาเดินทางไปทำงานต่างประเทศ และกำลังนั่งเครื่องบินกลับขณะเกิดเหตุการณ์แปลก ๆ พอดี ทำให้เขาและรูธอดเป็นห่วงไม่ได้

ต่อมา รูธก็เข้าห้องไปเปลี่ยนชุดว่ายน้ำทูพีซมานอนอาบแดดริมสระ อาร์ชี่เห็นก็เกิด ‘ความสนใจบางอย่าง’ เขาจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแอบถ่ายภาพเอาไว้

ความตายสำหรับอเมริกา

โรสยังคงสงสัยเรื่องฝูงกวาง ทำให้เธอตัดสินใจเดินเข้าไปในป่าเพื่อหาคำตอบ อาร์ชี่จึงต้องเดินทางโรสไปด้วยความเป็นห่วง โรสไปเจอบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีกวางวิ่งไปวิ่งมาอยู่ เธอมองด้วยความสนใจ อาร์ชี่จึงบอกน้องสาวให้รีบกลับบ้าน และอย่าไปสนใจกวางอะไรนั่นเลย

ด้านจอร์จก็ขับรถออกไปหาเพื่อนบ้าน แต่เมื่อมาถึง ภาพที่เห็นคือบ้านเละเทะ ข้าวของกระจัดกระจายเต็มไปหมด เขาเดินเข้าไปหยิบโทรศัพท์ผ่านดาวเทียม แต่ปรากฏว่ามันใช้งานไม่ได้ เขาหน้าถอดสีทันที ทางเดียวที่จะทำให้โทรศัพท์ผ่านดาวเทียมใช้ไม่ได้คือ ดาวเทียมต้องเกิดปัญหา ถ้าดาวเทียมเกิดปัญหา นั่นก็หมายความว่าระบบการสื่อสารต่าง ๆ ล่มสลายไปหมดแล้ว

จอร์จเดินสำรวจที่ชายหาด เขาพบคนตายเป็นจำนวนมาก มีซากเครื่องบินที่ได้รับความเสียหายอยู่ไม่ไกล อีกไม่กี่นาทีต่อมา เครื่องบินอีกลำก็ร่วงจากท้องฟ้า พุ่งตรงมาที่ชายหาดบริเวณเดียวกับที่เขายืนอยู่ เขารีบวิ่งหนีเข้าไปหลบในบ้าน รอดตายอย่างหวุดหวิด

เมื่อกลับมาถึงบ้าน จอร์จเล่าเรื่องที่เขาเจอให้อแมนด้าฟัง แล้วจู่ ๆ ก็เกิดเสียงคล้ายระเบิดก็ดังขึ้น ไม่นานนักก็เกิดเสียงแหลมดังลั่นบาดหู แทบจะทำแก้วหูแตก จนทุกคนต้องเอามืออุดหู เสียงความถี่สูงรุนแรงขนาดทำให้กระจกร้าว เสียงดังต่อเนื่องหลายนาทีก่อนที่จะหยุด

ไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นเสียงของอะไร แต่อาร์ชี่เดาว่ามันคือ ‘โซบิกบูม’ ที่เกิดจากเครื่องบินที่บินเร็วกว่าเสียง (แต่มันจะใช่หรือเปล่านะ ?)

ส่วนเคลย์ก็ขับรถออกไปในเมืองเพื่อหาข้อมูลว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ดูเหมือนว่าเขากำลังหลงทาง จีพีเอสก็ใช้ไม่ได้ และตามถนนไม่มีป้ายบอกทาง ขับไปเรื่อย ๆ เขาก็ไปเจอกับหญิงยืนโบกรถอยู่ข้างทาง เคลย์จอดและลดกระจกลง หญิงคนนั้นพูดภาษาสเปนใส่ด้วยสีหน้าตื่นกลัวอะไรบางอย่าง แต่เขาไม่เข้าใจสิ่งที่เธอพูดเลยสักนิด เขาจึงตัดสินใจปิดกระจกแล้วขับรถออกไป … นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะ !?

