Skip to content
ซีรีส์ Our Blooming Youth (2023) วัยเยาว์ที่ผลิบาน

สรุปเนื้อเรื่องซีรีส์ Our Blooming Youth (2023) วัยเยาว์ที่ผลิบาน

Our Blooming Youth สปอยล์ : เรื่องราวขององค์รัชทายาทที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับคำสาปอันดำมืด และหญิงสาวที่ถูกทางการตามล่าตัว หลังถูกกล่าวหาว่าฆ่าคนในครอบครัวตัวเอง …

EP.1 คำสาปภูตผี

มีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วทั้งวังหลวงว่า องค์รัชทายาทอีฮวาน (รับบทโดย พัคฮยองชิก) ถูกศรอาบยาพิษเข้าที่ไหล่ขณะล่าสัตว์ ทำให้แขนขวาของพระองค์ใช้การไม่ได้ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา แต่ที่น่าแปลกก็คือ พื้นที่ล่าสัตว์เป็นเขตหวงห้าม ทำให้ลือกันไปอีกว่า พระองค์ต้องคำสาปของเหล่าภูตผี เนื่องจากพระองค์วางยาพิษพระเชษฐา (พี่ชาย) เพื่อแย่งชิงตำแหน่งองค์รัชทายาท

นานวันเข้า ข่าวลือยิ่งแพร่สะพัดออกไปไกลถึงนอกวังหลวง ชาวบ้านร้านตลาดต่างลือกันให้แซด เรื่องแขนขวาขององค์รัชทายาท ทำให้เหล่าขุนนางต่างพากันกราบทูลขอฝ่าบาท ให้แต่งตั้งองค์รัชทายาทเป็นตัวแทนพระองค์ในพระราชพิธีล่าสัตว์ ที่จะมีขึ้นในอีก 15 วันข้างหน้า เพื่อเป็นการสยบข่าวลือทั้งปวงให้หมดสิ้น โดยแสดงให้เห็นว่าองค์รัชทายาทมีพระวรกายแข็งแรงสมบูรณ์

องค์รัชทายาทอีฮวานยังคงคิดถึงคืนวันนั้น คืนวันที่พระองค์ได้รับจดหมายแปลกประหลาด จดหมายที่อ้างว่าเขียนขึ้นโดยภูตผีที่มีเนื้อหาระบุว่า …

ข้าคือภูตผี เจ้าจงจำข้อความทั้งหมดนี้ให้ขึ้นใจ

  1. เจ้าจะได้เป็นองค์รัชทายาทจากการสังหารพระเชษฐา แต่เจ้าจะไม่ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์
  2. เจ้ามีแขนแต่แขนของเจ้าก็ไม่อาจใช้การได้
  3. แม้เจ้ามีขาแต่ขาของเจ้าก็ไม่อาจก้าวเดินได้
  4. เจ้าจะแก่ตัวและตายอย่างโดดเดี่ยว ไร้ซึ่งภรรยาและลูกหลาน
  5. เจ้าจะโดนสหายคนสนิทหักหลัง
  6. และจะมีผู้คนมากมายต้องมาตายเพราะความโง่เขลาของเจ้า
  7. ผู้คนจะทำทุกวิถีทางที่จะโค่นเจ้าให้ออกจากตำแหน่ง
  8. สุดท้ายเจ้าจะกลายเป็นคนบ้า ที่เร่ร่อนไปทั่วผืนพสุธาแห่งนี้
  9. ทางเดียวที่เจ้าจะแก้คำสาปนี้ได้ คือ ความตายของเจ้าเอง !

ในเวลาเดียวกัน มินแจอี (รับบทโดย จอนโซนี) หญิงสาวคู่หมั้นของพระสหายคนสนิทขององค์รัชทายาทอีฮวาน ก็ถูกทางการตั้งข้อกล่าวหาว่าเป็นผู้ลงมือฆ่ายกครัวคนในครอบครัวตัวเองโดยการวางยาพิษ เหตุเพราะเป็นชู้กับชายที่พ่อของนางเก็บมาเลี้ยง ทำให้นางต้องหนีเอาชีวิตรอดเข้าไปในป่า แต่ทหารหลวงก็ไล่ล่านางจนไปถึงขอบหน้าผา และสุดท้ายแจอีก็ตกหน้าผา ร่างกระแทกผืนน้ำอันกว้างใหญ่อย่างแรง

แจอีเอาชีวิตรอดมาได้ นางเข้าไปรักษาตัวอยู่ในถ้ำ จากนั้นก็ปลอมตัวโดยสวมใส่เครื่องแต่งกายของบุรุษ นางตั้งใจจะกลับเข้าไปพบองค์รัชทายาทเพื่อสืบหาความจริง นางเชื่อว่าเรื่องการตายของคนในครอบครัวนาง ต้องเกี่ยวข้องกับองค์รัชทายาทอย่างแน่นอน

แจอีมีสาวใช้คนสนิทชื่อ การัม (รับบทโดย พโยเยจิน) ที่คอยให้ความช่วยเหลือในการปลอมตัวเป็นทหารหลวงเข้าไปในพระราชพิธีล่าสัตว์

เมื่อวันพระราชพิธีล่าสัตว์มาถึง องค์รัชทายาทอีฮวานต้องแสดงให้ทุกคนเห็นว่า แขนขวาของพระองค์ยังใช้การได้ดีแต่ระหว่างที่พระองค์อยู่เพียงลำพังในป่า จู่ ๆ คำสาปของภูตผีก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

EP.2 กลลวงมนุษย์

ระหว่างที่องค์รัชทายาทฮวานเห็นคำสาปภูตผีปรากฏอยู่เบื้องหน้า ลูกศรปริศนาก็พุ่งตรงมายังร่างของพระองค์ ยังดีที่ได้ ฮันซองอน (รับบทโดย ยุนจงซอก) พระสหายคนสนิทช่วยเอาไว้ได้ โดยการผลักร่างของพระองค์ให้พ้นจากวิถีลูกศร

ระหว่างนั้น แจอีที่แอบอยู่ก็เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างจึงเกิดความกลัว นางจึงรีบวิ่งหนี แต่การหนีของนางกลับทำให้องค์รัชทายาทสังเกตเห็น พระองค์จึงออกไล่ตามไปจนในที่สุดก็จับตัวได้ นางรีบปฏิเสธทันทีว่าไม่ใช่คนร้ายที่ยิงลูกศรดอกนั้น จากนั้นนางก็เผยตัวตน และยืนยันว่าไม่ใช่ฆาตกรที่สังหารคนในครอบครัวตัวเอง

องค์รัชทายาทยังไม่ปักใจเชื่อ จึงสั่งให้ราชองครักษ์พาตัวนางไปเพื่อสอบปากคำต่อ โดยพระองค์ยังคงเก็บสถานะหญิงของนางไว้เป็นความลับ แม้แต่ซองอนซึ่งเป็นคู่หมั้นของนาง พระองค์ก็ไม่บอกให้รู้ (ซองอนกับแจอีไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน เห็นผ่านรูปวาดกันเท่านั้น) ดังนั้น คนอื่น ๆ จะเห็นว่านางเป็นเพียงทหารหลวงคนหนึ่งเท่านั้น

เลือด

องค์รัชทายาทล่าสัตว์ใหญ่น้อยได้มากมาย สร้างความประหลาดใจให้เหล่าขุนนางบางกลุ่ม ที่คาดว่าแขนขวาของพระองค์จะใช้การไม่ได้ เมื่อกลับมาถึงบริเวณปะรำพิธี เหล่าทหารจึงเอากวางที่พระองค์ล่ามาไปทำการถวายให้เหล่าเทพเจ้า จากนั้น พระองค์จะต้องเขียนคำอธิษฐานลงในกระดาษที่จัดเตรียมเอาไว้

ขณะที่องค์รัชทายาทกำลังใช้มือขวาหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนข้อความ พระองค์ทรงกล่าวกับเหล่าขุนนาง โดยหวังว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่พระองค์จะต้องมาพิสูจน์ว่ามือขวายังใช้การได้ปกติ แต่แล้วก็เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น จู่ ๆ ก็เลือดไหลออกมาจากมือขวา สร้างความแตกตื่นให้กับเหล่าขุนนางและทหารที่อยู่ในพิธี แต่เมื่อตรวจสอบที่มือของพระองค์แล้วกลับไม่พบรอยบาดแผลใด ๆ เลยแม้แต่นิดเดียว ทำให้ขุนนางบางคนถึงกับร้องออกมาว่าเป็นฝีมือของภูตผี !!?

อย่างไรก็ตาม องค์รัชทายาทคิดว่าอาจเป็นการกระทำของใครบางคนในหมู่ขุนนาง ที่เล่นตลก เพื่อให้พระองค์เสียหน้าต่อเหล่าทหาร แต่มันจะเป็นจริงอย่างที่พระองค์คิดหรือเปล่า ? เพราะเมื่อพระองค์สั่งให้ค้นตัวทหารทุกคนแล้ว ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใด ๆ หรือมันจะเป็นฝีมือของภูตผีจริง ๆ ?

ระหว่างเสด็จกลับวังหลวง องค์รัชทายาททรงเห็นเด็กน้อยที่มารอรับเสด็จริมทางถือดอกไม้อยู่ในมือ พระองค์จึงเรียกเด็กน้อยคนนั้น ทรงใช้มือขวาหยิบดอกไม้ที่เด็กน้อยเตรียมเอาไว้ให้และกล่าวขอบใจ … องค์รัชทายาททำเช่นนี้ก็เพื่อสื่อกับราษฎรว่า มือขวาของพระองค์ใช้การได้ปกติ อย่าได้เชื่อข่าวลือนั้นอีกเลย

สิ่งที่ร้ายกาจยิ่งกว่าภูตผี

ส่วนแจอีถูกราชองครักษ์พาตัวไปขังไว้อีกที่หนึ่ง อย่างไรก็ตาม เมื่อกลับมาถึงวังหลวง องค์รัชทายาทกลับอดคิดถึงเรื่องของแจอีไม่ได้เลย พระองค์สงสัยว่าทำไมนางถึงเลือกที่จะมาพบพระองค์ แทนที่จะไปพบซองอน ซึ่งเป็นคู่หมั้นของนาง คืนนั้น องค์รัชทายาทจึงตัดสินใจออกไปหาแจอี

แจอีบอกกับองค์รัชทายาทถึงจดหมายลับที่พ่อนางได้รับก่อนจะเสียชีวิต เป็นจดหมายที่เขียนด้วยข้อความเดียวกับที่พระองค์ได้รับ มันคือจดหมายที่ระบุว่าเป็นจดหมายจากภูตผี จากนั้น นางก็กล่าวข้อความที่เขียนในจดหมายฉบับนั้น ใช่ มันเป็นข้อความเดียวกับจดหมายที่พระองค์ได้รับเมื่อสามปีก่อน !?

“เจ้าจะได้เป็นองค์รัชทายาทจากการสังหารพระเชษฐา แต่เจ้าจะไม่ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ เจ้ามีแขนแต่แขนของเจ้า …” แจอีพูดไม่ทันจบ องค์รัชทายาทก็ปรี่เข้ามาบีบคอด้วยความโกรธ พร้อมกับบอกว่าพระองค์ไม่ได้สังหารพระเชษฐาเพื่อแย่งชิงราชบัลลังก์ ระหว่างนั้น น้ำตาก็ไหลนองแก้มของพระองค์ ดั่งว่าเป็นครั้งแรกที่พระองค์ได้ระบายความเสียใจที่เก็บไว้มานาน ความเสียใจที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนสังหารพี่ชายของตัวเอง

แจอียืนยันว่านางไม่ใช่ฆาตกรที่ฆ่าคนในครอบครัวตัวเอง และขอให้องค์รัชทายาทปล่อยนางให้ออกไปหาหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความจริง พิสูจน์ว่านางเป็นผู้บริสุทธิ์ … นางยังยืนยันหนักแน่นด้วยว่า สิ่งที่องค์รัชทายาทเจอมาเป็นกลลวง

“ภูตผีไม่มีอยู่จริงหรอกเพคะ มีแต่กลลวงของมนุษย์เท่านั้นแหละที่น่ากลัวยิ่งกว่าภูตผี” แจอีของให้องค์รัชทายาทเชื่อใจนาง และนางจะพิสูจน์กลลวงเหล่านั้นให้พระองค์เห็นเอง จากนั้น นางก็บอกว่า น้ำที่พระองค์ใช้ล้างมือก่อนเขียนคำอธิษฐานในพระราชพิธีล่าสัตว์ไม่ใช่น้ำเปล่า แต่เป็นน้ำที่ผสมสารส้มและพืชบางอย่าง ที่ทำให้เกิดเป็นสีแดงคล้ายเลือดได้ ดังนั้น มันไม่ใช่ฝีมือของภูตผีแต่เป็นฝีมือของคนที่รู้เรื่องการเขียนคำอธิษฐาน และเป็นคนที่สามารถเข้าใกล้พู่กันได้

รุ่งขึ้น ณ ท้องพระโรง องค์รัชทายาทนำเอาความรู้ที่ได้จากแจอีไปพิสูจน์ต่อพระพักตร์ฝ่าบาท และเหล่าขุนนาง สารส้มเมื่อใส่เข้าไปในน้ำที่ใช้ล้างมือ สามารถทำให้เกิดสีแดงคล้ายเลือดได้จริง ๆ … ฝ่าบาทจึงมีรับสั่งให้หาตัวคนทำมาลงโทษโดยเร็ว

ขุนนางบางส่วนปรึกษากัน บ้างก็ปักใจเชื่อว่าเป็นฝีมือของเสนาบดีฝ่ายขวา อย่างไรก็ตาม เรื่องการเมืองมันซับซ้อนไปกว่านั้น ซับซ้อนจนบางครั้งก็ไม่อาจรู้ได้แน่ชัดว่า ใครกันแน่เป็นมิตรหรือศัตรู !?

จดหมายจากภูตผี

องค์รัชทายาทเดินทางไปหาแจอีในที่คุมขัง และขอให้นางไปพิสูจน์ความบริสุทธิ์ด้วยตัวเอง เพราะพระองค์ไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกร

เมื่อได้ยินคำปฏิเสธให้ความช่วยเหลือ แจอีจึงโกรธจัด เอ่ยวาจาด่าองค์รัชทายาทด้วยคำหยาบคาย “ไอ้คนเฮงซวย ! ท่าไม่มีวันได้เป็นกษัตริย์ผู้ปราดเปรื่องได้หรอก ในเมื่อท่านยังนิสัยแบบนี้”

องค์รัชทายาทตกใจที่ได้ยินคำพูดเช่นนั้น คำพูดที่ทั้งชีวิตไม่เคยมีใครกล้าพูดกับพระองค์เลยแม้แต่ครั้งเดียว อย่างไรก็ตาม พระองค์ก็ให้หญิงสาวพูดต่อไป

“ข้าเป็นลูกสาวของอาจารย์ท่าน และอาจารย์ท่านก็ต้องมาตายเพราะท่าน ครอบครัวข้าตายเพราะท่าน เป็นเพราะท่านเพียงคนเดียว” น้ำตาของแจอีไหลออกมาไม่หยุด แล้วนางก็ขู่ว่า ถ้าพระองค์ไม่ช่วย นางจะเข้ามอบตัว และแฉเรื่องที่พระองค์ได้รับจดหมายจากภูตผีว่าเป็นเรื่องจริง องค์รัชทายาทได้ยินดังนั้นจึงรีบเข้าไปเอามืออุดปากของนาง

EP.3 ไม่ให้ใครเห็นจุดอ่อน

องค์รัชทายาทรับปากอย่างเสียไม่ได้ว่าจะช่วยแจอี พระองค์รับสั่งให้นางเข้ามาหาที่วังตะวันออกด้วยตัวเอง

จากนั้น แจอีก็อ้างว่าตัวเองเป็นขันทีใหม่ประจำวังตะวันออก หลังเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นขันทีเรียบร้อย ปัญหาต่อมาคือวังหลวงนั้นกว้างใหญ่นัก ทำให้นางเดินหลงทางอยู่ภายในวัง โชคดีที่บังเอิญเจอเข้ากับองค์หญิงฮายอน (พระขนิษฐาขององค์รัชทายาทฮวาน) ที่กำลังไปหาองค์รัชทายาทพอดี แจอีจึงขอติดตามไปด้วย ระหว่างทางองค์หญิงฮายอนก็กล่าวกับแจอีอย่างเป็นกันเองว่า ขอให้แจอีดูแลองค์รัชทายาทให้ดี

องค์รัชทายาทประหลาดใจที่เห็นแจอีมาในเครื่องแต่งกายขันที ระหว่างนั้น องค์หญิงฮายอนจึงถามชื่อของแจอี นางไม่ได้คิดเอาไว้ก่อนจึงอึ้งไปหลายวินาที ก่อนที่องค์รัชทายาทจะตอบแทนไปว่า “โกซุนดล” … ขันทีกำมะลอแจอีถึงกับทำหน้าทะเล้นออกมา แล้วพูดกับตัวเองว่าเป็นคนโง่ที่ลืมชื่อตัวเอง องค์หญิงฮายอนถึงกับหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน

เมื่อองค์หญิงฮายอนกลับไปแล้ว แจอีจึงกล่าวกับองค์รัชทายาทว่า นางต้องการลบล้างมลทินให้ตัวเอง เพื่อคนในครอบครัวของนางจะได้ไปสู่สุคติ และตัวนางเองจะได้กลับไปหาคู่หมั้นอย่างมีศักดิ์ศรี แจอีขอให้พระองค์เชื่อใจนาง เพราะท่านพ่อได้สั่งเสียนางเอาไว้ก่อนจากไปว่า “เจ้าต้องปกป้ององค์รัชทายาทเท่าชีวิต” ที่สำคัญคือ นางเชื่อว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังจดหมายจากภูตผี กับผู้ที่สังหารครอบครัวนางและโยนความผิดมาให้นางคือคนคนเดียวกัน ซึ่งนางต้องสืบให้ได้ว่ามันคือใคร

องค์รัชทายาทตัดสินใจให้โอกาสแจอีพิสูจน์ตัวเอง ด้วยการให้เวลา 10 วันในการคลี่คลายคดีฆาตกรรมสำคัญ

ระหว่างนั้น ภาพแฟลชแบ็กได้แสดงให้เห็นว่า ในอดีตแจอีมักแต่งกายเป็นชายแอบออกไปสืบคดีต่าง ๆ ที่นางคิดว่ามีผู้ได้รับความไม่เป็นธรรม คืนหนึ่ง นางถูกท่านพ่อจับได้ นางจึงบอกไปตามตรงว่า “ผู้คนยอมรับฟังแต่บุรุษเท่านั้น ถ้าข้าแต่งกายเป็นสตรี ท่านพอคิดว่าจะมีใครฟังข้าอย่างนั้นหรือ”

และสิ่งที่ผู้คนไม่รู้คือ แจอีเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการไขคดีสำคัญมากมายในโชซอน แต่ผู้คนจะเข้าใจพี่ชายของนางเป็นผู้ไขคดี เพราะนางเป็นสตรีจึงไม่สามารถเปิดเผยตัวตนได้

กษัตริย์ที่อันตรายที่สุด

ฮันซองอนได้หลักฐานบางอย่างเกี่ยวกับคดีเลือดบนคำอธิษฐานในพระราชพิธีล่าสัตว์ จึงเดินทางมาหาท่านพ่อ (เสนาบดีฝ่ายซ้าย) เพื่อสอบถาม แต่คำตอบที่ได้จากท่านพ่อกลับทำให้ฮันซองอนตกใจ …

“กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่คือผลงานของเหล่าเสนาบดี เหล่าเสนาบดีที่ถูกเลือกมาจากผู้ที่มีพรสวรรค์มากมาย แต่มีความเป็นไปได้ที่องค์รัชทายาทจะกลายเป็นกษัตริย์ที่อันตรายที่สุด เฉลียวฉลาดแต่ทะนงตน ไม่ไว้ใจข้าราชบริพาร …” ฮันซองอนตกใจที่ท่านพ่อกล่าวถึงองค์รัชทายาทเช่นนี้ “… เจ้ายังดูไม่ออกอีกเหรอว่า องค์รัชทายาทก็ไม่ไว้ใจเจ้า แม้ว่าจะเป็นถึงพระสหายคนสนิท”