เคลย์ขับต่อไปไม่ไกล ก็เจอกับวัตถุบางอย่างคล้ายโดรนกำลังพุ่งขึ้นไปบนอากาศ พร้อมกับโปรยใบปลิวสีแดงจำนวนมากออกมา ด้วยความตกใจ เขาจึงรีบหันหัวรถกลับเหยียบคันเร่งหนีสุดกำลัง

เมื่อขับกลับมาถึงบ้าน ใบปลิวจำนวนหนึ่งติดมากับรถ เคลย์หยิบมาดูก็พบว่ามันเป็นข้อความภาษาอาหรับ อาร์ชี่เห็นข้อความนั้นจึงรู้ในทันทีว่ามันหมายถึง “ความตายสำหรับอเมริกา” เพราะเป็นข้อความเดียวกับในเกมที่เขาเล่น

นกฟลามิงโก้

ถึงตอนนี้ อแมนด้าตัดสินใจจะหนีไปจากที่นี่ เธอคิดว่าที่นี่ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป จุดหมายคือบ้านพี่สาวที่นิวเจอร์ซีย์ จอร์จจึงบอกเส้นทางที่จะออกไปจากที่นี่ที่มีอยู่ทางเดียวกับเคลย์ แล้วทั้งสี่ก็พากันนั่งรถจี๊บเอสยูวีออกไป

เมื่อขับออกไปได้ไม่ไกล เคลย์ก็เห็นรถเทสล่าโมเดล 3 สีขาว จอดเรียงขวางถนนยาวเหยียด อแมนด้าจึงลงจากรถเดินไปดู ไม่มีคนอยู่เลย เธอมองเข้าไปที่หน้าจอบนรถเทสล่า มีข้อความขึ้นว่ากำลังอยู่ในโหมดขับขี่อัตโนมัติ ไม่นานนัก รถเทสล่าอีกหลายคันก็ขับพุ่งมาด้วยความเร็ว อแมนด้ารีบกลับขึ้นรถด้วยความตกใจ

ทั้งสี่กลับมาที่บ้านอีกครั้ง จอร์จสันนิษฐานว่า แฮกเกอร์แฮกเข้าระบบของเทสล่า แล้วสั่งให้รถขับออกมาจากโชว์รูมไปขวางถนน เท่ากับว่า ถนนทุกสายตอนนี้กลายเป็นอัมพาต เพราะมีรถเทสล่าไปจอดขวาง

คืนนั้น โรสนอนหลับคาไอแพด รอสัญญาณอินเทอร์เน็ตเพื่อดู ‘Friends’ ตอนจบ ส่วนอาร์ชี่ก็เอารูปแอบถ่ายของรูธขึ้นมา ‘ทำอะไรบางอย่าง’ บนเตียง

ในขณะที่ รูธชวนเคลย์ไปดูดปุ๊นที่ริมสระ ส่วนอแมนด้าก็นั่งดื่มกับจอร์จอยู่ในบ้าน ระหว่างนั้น จอร์จก็เล่าเรื่องที่เขาได้ยินจากเพื่อนที่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในเพนตากอน ที่ได้คุยกับพวกชั่วที่มีอำนาจควบคุมโลก หลังจากนั้น เพื่อนคนนั้นก็เคลื่อนย้ายทรัพย์สินทั้งหมดออกนอกประเทศ … พูดง่าย ๆ คือ จอร์จพยายามบอกอแมนด้าว่า มีพวกชั่วที่มีอำนาจควบคุมโลกกำลังทำเรื่องชั่วร้าย ที่ไม่มีใครสามารถควบคุมได้ แม้แต่คนที่มีอำนาจระดับโลกก็เลือกที่จะหนี

อแมนด้าตอนนี้รู้สึกดีกับจอร์จ เพราะเขามีน้ำใจให้เธอและครอบครัวกลับเข้ามาอยู่ด้วย เธอขอโทษที่ก่อนหน้านี้พูดจาไม่ดีใส่เขา ดื่มไปดื่มมา ทั้งสองก็เข้าไปเต้นรำกันในห้อง แต่ก่อนที่อะไรจะเกิดขึ้น อแมนด้าโผเข้าไปสวมกอดจอร์จ แล้วพูดขึ้นว่า “เราไม่น่าทำแบบนี้เลย ฉันมีครอบครัวแล้ว”

ส่วนรูธกับเคลย์ที่กำลังนอนดูดปุ๊นคุยกันอยู่ริมสระ จู่ ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น เมื่อมีเหล่านกฟลามิโก้ลงมาเล่นน้ำในสระ

แล้วจู่ ๆ เสียงดังบาดหูก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง รูธกับเคลย์ทรุดตัวเอามือปิดหู เสียงของมันทำเอาหูแทบแตก มันดังขนาดทำจอไอแพดร้าว

กวาง

รุ่งเช้าอีกวัน อาร์ชี่รู้สึกไม่สบาย เขาลุกขึ้นจากที่นอนแล้วรู้สึกแปลก ๆ กับฟันตัวเอง เขาจึงอ้าปากแล้วใช้มือจับฟัน ปรากฏว่าฟันหลุดติดมือออกมาอย่างง่ายดาย เขาทำแบบนั้นกับฟันสามสี่ซี่ อแมนด้าเห็นก็ตกใจโวยวายออกมา จะพาไปหาหมอก็ไปไม่ได้ เพราะถนนที่จะออกไปจากเมืองถูกตัดขาด

ไม่เท่านั้น โรสหายตัวไปจากบ้านอีกคน ทุกคนช่วยกันออกไปหาทั่วบริเวณบ้านก็ไม่เจอ แต่รูธสังเกตเห็นจักรยานในโรงรถหายไป เป็นไปได้ว่า โรสใช้มันขี่ออกไป

ทีนี้ ทั้งหมดจึงตกลงกัน จอร์จกับเคลย์จะพาอาร์ชี่ไปขอความช่วยเหลือกับเพื่อนบ้านที่ชื่อ แดนนี่ (เควิน เบคอน) ส่วนอแมนด้ากับรูธจะไปตามหาโรส

อแมนด้าเดินมาเจอบ้านหลังที่โรสเดินมาเจอเมื่อวาน เวลาเดียวกัน รูธกลับถูกล้อมด้วยฝูงกวางจำนวนมาก พวกกวางยืนนิ่งมองดูรูธ จากกวางที่ดูเป็นสัตว์ไม่น่ากลัว แต่เมื่อมันรวมตัวกันเป็นจำนวนมากมันก็ดูน่ากลัวไม่น้อย อแมนด้ารีบเดินไปหารูธ แล้วทำร้องโวยวายวี้ดว้ายออกมา ในที่สุด กวางเหล่านั้นก็วิ่งหนีไป

ทฤษฎีสมคบคิด

ด้านจอร์จกับเคลย์ก็มาที่บ้านแดนนี่ แต่ดูเหมือนแดนนี่จะไม่ต้องการต้อนรับแขกในเวลานี้ เขาถือปืนลูกซองสไลด์ห้านัดออกมายืนจังก้า แล้วสั่งให้จอร์จถอยหลังออกไปจากบริเวณบ้านของเขา จากนั้นก็ไล่ทั้งสองคนให้กลับไปซะ

เคลย์พยายามอธิบายเรื่องอาการป่วยของอาร์ชี่ ที่เขามาที่นี่ก็เพื่อต้องการยา เพราะอยู่ดี ๆ ลูกชายของเขาก็เกิดฟันร่วงอย่างไม่รู้สาเหตุ … แดนนี่ที่เป็นเชื่อในเรื่องทฤษฎีสมคบคิดก็อธิบายว่า ฟันร่วงเป็นอาการแปลก ๆ ที่เคยเกิดขึ้นที่คิวบา เกิดจากอาวุธคลื่นไมโครเวฟ ที่ผลิตคลื่นรังสีออกมาผ่านเสียง ซึ่งทำให้บางคนฟันร่วง แดนนี่ยังบอกด้วยว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้มันคือสงคราม

แดนนี่ยืนยันที่จะไม่ให้ความช่วยเหลือใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะสิ่งที่เขาต้องทำในเวลานี้คือการปกป้องตัวเอง จอร์จไม่เห็นด้วย เขาจะไม่ยอมไปไหนทั้งนั้นถ้าไม่ได้ยากลับไป ตอนนี้ ทั้งสองยกปืนขึ้นมาประจันหน้ากัน เคลย์เข้าไปห้ามโดยเข้าไปยืนตรงกลางระหว่างปืนสองกระบอก เขาร้องไห้ทั้งน้ำตาเพื่อขอให้แดนนี่ช่วยเหลือลูกชายของเขา ในที่สุด แดนนี่ก็ยอมใจอ่อน มอบยาให้