ฮันซองอนเข้าใจสิ่งที่ท่านพ่อกล่าว กษัตริย์ที่ไม่ไว้ใจใครจะนำไปสู่การนองเลือด อย่างไรก็ตาม เขาเชื่อว่าตัวเองจะทำให้องค์รัชทายาทเชื่อใจเขาได้ในที่สุด

ไม่ให้ใครเห็นจุดอ่อน

ตกค่ำ องค์รัชทายาทสั่งให้แทกัง องครักษ์ประจำตัวพาขันทีแจอีไปอยู่ที่ห้องลับใต้ดิน ด้วยความที่ทั้งสองมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อนหน้านี้ แทกังจึงบันดาลโทสะบีบคอแจอีอย่างแรง และขู่ว่าถ้าทำอะไรมีพิรุธเขาจะลงดาบบั่นคอทันทีโดยไม่ลังเล

อย่างไรก็ตาม เมื่อแทกังถามองค์รัชทายาทว่าทำไมถึงไว้ใจให้ขันทีแจอีไปอยู่ที่ห้องใต้ดิน องค์รัชทายาทจึงตอบกลับไปว่า “ข้าคิดว่าเขาจะมีประโยชน์ในภายหลัง”

คืนนั้น แจอีได้เห็นข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ขององค์รัชทายาทภายในห้องลับใต้ดิน ทำให้นางรู้ว่า พระองค์ฝึก (กายภาพบำบัด) การใช้มือขวาทำกิจการต่าง ๆ ภายในห้องลับนี้ ไม่ว่าจะฝึกเขียน ฝึกยิงธนู เนื่องจากพระองค์ไม่ต้องการให้ใครเห็นจุดอ่อน พระองค์ฝึกเป็นร้อยเป็นพันรอบจนกระทั่งแขนขวากลับมาใช้งานได้เป็นปกติอีกครั้ง … แจอีรู้สึกประทับใจในความเข้มแข็งขององค์รัชทายาทเป็นอย่างมาก

แหม่ … แต่เช้าวันแรกของการเป็นขันของแจอีก็ตื่นสายเสียแล้ว นางหน้าตาตื่นแต่งตัวและรีบไปที่วังตะวันออก (คราวนี้ไม่หลงทางเพราะนางรู้แล้วว่า วังตะวันออกอยู่ทางพระอาทิตย์ขึ้น) แต่เมื่อไปถึง ขันทีและซังกุงก็ตกใจเมื่อเห็นขันทีแจอีลืมใส่ถุงเท้ามา ขันทีอีกคนจึงให้นางยืมถุงเท้าเพื่อเข้าในองค์รัชทายาท

ระหว่างที่ขันทีแจอีกำลังรับใช้องค์รัชทายาทเป็นการส่วนพระองค์อยู่นั้น นางได้ถามถึงชื่อ “โกซุนดล” ว่าเป็นใคร ? องค์รัชทายาทจึงตอบว่า “เขาอายุ 22 ปี มาจากอนยาง พ่อถูกเสือกัดตายตอนเขาอายุสามขวบ แม่ตายด้วยโรคระบาดตอนเขาอายุสี่ขวบ เขาเป็นขันทีที่หายตัวไปตอนน้ำท่วมเมื่อปีกลาย”

เมื่อได้ยินคำตอบ แจอีก็ปลื้มเป็นอย่างมากที่องค์รัชทายาทสามารถจำชื่อและประวัติของโกซุนดลได้อย่างแม่นยำ แม้จะเพียงแค่เห็นจากระเบียนเพียงครั้งเดียว

ในตอนนั้น องค์รัชทายาทจ้องหน้าแจอีแทบตาไม่กะพริบ พระองค์จำได้ว่าเคยเจอนางตอนยังเด็ก และนางก็จำพระองค์ได้เช่นกัน …

EP.4 รักแรกพบเมื่อเยาว์วัย

ย้อนเวลากลับเมื่อครั้งที่องค์รัชทายาทฮวานยังเยาว์วัย ตอนนั้นพระองค์ปีนกำแพงหวังหลวงหนีออกไปเที่ยวเล่นตามประสาเด็ก โดยมีฮันซองอนพระสหายคนสนิทติดตามไปด้วย ระหว่างทาง ฮันซองอนเจอเด็กคนหนึ่งดักปล้นจนหมดตัว ทั้งสองจึงรีบเดินทางไปบ้านอาจารย์มิน (อาจารย์ขององค์รัชทายาทฮวาน) เพื่อขอความช่วยเหลือ

เมื่อไปถึง องค์รัชทายาทกลับรู้ความจริงว่า โจรที่ปล้นเงินคือแจอี ที่ปลอมตัวเป็นเด็กผู้ชาย ลูกสาวของท่านอาจารย์มิน และที่แจอีทำไปก็เพื่อช่วยเหลือเด็กชายกำพร้าพ่อแม่คนหนึ่ง ที่กำลังถูกเจ้าหนี้นำไปขายเป็นทาส

กลับมาปัจจุบัน … แจอีบอกองค์รัชทายาทว่า นางจำวันนั้นได้ดี เพราะเป็นวันแรกที่ได้เจอฮันซองอน และทำให้นางตกหลุมรักเขาตั้งแต่แรกเห็น คำพูดของแจอีทำเอาองค์รัชทายาทถึงกับหัวเสีย (หึงแหละดูออก) แถมแจอียังบอกด้วยว่า ฮันซองอนหล่อกว่าพระองค์ 🤣

พิษงูมามูชิลายหิน

แจอีได้รับคำสั่งจากองค์รัชทายาทให้ลากรถขนศพไปหา มยองจิน (รับบทโดย อีแทซอน) ผู้มีความรู้ทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ระดับเทพ เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิต ที่นั่น แจอีได้เจอกับการัม ที่มาเป็นลูกศิษย์ของมยองจิน ทั้งสองนายบ่าวดีใจที่ได้พบกันอีกครั้ง แต่ก็เก็บความดีใจนั้นไว้เพื่อไม่ให้ใครรู้ตัวตนที่แท้จริง

ไม่นานนัก มยองจินก็ตรวจพิสูจน์ได้ว่า ผู้ตายเสียชีวิตด้วยพิษที่เรียกว่า พิษงูมามูชิลายหิน ซึ่งเป็นพิษที่ทำให้เป็นอัมพาตจากการที่หลอดเลือดบีบรัดตัว และทำให้เสียชีวิตในที่สุด … ที่สำคัญมันเป็นพิษชนิดเดียวกับเมื่อหนึ่งปีก่อน !?

แจอีรีบนำผลการชันสูตรพลิกศพกลับมาแจ้งองค์รัชทายาททันที ตอนนี้เองที่แจอีได้รู้ว่า ศพที่นำไปชันสูตรเป็นศพของผู้ส่งสาส์น ที่องค์รัชทายาทสั่งให้นำของขวัญแต่งงานไปมอบให้นาง ทำให้นางพยายามนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้น แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก

และแจอีก็ยังได้รู้อีกด้วยว่า พิษงูมามูชินลายหินเป็นพิษที่ทำร้ายองค์รัชทายาทเมื่อหนึ่งปีก่อน

EP.5 แก้คดีฆาตกรรมอักษรปริศนา

แจอีไปหามยองจินอีกครั้งเพื่อชวนเขาไปไขคดีด้วยกัน และสิ่งแรกที่ทั้งสองตกลงจะทำก็คือ ไปขุดหลุมศพ แต่คนที่ช็อกแทบจะเป็นลมที่ได้ยินเช่นนั้นคือ การัม 😁

แจอีเอาเรื่องการขุดหลุมศพไปแจ้งกับองค์รัชทายาท เมื่อได้ยินเช่นนั้น พระองค์จึงรับสั่งว่าจะให้คนติดตามนางไปด้วย โดยระบุว่าคนคนนั้นชื่อ “บัณฑิตพัค” ซึ่งเป็นคนที่รูปร่างหน้าตาหล่อเหล่า เพอร์เฟคที่สุดในโชซอน

มยองจิน, การัม และแจอี ยืนรอบัณฑิตพัคอยู่จนถึงเย็นแต่ก็ไม่เห็นมา แต่ก่อนที่ตะวันจะตกดิน แจอีก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินมา ทำเอานางถึงกับหน้าเหวอ เพราะที่แท้บัณฑิตพัคก็คือองค์รัชทายาทนั่นเอง แจอีสีหน้าเป็นกังวลที่องค์รัชทายาทปลอมตัวออกมานอกวังเช่นนี้ แต่เมื่อเป็นความประสงค์ของพระองค์ นางก็ไม่อาจจะทัดทาน

หลังจากไปขุดศพขึ้นมาเพื่อชันสูตรอีกรอบเสร็จแล้ว เวลาก็ไปถึงยามค่ำ ทั้งสี่จึงไปดื่มกินกันจนเมามาย ล่วงเข้าไปสู่ช่วงเคอร์ฟิว … การัมต้องลากมยองจินกลับบ้าน ส่วนแจอีเมาได้ที่จนหน้าแดงก่ำก็กลับวังหลวงกับองค์รัชทายาท ระหว่างทางทั้งสองเจอทหารยาม จึงต้องหลบเข้าไปในตรอกเล็ก ๆ ทำให้เกิดเป็นโมเมนต์ซัมติงบางอย่าง ที่ต่างฝ่ายต่างรู้สึกเขินอายอย่างบอกไม่ถูก 🥰

อักษรปริศนา

คืนนั้น แจอีก็ไม่หลับไม่นอนคิดถึงแต่เรื่องศพของชายที่ไปขุดขึ้นมา ซึ่งพบอักษรอยู่บนฝ่ามือ เมื่อปะติดปะต่อกับสองศพก่อนหน้าทำให้ได้อักษรเรียงกันว่า ซง กา มยอล (แปลว่า ตระกูลซงต้องพินาศย่อยยับ) แต่แจอีคิดว่าไม่ใช่ความหมายที่ฆาตกรต้องการสื่อ คิดไปคิดมา จู่ ๆ นางก็คิดขึ้นมาได้เองว่า ตัวอักษรเหล่านั้นน่าจะหมายถึง เซง โน บยอง ซา (สี่ช่วงชีวิต เกิดแก่เจ็บตาย) …

  • ศพแรกเป็นชายสูงวัย เท่ากับ “โน” ที่แปลว่า “แก่”
  • ศพที่สอง ชายที่กำลังเจ็บป่วย เท่ากับ “บยอง” ที่แปลว่า “โรค”
  • ศพที่สาม ชายที่ถูกแทงหลังจากตายไปแล้ว เท่ากับ “ซา” ที่แปลว่า “ตาย”
  • ที่เหลือคำสุดท้ายคือ “เซง” ที่แปลว่า “ชีวิต”
  • แจอีจึงตีความออกมาว่า ชีวิตคือคนที่กำลังจะเกิด ซึ่งก็คือหญิงท้องแก่

เมื่อรู้เช่นนั้น แจอีจึงรีบไปเข้าเฝ้าองค์รัชทายาททันที แต่ถูกซังกุงและราชองครักษ์ห้ามเอาไว้ เนื่องจากเป็นเวลาที่องค์รัชทายาทเข้าบรรทมแล้ว นางจึงรีบวิ่งไปหาฮันซองอนทันที แล้วแจ้งว่าเป้าหมายของฆาตกรคือหญิงท้องแก่

ฆาตกรผมขาว

ฮันซองอนสั่งทหารออกไปตามหาหญิงท้องแก่ที่อยู่ทางทิศตะวันตก เพราะแจอีตั้งข้อสังเกตว่า ฆาตกรรายนี้ฆ่าเหยื่อแต่ละคนตามทิศที่ต่างกันออกไป

แล้วก็เป็นตามที่แจอีคาดเอาไว้จริง ๆ ฆาตกรเข้ามาลงมือสังหารหญิงท้องแก่ที่เพิ่งคลอดทารกเด็กชาย ฮันซองอนจึงปรี่เข้าไปขัดขวางเจ้าฆาตกรชุดดำปิดหน้าปิดตาคนนั้น การต่อสู้เป็นไปอย่างสูสี แต่สุดท้ายแล้ว ฮันซองอนก็สามารถกระชากผ้าปิดหน้าของฆาตกรออกมาได้

ฮันซองอนตกตะลึง ฆาตกรเป็นหญิงผมขาว เขาจำได้ดีว่านางเป็นร่างทรงอยู่ที่สำนักร่างทรง เขาไม่เข้าใจว่าทำไมร่างทรงต้องมาทำเรื่องเช่นนี้ด้วย แต่ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยปากถาม หญิงชราผมขาวก็วาดดาบในมือปรี่เข้าหาฮันซองอน ฝีมือของนางไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ ระหว่างนั้น หญิงผมขาวก็ตวาดเสียงดังลั่นออกมา “ข้าจำเป็นต้องทำ ข้อต้องล้างแค้น”

จังหวะนั้น แจอีก็พุ่งเข้าไปหาหญิงผมขาว แล้วซัดหมัดเข้าไปที่บริเวณหน้าอกของหญิงผมขาวจนกระเด็นล้มไป อย่างไรก็ตาม เพียงเสี้ยววินาทีที่แจอีหันหลัง หญิงผมขาวก็คว้าเอาขวดแก้วพาดเข้าไปที่ศีรษะของแจอีเต็มแรง จนนางล้มลงไปนอนกองอยู่กับพื้น เลือดเปรอะเป็นศีรษะ

ทหารมาถึงพอดี หญิงผมขาวถูกจับตัว ในขณะที่องค์รัชทายาทก็รีบวิ่งมาประคองแจอีด้วยความเป็นห่วง พระองค์กล่าวกับนางว่า “ข้าเกือบหัวใจวายตายก็เพราะเจ้า” เมื่อพูดจบนางก็หมดสติลงในอ้อมกอดของพระองค์

องค์รัชทายาทประคองแจอีและอุ้มนางด้วยพระองค์เอง ท่ามกลางความมึนงงของฮันซองอน เหล่าทหาร และราษฎรที่มุงดูเหตุการณ์ ทุกคนต่างมึนงงว่า เหตุใดองค์รัชทายาทจำต้องอุ้มขันทีต่ำต้อยคนหนึ่งด้วยพระองค์เอง !?

EP.6 ความไว้ใจ

องค์รัชทายาทดูแลและรักษาบาดแผลที่ศีรษะของแจอีด้วยพระองค์เอง เพราะไม่ต้องการให้ความลับเรื่องเพศภาพของนางถูกเปิดเผย

เมื่อได้ฟื้นได้สติ แจอีจึงถามว่าพระองค์ทรงไว้ใจนางหรือยัง องค์รัชทายาทจึงตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า ไว้ใจนางมาสักพักหนึ่งแล้ว

เมื่อแจอีอาการดีขึ้นแล้ว องค์รัชทายาทก็เรียกให้มาปรึกษาคดีจดหมายจากภูตผีเป็นการส่วนพระองค์ ซึ่งองค์รัชทายาทได้วิเคราะห์ว่า ร่างทรงที่ผมขาวที่ถูกจับไปต้องมีจุดเชื่อมโยงกับจดหมายจากภูตผี และการฆาตกรรมครอบครัวแจอี

อย่างไรก็ตาม องค์รัชทายาทยอมรับกับแจอีว่า พระองค์หวาดกลัวและโดดเดี่ยวหลังจากที่ได้รับจดหมายจากภูตผี เนื่องจากไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ที่สำคัญพระองค์กลัวว่าคำสาปจะกลายเป็นจริง จนวันหนึ่งจะต้องกลายเป็นคนวิกลจริต ออกเดินเร่ร่อนไปทั่วโชซอนเพียงลำพัง เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ น้ำเสียงขององค์รัชทายาทสั่นเครือ ก่อนที่พระองค์จะเอามือตบโต๊ะอย่างแรงเป็นการระบายอารมณ์

แจอีได้เห็นเช่นนั้น จึงกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “หม่อมฉันจะปกป้องพระองค์เองเพคะ”

แม้จะยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าผู้อยู่เบื้องหลังเป็นใคร แต่องค์รัชทายาทคาดว่า ผู้ที่ได้ประโยชน์หากพระองค์โดนปลดออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาทคือ เสนาบดีฝ่ายขวา ที่ต้องการให้องค์ชายซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานขึ้นรับตำแหน่งองค์รัชทายาทแทน

คืนหนึ่ง หลังแจอีไปเยี่ยมครอบครัวเด็กที่รอดพ้นจากฆาตกรผมขาว ขากลับกลับนางได้เจอกับฮันซองอนโดยบังเอิญ ตอนนั้นเองนางได้เห็นเขาพกจดหมายตอบรับการสู่ขอติดตัวไว้ตลอดเวลา ทำให้นางรู้ว่าเขายังคงรอการกลับมาของนางอยู่

ระหว่างนั้น ชายที่อ้างตัวว่าเป็นชู้รักของแจอีผูกคอฆ่าตัวตาย ร่างของเขาแขนอยู่บนขื่อ ผมเปลี่ยนเป็นสีขาว ไม่ไกลกันนัก มีจดหมายลาตายวางเอาไว้ ข้อความเขียนบรรยายความรัก และความสัมพันธ์ที่มีต่อแจอี !?

องค์รัชทายาทได้อ่านจดหมายลาตายฉบับนั้น มือของพระองค์สั่นเทา ในใจสับสนไปหมด “ทุกอย่างที่นาง [แจอี] เอ่ยเป็นเพียงคำหลอกลวงอย่างนั้นหรือ ?”

EP.7 ปริศนาดอกโบตั๋นแห้ง

หลังองค์รัชทายาทได้อ่านจดหมายลาตายของชายที่อ้างตัวว่าเป็นชู้รักของแจอี ทำให้พระองค์ไม่อาจเชื่อใจแจอีได้อีกต่อไป คำกล่าวอ้างว่าที่ผ่านมาของนางล้วนแล้วแต่เป็นคำโกหกที่ไร้สาระ ด้วยความโกรธพระองค์ตวาดออกคำสั่งให้ลากตัวแจอีออกไป และรับสั่งด้วยน้ำเสียงอันแข็งกร้าวว่า ห้ามไม่ให้นางโผล่หน้ามาที่วังตะวันออกอีกเด็ดขาด

แจอีได้แต่คิดวนไปวนมาทั้ง ๆ ที่น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด แต่ก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมชายที่นางรักเหมือนพี่น้องถึงได้เขียนจดหมายลาตายใส่ร้ายนางแบบนี้ นางคิดเท่าไรก็คิดไม่ออกจริง ๆ ว่าทำไม ?

ในขณะที่องค์รัชทายาทเองก็มีสภาพไม่ต่างกัน เสียใจไม่แพ้กัน ผิดหวังไม่แพ้กัน แจอีเป็นเหมือนแสงสว่างในยามที่พระองค์ตกอยู่ในเงาอันมืดมิด นางเป็นเหมือนแสงที่ส่องให้พระองค์ได้เห็นโลกใบใหม่ … น้ำตาขององค์รัชทายาทล้นเอ่อ แสงสว่างที่พระองค์เชื่ออย่างสุดหัวใจว่าเป็นจริง กลับกลายเป็นเพียงแสงทิพย์อย่างนั้นเหรอ ? มันเป็นแค่คำลวงอย่างนั้นเหรอ !?

คืนนั้น แจอีที่ถูกไล่ออกจากวังตะวันออก จึงเดินทางไปนอนบนโต๊ะชันสูตรศพที่ห้องทดลองของมยองจิน รุ่งเช้า การัมมาทำความสะอาดห้องทดลองก็ถึงกับตกใจแทบช็อก เมื่อเห็นร่างบนโต๊ะชันสูตรขยับ แต่เมื่อรู้ว่าร่างนั้นเป็นแจอี การัมก็ถึงกับดีใจจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่

วันเดียวกัน ฮันซองอนได้มาขอดูจดหมายลาตายจากองค์รัชทายาท แล้วเขาก็สารภาพกับพระองค์ว่าเขาเชื่อว่านางเป็นผู้บริสุทธิ์ และไม่ว่านางจะทำผิดมหันต์แค่ไหน แต่เมื่อนางตอบรับการแต่งงานกับเขาแล้ว ก็เป็นหน้าที่ที่เขาต้องปกป้องนางให้ถึงที่สุด

ด้านองค์รัชทายาทก็กล่าวว่าพระองค์ก็เชื่อว่าแจอีบริสุทธิ์เช่นกัน และยังย้ำชัดเจนว่าจะช่วยแจอีให้ความจริงเผยออกมา โดยอ้างว่าที่ช่วยเพราะนางเป็นลูกสาวของอาจารย์ อีกทั้งยังรับปากกับฮันซองอนด้วยว่า ถ้าพระองค์เจอนางเมื่อไรจะส่งนางไปให้เขาทันที (ซึ่งแน่นอนว่าองค์รัชทายาทโกหก !!)