และก่อนที่เคลย์กับจอร์จจะกลับ แดนนี่ได้บอกว่า เกาหลี (เหนือ) หรือไม่ก็จีน ที่อยู่เบื้องหลังสิ่งที่เกิดขึ้น … เคลย์เอาใบปลิวข้อความ ‘ความตายสำหรับอเมริกา’ ภาษาอาหรับยื่นให้แดนนี่ดู เคลย์คิดว่าน่าจะเป็นฝีมือพวกอิหร่าน

แดนนี่หยิบใบปลิวมาดูแล้วก็ยิ้มออกมา ก่อนที่จะบอกว่า ก่อนอินเทอร์เน็ตจะถูกตัด เขาได้ข้อมูลจากเพื่อนที่อยู่ต่างรัฐได้ใบปลิวเขียนข้อความเป็นภาษาเกาหลี (หรือภาษาจีน) “เราสร้างศัตรูเอาไว้ทั่วโลก บางที่พวกมันอาจจะรวมหัวกันก็ได้ ใครจะไปรู้”

รัฐประหารและสงครามกลางเมือง

พอขึ้นมาบนรถ จอร์จก็สีหน้าวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นเขาก็เล่าความจริงออกมา เขามีลูกค้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในเพนตากอน มีโปรแกรมหนึ่งเรียกว่า การซ้อมรบที่สามารถโค่นล้มรัฐบาลได้จากภายใน มันมีสามขั้นตอน …

ขั้นแรกคือการปิดหูปิดตา ตัดการสื่อสารและการขนส่ง ทำให้เป้าหมายขาดข้อมูลให้ได้มากที่สุด เพื่อก้าวสู่ขั้นต่อไป นั่นคือทำให้เกิดความวุ่นวายอย่างต่อเนื่อง โจมตีด้วยเฟกนิวส์และข้อมูลลวง เมื่อถึงตอนนั้น จะไม่มีใครรู้แน่ว่าศัตรูที่แท้จริงคือใคร ทำให้ประชาชนลงมือต่อสู้กันเอง ถ้าสองขั้นแรกสำเร็จ ขั้นที่สามจะเกิดขึ้นมาเองนั่นคือ ‘รัฐประหาร’ และ ‘สงครามกลางเมือง’ ! ซึ่งนำไปสู่การล่มสลาย

พูดง่าย ๆ คือ ทำให้ไม่รู้ว่าศัตรูที่แท้จริงคือใคร เมื่อไม่รู้ว่าศัตรูคือใคร ทุกคนก็จะหันมาต่อสู้กันเองจนเกิดความวุ่นวายกลายเป็นสงครามกลางเมืองในที่สุด

ซึ่งดูเหมือนว่าสิ่งที่จอร์จพูดจะเป็นความจริง เมื่ออแมนด้ากับรูธเห็นภาพการต่อสู้ และแรงระเบิดอันรุนแรงที่กำลังเกิดขึ้นในเมือง

เฟรนส์ตอนจบ

แต่ท่ามกลางความฉิบหาย คนเดียวที่ดูเหมือนไม่แยแสกับสิ่งที่เกิดขึ้นแม้แต่นิดเดียว นั่นก็คือ โรส

เวลานี้โรสขี่จักรยานเข้ามาในบ้านหลังนั้น เธอค่อย ๆ เดินเข้าไปในห้องนิรภัยชั้นใต้ดิน ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดนี้โดยเฉพาะ เมื่อโรสเปิดสวิตช์ ทุกอย่างภายในห้องก็ทำงาน ภายในมีทุกอย่าง ของกิน ผักสด วิทยุคลื่นสั้น และระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีข้อความแจ้งเตือนขึ้นมาว่า …

“ภาวะฉุกเฉิน ทำเนียบขาวและเมืองใหญ่กำลังถูกโจมตีโดยกองกำลังกบฎ และตรวจพบระดับรังสีที่สูงขึ้น หาที่หลบภัยทันที”

แต่ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร สิ่งเดียวที๋โรสสนใจในตอนนี้คือชั้นเก็บดีวีดีจำนวนมาก และสุดท้ายโรสก็ได้ดูซีรีส์ Friends ตอนจบได้อย่างที่ใจปรารถนา

แล้วเรื่องราวก็จบลงด้วยรอยยิ้มของโรสนั่นเอง

จบบริบูรณ์

ดู Leave the World Behind ที่ Netflix >>> คลิกที่นี่