อย่างไรก็ตาม ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน องค์รัชทายาทก็ทนความคิดถึงไม่ไหว พระองค์จึงปลอมตัวเป็นบัณฑิตพัคคนเดิมเพื่อไปหาแจอีที่ห้องทดลอง ท่าทีของพระองค์ตอนนี้ก็เปลี่ยนไปจากวันก่อน และในมือของพระองค์ยังนำหลักฐานที่แจอีวางเอาไว้ในห้องลับชั้นใต้ดินมาอีกด้วย

หลักฐานที่ว่าคือ “ดอกโบตั๋นแห้ง” ที่พบในกระถางธูปที่ได้จากบ้านร่างทรง ที่เป็นคนร้ายในคดีฆาตกรรม

มยองจินพิจารณาดอกโบตั๋นแห้งนี้แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า ดอกโบตั๋นไม่มีกลิ่น คนจึงไม่นำไปใช้เป็นธูป แจอีจึงเอ่ยขึ้นมาว่า นางเชื่อว่าดอกโบตั๋นเหล่านี้ต้องมีบางอย่างผสมอยู่

ก่อนที่องค์รัชทายาทจะกลับ แจอีได้เล่าให้พระองค์ฟังว่า ในวันเกิดเหตุฆาตกรรมยกครัว ตอนนั้นนางกำลังทำอาหารในครัว นางก็เห็นดอกโบตั๋นแห้งแบบเดียวกันอยู่เช่นกัน นางจำได้ชัดเจนว่ามันเป็นชนิดเดียวกับที่อยู่ในกระถางธูป

เมื่อกล่าวจบ แจอีก็เดินออกมาปล่อยให้องค์รัชทายาทยืนอยู่เพียงลำพัง ระหว่างนั้นนางได้แต่คิดในใจว่า ทำไมองค์รัชทายาทต้องถ่อมาหานางถึงที่นี่เพียงเพื่อเอาดอกโบตั๋นแห้งมาให้ หรือว่าพระองค์ต้องการมาขอโทษจากที่ไล่นางออกจากวังตะวันออกเมื่อวันก่อน ?

EP.8 การไต่สวน

ณ ริมสระน้ำในวังหลวง แจอีนั่งพักเหนื่อยระหว่างขนเก้าอี้ไปที่การแข่งขี่ม้าตีคลีประจำปี นางนั่งบ่นปนด่าอยู่คนเดียว “ไอ้คนโง่เอ๊ย จะด่าโง่เป็นควายก็ยังสงสารควาย” แจอีบ่นพึมพำไม่หยุด โดยที่ไม่รู้เลยว่าองค์รัชทายาทเดินมาอยู่ที่ด้านหลัง และได้ยินคำพูดของทางทั้งหมด เมื่อแจอีหันมาเห็นพระองค์ นางก็ตกใจจนหน้าถอดสี พลางแก้ตัวว่าคำด่าที่กล่าวไปนางต่อว่าตัวเอง

แจอีอาศัยจังหวะเวลานั้นกล่าวความรู้สึกว่า นางเข้าใจที่องค์รัชทายาทไล่นางออกจากวังตะวันออก เมื่อได้ยินเช่นนั้น องค์รัชทายาทจึงกล่าวคำขอโทษกับแจอี อย่างไรก็ตาม พระองค์ยังไม่อนุญาตให้นางกลับไปวังตะวันออก

การไต่สวนฆาตกรร่างทรงผมขาว

เรื่องราวดำเนินไปจนถึงวันไต่สวนคดีฆาตกรร่างทรงผมขาว ซึ่งฝ่าบาททรงมาเป็นประธานในการไต่สวนด้วยพระองค์เอง เมื่อนำตัวร่างทรงผมขาวมาที่ลานไต่สวน ท่านอัครมหาเสนาบดีก็ได้ถามร่างทรงผมขาวถึงอักษรตัวที่สี่

ณ เวลานั้น จู่ ๆ ท้องฟ้าก็เกิดร้องคำรามขึ้นมาดังสนั่นหวั่นไหว ร่างทรงผมขาวแสยะยิ้มออกมา ก่อนจะกล่าวว่า “มันคืออักษรอี ซง กา มยอล อี” มีความหมายว่า ความพินาศของตระกูลอี ซึ่งก็คือตระกูลของฝ่าบาทและองค์รัชทายาท เนื่องจากตระกูลอีเข่นฆ่าคนตระกูลซงจนได้ขึ้นมาเป็นใหญ่ในโชซอน

เมื่อฝ่าบาทได้ยินเช่นนั้นก็โกรธมาก คว้าเอาดาบขึ้นมาเดินปรี่ไปยืนอยู่ตรงหน้าร่างทรงผมขาว ฝ่าบาทประกาศกร้าวว่าจะสังหารนางด้วยมือของพระองค์เอง แต่เพียงแค่ฝ่าบาทเงื้อมดาบขึ้น ฟ้าก็ร้องดังลั่นขึ้นมาทันที !!!

องค์รัชทายาทที่นั่งอยู่ในการไต่สวนครั้งนี้ด้วยก็ถึงกับตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น … สิ้นเสียงฟ้าร้อง งูพิษก็เลื้อยออกมาจากตัวของร่างทรงผมขาว นางยิ้มแล้วก็สิ้นใจด้วยพิษของงูตัวนั้น

องค์รัชทายาทรู้จักงูชนิดนี้ดี มันคืองูมามูชิลายหิน พระองค์เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดมีความเชื่อมโยงกัน และเกิดขึ้นโดยคนคนเดียว แต่ที่องค์รัชทายาทตอบไม่ได้คือ เหตุใดฟ้าจึงพิโรธขึ้นมาเช่นนั้น !?

ในเวลาเดียวกันที่การไต่สวนดำเนินไป ชายชุดดำก็เข้ามาทำอะไรบางอย่างในตลาด แจอี, การัม และมยองจินจึงออกวิ่งไล่ตาม แต่แล้วแจอีก็พลาดท่าถูกชายชุดดำใช้ขาเหยียบ โดยที่มือของมันเล็งลูกศรไปที่จุดตายของแจอี

EP.9 ความเชื่อใจ

แจอีพลาดท่าให้กับชายชุดดำ โชคดีที่การัมกับมยองจินตามมาช่วยเอาไว้ได้ทัน แต่สุดท้ายทั้งสามก็ไล่ตามชายชุดดำไม่ทัน

คำสาปแช่งของร่างทรง และเหตุการณ์ฟ้าผ่าและไฟไหม้ต้นบ๊วย (ที่มีความหมายถึงตระกูลอี ซึ่งเป็นตระกูลของฝ่าบาท) ภายในวังหลวง ได้สร้างความวุ่นวายไปทั่วทั้งวังหลวง อีกทั้งข่าวยังได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวง จนชาวบ้านต่างพากันเชื่อว่าทั้งหมดเกิดจากคำสาปแช่งของภูตผี !

ด้วยความโกรธแค้นที่ฝ่าบาทพูดจาดูถูก เสนาบดีฝ่ายขวา โชวอนโบ จึงถือโอกาสนี้แสดงอำนาจโดยการเรียกให้ขุนนางที่อยู่ภายใต้อาณัติมากดดัน โดยให้ฝ่าบาททำพิธีกัมซอน หรือพิธีจำกัดอาหาร (ซึ่งถือเป็นเรื่องหมิ่นเกียรติของกษัตริย์อย่างมาก) จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากความพิโรธของภูตผี

องค์รัชทายาทเรียกแจอีเข้าพบเพื่อปรึกษาเรื่องไฟไหม้ต้นบ๊วย นางยืนยันว่าต้องเป็นฝีมือของมนุษย์ ไม่ได้เกิดจากภูตผีอย่างแน่นอน จากนั้น แจอีก็ออกไปสืบวัตถุที่ใช้ทำให้ต้นบ๊วยไฟไหม้ สืบไปสืบมาจนไปพบหลักฐานสำคัญที่ชี้ว่า เสนาบดีฝ่ายซ้าย พ่อของฮันซองอน ได้จัดหาวัตถุดิบสามอย่างตรงกับวัตถุที่พบที่ต้นบ๊วย นั่นคือ ขี้ผึ้ง ดินประสิว และกำมะถัน

อย่างไรก็ตาม องค์รัชทายาทได้ไปตรวจที่บ้านเสนาบดีฝ่ายซ้าย และพบว่าวัตถุดิบทั้งสามอย่างถูกเก็บไว้ภายในห้องเก็บของในสภาพดี ทำให้องค์รัชทายาทตัดสินว่าเสนาบดีฝ่ายซ้ายไม่มีความผิด

ในตอนท้าย องค์รัชทายาทบอกกับฮันซองอนว่า พระองค์จำเป็นต้องเชื่อใจเขาถ้ายังต้องการเขาเป็นสหาย

EP.10 ความจริงที่ถูกอำพราง

หลังเคลียร์ใจกับฮันซองอน พระสหายคนสนิทเรียบร้อย คืนนั้น องค์รัชทายาทก็ร่ำสุรากับแจอีอย่างผ่อนคลาย ตอนหนึ่ง แจอีได้สารภาพเรื่องที่นางเคยบอกว่า ตกหลุมรักฮันซองอนตั้งแต่แรกเห็นนั้น จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องที่นางทำใจให้คิดเช่นนั้น ไม่ใช่ความรู้สึกของนางอย่างแท้จริง เพราะการเห็นเขาเพียงครั้งเดียวตอนเด็ก ไม่มีทางทำให้ตกหลุมรักได้ อีกทั้งยังแนะนำองค์รัชทายาทว่าต้องทำเช่นเดียวกัน เพราะอีกไม่นานองค์รัชทายาทก็ต้องอภิเษกสมรสเช่นกัน

รุ่งขึ้น องค์รัชทายาทจึงเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อกล่าวหาว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการวางเพลิงต้นบ๊วยคือ โชวอนโบ หรือเสนาบดีฝ่ายขวา

อย่างไรก็ตาม โชวอนโบได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทเช่นกัน และได้กล่าวว่าเป็นการไม่เหมาะสมที่องค์รัชทายาทเข้ามายุ่งเรื่องนี้ ทำให้องค์รัชทายาทโกรธจนเลือดขึ้นหน้า พระองค์จึงขอให้ฝ่าบาทลงโทษโชวอนโบสถานหนัก แต่ดูเหมือนว่าอำนาจและกองกำลังในมือของโชวอนโบ จะแข็งแกร่งเกินกว่าที่ฝ่าบาทจะคัดง้างได้ ฝ่าบาทจึงเข้าข้างโชวอนโบ และขอให้องค์รัชทายาทอย่าเข้ามายุ่งเรื่องการเมือง เพราะเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม

ณ ท้องพระโรง เสนาบดีฝ่ายซ้ายพยายามทูลฝ่าบาท ให้รื้อฟื้นคดีเมื่อสิบปีที่แล้วขึ้นมาไต่สวนใหม่ ซึ่งเป็นคดีที่โชวอนโบไปปราบปรามหัวหน้าโจรที่ซ่องสุมกำลังหวังก่อการกบฏ แต่โชวอนโบโต้กลับไปว่า ผู้ที่สั่งให้ตนไปปราบปรามโจรคือ ฝ่าบาท !

คดีปราบกบฏเมื่อสิบปีก่อน

ต่อมา องค์รัชทายาทกับแจอีได้ดูบันทึกเหตุการณ์การปราบปรามหัวหน้าโจรซงเมื่อสืบปีก่อน ในบันทึกของทางการระบุว่า …

มีกลุ่มโจรซ่องสุมคนหนุ่มหวังก่อการกบฏที่บยอกชอน จังหวัดเปียงอัน ทำให้หมู่บ้านใกล้เคียงตกอยู่ในความวุ่นวาย หัวหน้ากลุ่มโจรคือ “ซง” ช่างตีเหล็กในบยอกชอน เขานำกำลังคนหลายสิบบุกเข้าที่ทำการของทางการ ทำร้ายทหารและเจ้าหน้าที่ พวกมันใช้วิธีปล้นอาวุธของทางการ ปล่อยตัวนักโทษ อีกทั้งพวกมันยังชั่วร้ายถึงขนาดขืนใจสตรีทุกคนที่เจอ ใครที่เป็นปฏิปักษ์กับพวกมันก็ถูกฆ่าตายอย่างไร้ความปรานี

เมื่อเรื่องกบฏซงถึงฝ่าบาท พระองค์จึงรับสั่งให้โชวอนโบ ซึ่งตอนนั้นมีตำแหน่งเป็นเจ้ากรมกลาโหมไปตรวจสอบข้อเท็จจริงที่บยอกชอน โดยถ้าเป็นจริง ฝ่าบาทให้อำนาจเด็ดขาดกับโชวอนโบในการปราบปรามกลุ่มโจรเหล่านั้น

หนึ่งเดือนให้หลัง ซงก็ถูกจับได้ และฝ่าบาทมีนับสั่งให้แขวนประจานซง จากนั้นซงก็เสียชีวิตในอีกสิบวันต่อมา … ส่วนโชวอนโบได้รับความดีความชอบมากมาย

ในคืนนั้น องค์ชายมยองอันฝันร้ายถึงภูตผีซง พระมเหสีจึงเข้าไปปลอบ และกล่าวกับองค์ชายว่า “ซงไม่ใช่คนเช่นนั้น เขาไม่มีวันทำร้ายลูกแน่นอน และเขาไม่ใช่หัวหน้ากลุ่มโจรด้วย แม่รู้ดี”

EP.11 กักบริเวณ

โชวอนโบ หรือเสนาบดีฝ่ายขวาได้รับจดหมายข่มขู่ที่เขียนบนกระดาษสีแดง เมื่อได้อ่านจดหมายฉบับนั้นเขาก็รู้ในทันทีว่า เป็นจดหมายจากกลุ่มโจรบยอกชอนที่หลงเหลืออยู่

องค์รัชทายาทตั้งข้อสังเกตกับแจอีว่า บันทึกของราชเลขาฯ เกี่ยวกับคดีกบฏบยอกชอนมีบางอย่างดูแปลก ๆ เนื่องจากไม่มีบันทึกการสอบสวนโดยละเอียด ยิ่งคดีนี้เป็นคดีอุกฉกรรจ์ยิ่งต้องมีขั้นตอนการสืบสวนที่ละเอียดกว่าคดีทั่วไป แต่ในกรณีนี้กลับไม่ระบุเอาไว้

อีกทั้งหัวหน้าโจรคือ “ซง” ช่างตีเหล็กในบยอกชอน เป็นคนนำโจรกว่า 40 คนบุกยึดที่ทำการของทางการในบยอกชอน ในตอนเริ่มต้นมีกันเพียงแค่ 40 คน แต่เมื่อมีการไปปราบปราม พวกโจรสามารถกลับยึดหมู่บ้านได้อีก 5 แห่ง และพยายามตั้งตัวเป็นอิสระแยกจากโชซอน นั่นหมายความว่าชาวบ้านทุกคนในบยอกชอนกลายเป็นพวกเดียวกับโจร และเข้าร่วมก่อการกบฏของซง ซึ่งระยะเวลาของสองเหตุการณ์ห่างกันเพียงหนึ่งเดือน องค์รัชทายาทมองว่าเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้เลย

รุ่งขึ้น องค์รัชทายาทปลอมตัวเป็นบัณฑิตพัคกับแจอีเดินทางไปหามยองจิน เพื่อถามความคืบหน้าของเบาะแสกลีบดอกโบตั๋นแห้ง การัมจึงแนะนำให้ทั้งสองไปสืบความจาก พระอาจารย์มูซอบ อาจารย์ของมยองจิน ซึ่งเคยเดินทางไปอุษาคเนย์ แต่พระอาจารย์มูซอบกลับตอบว่า กลีบโบตั๋นเหล่านี้เป็นเพียงเครื่องหอมทั่วไปที่นิยมใช้ในแถบอุษาคเนย์เท่านั้น

ระหว่างนั้นได้เกิดเหตุเด็กน้อยขโมยของชาวบ้าน เด็กน้อยวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต จนวิ่งไปชนเข้ากล่องแจกันลายครามมูลค่าสูงของ โชวอนโอ เสนาบดีกรมตุลาการ เมื่อเห็นแจกันลายครามราคาแพงแตกกลายเป็นเสี่ยง ๆ โชวอนโอจึงโกรธ และประกาศต่อหน้าชาวบ้านว่าจะพาเด็กน้อยไปลงโทษ โดยการให้ติดคุกไปจนตาย องค์รัชทายาทจึงเผยตัวออกมาเผชิญหน้ากับโชวอนโอ แล้วสั่งให้เขาปล่อยเด็กน้อยไป โชวอนโอจำต้องทำตามความประสงค์ขององค์รัชทายาทอย่างเลี่ยงไม่ได้

จากนั้น องค์รัชทายาท (ที่ทุกคนเข้าใจว่าคือบัณฑิตพัค) เข้าไปสอบถามเด็กน้อยถึงเหตุผลที่ขโมยสิ่งของชาวบ้าน เด็กน้อยจึงเล่าว่าต้องการหาอาหารไปให้พี่สาวที่กำลังป่วย แล้วก็เล่าว่าเขากับพี่สาวเป็นเด็กกำพร้า พี่สาวพาเขาหนีมาจากบยอกชอน หลังจากพ่อแม่ถูกฆ่าตายที่นั่น

ต่อมา โชวอนโบเข้าเฝ้าฝ่าบาท เพื่อขอให้ฝ่าบาทมีพระบรมราชโองการ ห้ามใครก็ตามที่มาจากบยอกชอนเข้ารับราชการภายในราชสำนัก เพราะเชื่อว่าเรื่องวุ่นวายทั้งหมดเกิดจากพวกบยอกชอนที่แฝงตัวอยู่ในวังหลวง

จากพระบรมราชโองการทำให้เหล่าขันทีและนางกำนัลหลายคนโดนขับออกจากวังหลวง บางคนทำงานภายในวังหลวงมานานกว่า 30 ปีก็ไม่ได้รับยกเว้น

องค์รัชทายาทเห็นคำสั่งขับไล่ข้าราชบริพารเหล่านั้นก็รู้ว่าถึงความไม่เป็นธรรม พระองค์จึงเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อขอให้ยกเลิกพระราชโองการ ทำให้ฝ่าบาททรงกริ้วเป็นอย่างมาก “เจ้ากำลังบอกว่าสิ่งที่ข้าทำตามทั้งหมดเป็นความผิดพลาดอย่างนั้นเหรอ องค์รัชทายาทแห่งโชซอนออกตัวปกป้องพวกกลุ่มกบฏได้ยังไง”

จากนั้น ฝ่าบาทมีรับสั่งให้กักบริเวณองค์รัชทายาทให้อยู่แต่ในวังตะวันออก … เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน องค์รัชทายาททรงหลั่งน้ำตาออกมาต่อหน้าแจอี ในขณะที่พระองค์ก็เอาแต่พูดออกมาไม่หยุดว่า พระองค์ไม่สมควรเป็นองค์รัชทายาทอีกต่อไป เพราะเวลานี้พระองค์ทำอะไรไม่ได้เลย …

EP.12 ความทรงจำย้อนกลับ

พระมเหสีไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท เพื่อขอให้ยกเลิกการกักบริเวณองค์รัชทายาท

ต่อมา เรื่องเข้าหูโชวอนโบ ทำให้เขาไม่พอใจพระมเหสีเป็นอย่างมาก จึงขอเข้าพบพระมเหสีเป็นการส่วนพระองค์ โชวอนโบระเบิดโทสะออกมาอย่างรุนแรง เขาคว่ำโต๊ะ และปรี่เข้าไปบีบคอ ก่อนจะตวาดเสียงดังลั่นเป็นคำพูดออกไปว่า “เจ้าลืมไปแล้วเหรอว่า เจ้าได้เป็นพระมเหสีของแผ่นดินนี้ก็เพราะข้าและตระกูลโช”

สิ่งที่โชวอนโบต้องการมาตลอดก็คือ ต้องการผลักดันให้องค์ชายมยองอันขึ้นเป็นองค์รัชทายาทแทน

หลังจากโชวอนโบกลับไป พระมเหสีค่อย ๆ นำร่างตัวเองขึ้นมา ก่อนจะไปคว้าเอาเศษกระเบื้องที่แตกขนาดเท่าเหรียญขึ้นมากำเอาไว้ในมือขวา พระนางกำเศษกระเบื้องนั้นด้วยมือที่สั่นเทาด้วยความโกรธ เลือดสีแดงฉานค่อย ๆ ไหลออกมาเป็นทางไม่หยุด

คนเราจะต้องสะสมความโกรธเอาไว้มากมายเพียงใด จึงต้องระบายออกมาด้วยเลือดและความเจ็บปวดของตัวเอง

ต่อมา ก็มีเหล่าบัณฑิตจำนวนมากมารวมตัวกันหน้าวังหลวง เพื่อเรียกร้องให้ฝ่าบาทยกเลิกคำสั่งกักบริเวณองค์รัชทายาท ในที่สุด ฝ่าบาทก็ทนแรงกดดันไม่ไหว ยอมทำตามคำเรียกร้องของบัณฑิตขงจื๊อเหล่านั้น

เมื่อออกจากวังได้ องค์รัชทายาทปลอมตัวเป็นบัณฑิตพัคเพื่อออกไปพบมยองจินกับการัม ตอนนั้นเอง พระองค์จึงได้รู้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังบัณฑิตเหล่านั้นก็คือมยองจิน

อย่าไว้ใจ

ในคืนเดียวกัน แจอีเริ่มนึกถึงโศกนาฏกรรมปริศนาที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของนาง นึกถึงกลีบดอกโบตั๋นแห้งและเรื่องอื่น ๆ ที่ดูลึกลับผิดธรรมชาติ แต่อยู่ดี ๆ ความจำของแจอีก็กลับคืนมา นางจำได้แล้วว่าใครเป็นผู้มาส่งสาส์นที่บ้านนางในวันนั้น คนคนนั้นคือแทกัง ราชองครักษ์ที่องค์รัชทายาทไว้ใจที่สุด

แจอีรีบเข้าเฝ้าองค์รัชทายาททันที เมื่อนางเห็นแทกังกำลังอยู่ด้วย นางจึงคว้าเอาดาบจ่อไปที่คอของแทกัง ราชองครักษ์คนสนิท และกล่าวกับองค์รัชทายาทว่า “อย่าไว้ใจเขา และห้ามให้เขาอยู่ใกล้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ …” องค์รัชทายาทสีหน้าอึดอัดกับสถานการณ์ ไม่เข้าใจสิ่งที่แจอีกำลังทำ “… เขาคือคนส่งสาส์นที่มาบ้านกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”

อย่างไรก็ตาม ด้วยสกิลการต่อสู้ที่คนละชั้น แทกังอาศัยจังหวะเพียงเสี้ยววินาทีในขณะที่แจอีเผลอ เข้าไปแย่งดาบในมือของนางกลับมาครอง และใช้ฝ่ามือฟาดเข้าไปที่บริเวณลิ้นปี่ของแจอี จนนางกระเด็นล้มลงไปกองอยู่กับพื้น จากนั้น แทกังก็ก้าวเท้าเหยียบร่างอันบอบบางของนางเอาไว้ ก่อนจะวาดดาบในมือจ่อไปที่คอหอยของนาง ก่อนจะเอ่ยวาจาขออนุญาตองค์รัชทายาทด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา …

“กระหม่อมสังหารเขาได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ?”

EP.13 ความทรงจำที่รางเลือน

องค์รัชทายาทเข้าห้ามแทกังไม่ให้ลงมือสังหารแจอี จากนั้นพระองค์ก็ให้โอกาสแจอีได้เล่าสิ่งที่นางเชื่อเป็นการส่วนพระองค์ นางยืนยันว่าจำได้ชัดเจน แทกังไม่เพียงเป็นคนส่งสาส์น แต่ยังเป็นคนยิงธนูอาบยาพิษใส่องค์รัชทายาทในพระราชพิธีล่าสัตว์ และเป็นคนจุดไฟเผาต้นบ๊วยอีกด้วย อย่างไรก็ตาม องค์รัชทายาทบอกกับแจอีว่า ในวันเกิดเหตุสังหารครอบครัวแจอี แทกังอยู่ที่วังตะวันออก แจอีได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกสับสน

รุ่งขึ้น องค์รัชทายาทกล่าวกับแทกังว่า พระองค์ยังคงเชื่อใจเขาโดยปราศจากข้อสงสัยใด ๆ

ส่วนแจอีก็ไปหาการัม เพื่อลำดับเหตุการณ์ในวันนั้นอีกครั้ง แต่ดูเหมือนความทรงจำของแจอีดูจะเลือนรางเต็มที ยิ่งคิดเท่าไรก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกสับสนมากขึ้นเท่านั้น

วันเดียวกัน แทกังบังเอิญเจอกับแจอี เขายืนยันว่าตัวเองไม่ใช่คนร้ายอย่างที่นางกล่าวหา คำพูดของแทกังทำให้แจอีรู้สึกสับสนมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ

ด้านฝ่าบาทก็เสด็จไปพบท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายและท่านอัครมหาเสนาบดีอย่างลับ ๆ “สิ่งที่ข้าพูดกับพวกท่านทั้งสองห้ามเล็ดลอดออกไปจากห้องนี้เด็ดขาด ข้าจะเร่งงานอภิเษกสมรสขององค์รัชทายาท ข้าปล่อยให้ตระกูลโชวางอำนาจบาตรใหญ่ต่อไปไม่ได้แล้ว”

ปิดปาก

ต่อมา เบาะแสของโอมันชิก ชาวเมืองของบยอกชอนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ถูกเปิดเผย เขาเปลี่ยนชื่อแล้วย้ายถิ่นที่อยู่ไปทำอาชีพค้าขาย องค์รัชทายาท, แจอี และอันซองอน จึงมุ่งหน้าไปหาทันที ในเวลาเดียวกัน โชวอนโบก็รู้ข่าวนี้ เขาจึงสั่งมือสังหารให้ไปจัดการฆ่าปิดปากโอมันชิกซะ

โอมันชิกเห็นหน้าองค์รัชทายาทก็จำได้ เขาจึงรีบวิ่งหนีเข้าไปในป่า จังหวะนั้นเองที่กลุ่มมือสังหารยิงธนูปักเข้ากลางหน้าอกโอมันชิกตายคาที่ จากนั้น กลุ่มมือสังหารก็เข้าโจมตีองค์รัชทายาทจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนแจอีกับฮันซองอนตกหน้าผาลงไปในแม่น้ำ สุดท้ายมือสังหารก็สังหารลูกเมียของโอมันชิกอย่างโหดเหี้ยม

อย่างไรก็ตาม แจอีกับฮันซองอนปลอดภัย ทั้งสองจึงออกตามหาองค์รัชทายาท ระหว่างนั้น แจอีก็ร้องไห้ออกมา นางเป็นห่วงพระองค์เหลือเกิน

สุดท้าย ทั้งสองก็เจอองค์รัชทายาทที่กำลังเดินอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่เพียงลำพัง แจอีรีบโผเข้าไปกอดองค์รัชทายาทด้วยความดีใจที่รู้ว่าพระองค์ยังรอดชีวิต ทันใดนั้นเอง องค์รัชทายาทก็หมดสติล้มพับไป

EP.14 คดีฆาตกรรมปริศนา

ฮันซองอนกับแจอีช่วยกันแบกร่างที่ไร้สติขององค์รัชทายาทไปขอความช่วยเหลือจากชาวบ้าน ไม่นานนัก อาการขององค์รัชทายาทก็ดีขึ้น

หลังองค์รัชทายาทกลับไปที่วังตะวันออก ฝ่าบาทก็เสด็จมาเยี่ยมด้วยความเป็นห่วง พระองค์ย้ำกับองค์รัชทายาทว่าอย่าเข้าไปยุ่งเรื่องที่บยอกชอน ส่วนที่เหลือพระองค์จะจัดการด้วยพระองค์เอง เพราะตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะจัดการกับเสนาบดีฝ่ายขวา โชวอนโบ

ระหว่างนั้น โชวอนโบก็ได้ข้อมูลสำคัญ เขารู้แล้วว่าการัมเป็นสาวรับใช้แจอีที่ปลอมตัวเป็นชาย ส่วนขันทีโกก็คือแจอีที่ปลอมตัวเข้ามาอยู่ในวังตะวันออกเช่นกัน โชวอนโบหัวเราะด้วยความสะใจ ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “องค์รัชทายาทให้สตรีเข้ามาอยู่มในวังตะวันออกอย่างนั้นเหรอ ฮะ ฮะ ฮ่า”

คืนนั้น อยู่ ๆ ก็เกิดเหตุฆาตกรรมปริศนาขึ้น ผู้ตายเป็นลูกสาวของท่านเสนาบดีกรมมหาดไทย คู่หมั้นของมยองจิน ระหว่างที่กำลังออกมาซื้อของกับสาวใช้ นางก็เกิดอาเจียนออกมาเป็นเลือดแล้วก็ล้มลง องค์รัชทายาทรีบเข้าไปจับชีพจรก็พบว่านางไร้ลมหายใจไปซะแล้ว ที่ข้อมือของนางมีสร้อยข้อมือของแจอีสวมอยู่ เมื่อแจอีเหลือบไปเห็นก็ตกใจ สิ่งที่นางเลือกทำคือแอบถอดสร้อยออกมาจากศพ มยองจินเห็นสิ่งที่แจอีทำก็รู้สึกแปลกใจ

EP.15 อภิเษกสมรส

หลังจากนั้น ความจริงก็เปิดเผย แจอีพบว่าสร้อยเส้นนี้ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษเพื่อใช้บรรจุยาพิษอย่างแนบเนียน ด้านในหยกจะถูกทำให้กลวง และมีกลไกที่ใช้โรยยาพิษออกมา กลายเป็นว่าอยู่ดี ๆ แจอีก็รู้คำตอบถึงวิธีการที่ใช้ในการวางยาสังหารคนในครอบครัวของนาง

ส่วนคู่หมั้นของมยองจินที่เป็นเหยื่อในคดีฆาตกรรมนี้เป็นความซวยล้วน ๆ มีคนเก็บสร้อยได้ แล้วเอาไปให้นาง แล้วก็เกิดบังเอิญไปโดนกลไกโรยยาพิษออกมาใส่ต๊อกที่นางกิน ก่อนเกิดอาการอาเจียนเป็นเลือดและเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว

รุ่งขึ้น ฝ่าบาทเรียกองค์รัชทายาทให้เข้าเฝ้า พระองค์บอกแผนที่จะให้องค์รัชทายาทอภิเษกสมรส เพราะเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ตำแหน่งองค์รัชทายาทมั่นคง ก่อนที่จะขึ้นครองราชย์ต่อไป เมื่อรู้เช่นนั้น องค์รัชทายาทจึงคิดตัดใจจากแจอี พระองค์ทำเป็นเหวี่ยงใส่โดยอ้างเหตุผลร้อยแปดพันประการให้นางไปให้พ้น ทั้งดื่มเหล้า พูดจาหยาบคาย ซุ่มซ่าม น่ารำคาญ บลา ๆ ๆ “ออกไปให้พ้น คนอย่างเจ้ามันช่างน่ารำคาญจริง ๆ ไม่เจริญหูเจริญตาเอาเสียเลย”

แม้จะรู้สึกเฟล แต่แจอีก็ยังคงคิดถึงเรื่องวางยาฆ่ายกครัว นึกเท่าไรนางก็ไม่อยากเชื่อว่าคนที่นางรักเหมือนพี่น้องจะเป็นคนวางแผนทั้งหมด ใครกันนะจะอำมหิตพอที่จะฆ่าครอบครัวตัวเองยกครัว แม้แต่จะไม่ใช่ครอบครัวแท้ ๆ ทางสายเลือดก็เถอะ

ระหว่างนั้น มยองจินก็รู้ความจริงว่า บัณฑิตก็คือองค์รัชทายาท ลูกศิษย์หนุ่มของเขาก็คือการัม และขันทีโกก็คือแจอี มยองจินยิ้มให้กับความปราญเปรื่องของตัวเอง

ด้านองค์ชายมยองอันก็ไม่สบาย กินอะไรก็อาเจียนออกมาหมด สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้พระองค์เกิดความกลัวแบบเด็ก ๆ พระองค์เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะคำสาปของ “ซง” แม้พระมเหสีพยายามปลอบ แต่ดูเหมือนอาการขององค์ชายมยองอันก็ไม่มีทีท่าจะดีขึ้นเลย แถมยังเกิดภาพหลอนขึ้น

ทันใดนั้น องค์ชายมยองอันก็เกิดภาพหลอนเห็นองค์รัชทายาทองค์ก่อนยืนอยู่เบื้องหน้า แล้วองค์ชายมยองอันก็สารภาพว่าเอาลูกท้อไปให้องค์รัชทายาทองค์ก่อนเสวย ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้พระองค์สวรรคต สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้พระมเหสีกลัวจนแทบเสียสติ และเป็นจังหวะเดียวกับที่ฝ่าบาทเสด็จมาพอดี

EP.16 ธงขาวที่บยอกชอน

พระมเหสีปิดบังฝ่าบาทเรื่องที่องค์ชายมยองอันเป็นคนให้ลูกท้อกับองค์รัชทายาทองค์ก่อน และย้ำกับองค์ชายมยองอันให้เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับไปจนชั่วชีวิต แต่ที่น่าตกใจคือ คนที่เอาลูกท้อไปให้องค์ชายมยองอันก็คือโชวอนโบ !

พระมเหสีแอบมาร้องไห้เพียงลำพังด้วยความคับแค้นใจ ที่โชวอนโบยืมมือองค์ชายมยองอันเป็นเครื่องมือสังหารองค์รัชทายาทองค์ก่อน

ส่วนเจ้าหญิงฮายอนก็ดันเอาเรื่องลูกท้อขององค์ชายมยองอันไปเล่าให้แจอีฟัง และบอกด้วยให้แจอีเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับไม่ให้ถึงหูองค์รัชทายาท เพราะพระองค์กำลังเข้าพิธีอภิเษกสมรส … แจอีช็อก องค์รัชทายาทกำลังจะเข้าพิธีอภิเษกสมรสอย่างนั้นเหรอ !

อย่างไรก็ตาม แจอีก็ยังไม่เชื่อใจแทกัง นางพยายามสะกดรอยตามเพื่อดูพฤติกรรม นางสังเกตเห็นแทกังมีวิทยายุทธบางอย่าง นี่อาจเป็นเหตุผลที่แทกังสามารถเคลื่อนที่ได้รวดเร็วกว่าคนทั่วไป แต่มันจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ หรือเปล่านะ ?

ระหว่างนั้น ก็มีชายคนหนึ่งชื่อ พัคฮันซู ติดต่อขอพบกับโชวอนโบเพื่อแจ้งเรื่องสำคัญ โชวอนโบจึงส่งมือสังหารไปพบแทน พัคฮันซูแจ้งกับมือสังหารว่า เขาเห็นภรรยาของซงออกมาจากเรือนเสนาบดีฝ่ายขวาขึ้นเกี้ยวหลังหนึ่งไป “ท่านใต้เท้าโชต้องตกใจแน่ ๆ ถ้ารู้ว่าเกี้ยวหลังนั้นมุ่งหน้าไปทางใด” เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ มือสังหารก็ชักดาบออกมาวาดเข้าไปที่ร่างของพัคฮันซู แต่ …

แต่เมื่อมือสังหารกลับไปแล้ว องค์รัชทายาทกับแทกังก็มาที่ร่างของพัคฮันซูที่กำลังร่อแร่หมดลมหายใจ พระองค์ยิงคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นที่บยอกชอนเมื่อสิบปีก่อน พัคฮันซูที่กำลังสิ้นใจก็ใช้แรงเฮือกสุดท้ายเล่าเรื่องให้องค์รัชทายาทฟัง “ธงที่บยอกชอนไม่ใช่ธงก่อการกบฏ แต่เป็นธงขาว พวกชาวบ้านรวมตัวกันเพื่อยอมจำนน โดยที่ไม่รู้เลยว่าพวกเขากำลังจะตาย พวกมันจ่ายเงินปิดปากพวกเหล่าทหารที่เข้าร่วมปราบกบฏในครั้งนั้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่โชวอนโบไม่รู้ ภรรยาของซงแฝงตัวอยู่ในวังนี่แหละ” !?

เรื่องภรรยาของซงอยู่ในวังหลวงถึงหูโชวอนโบ เขาจึงเริ่มสืบว่าใคร ? แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยเชื่อเท่าไรว่าข่าวที่ได้เป็นความจริง

ด้านองค์รัชทายาทเองก็รู้สึกโกรธเมื่อได้รับฟังเรื่องที่เกิดขึ้นที่บยอกชอนเมื่อสิบปีก่อน ถ้าเป็นเรื่องจริง สิ่งที่โชวอนโบทำลงไปย่อมเป็นสิ่งที่ให้อภัยไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว และเพื่อค้นหาความจริง พระองค์ต้องตามหาภรรยาซงที่แฝงตัวอยู่ในวังหลวงนี้ให้ได้

ตัดภาพไปที่นอกวังหลวง แทกังแอบไปพบกับพระอาจารย์มูจิน (อาจารย์ของมยองจิน) แทกังได้รับคำสั่งให้สังหารองค์หญิงฮายอน !!!

EP.17 โค่นล้มทำลายชนชั้น

หลังจากมยองจินสันนิษฐานว่าแทกังมีฝาแฝด แจอีก็ไขปริศนาเรื่องกลีบดอกโบตั๋นแห้งได้เช่นกัน โดยนางคิดว่าดอกโบตั๋นมีส่วนผสมของฝิ่น ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้คนที่ได้รับมีสติฟั่นเฟือนหลงผิด

อย่างไรก็ตาม องค์รัชทายาทเชื่อว่าแทกังไม่รู้ว่าตัวเองมีคู่แฝด และไม่มีส่วนรู้เห็นกับคู่แฝด

คืนเดียวกัน องค์หญิงฮายอนขอให้ฮันซองอนเป็นองครักษ์อารักขา และพาองค์ชายมยองอันไปรักษาอาการเพ้อกับพระอาจารย์มูจิน วิธีการรักษาของพระอาจารย์มูจินคือการทำให้องค์ชายมยองอันหลับ จากนั้นก็เริ่มทำพิธีคล้ายกับการสะกดจิต ล้างสมองให้องค์ชายมยองอันลืม “พระองค์ไม่เคยเอาลูกท้อให้องค์รัชทายาทอึยฮยอน ความเจ็บปวดของพระองค์จงหายไป”

ระหว่างที่พระอาจารย์มูจินกำลังทำพิธีอยู่ด้านใน คู่แฝดของแทกังก็ปรากฏตัวขึ้นในชุดดำ เพื่อกระทำการสังหารองค์หญิงฮายอน เคราะห์ดีที่ฮันซองอนเข้ามาขัดขวางได้ทัน เมื่อเขาเห็นใบหน้ามือสังหารก็ตกใจ จังหวะนั้นคู่แฝดแทกังอาศัยทีเผลอหลบหนีไปได้

ฮันซองอนเค้นความจริงจากปากพระอาจารย์มูจิน แต่คำพูดที่ออกจากปากหลวงจีนเฒ่ากลับทำให้ฮันซองอนมึนงงเข้าไปอีก “ไม่ว่าขุนนางหรือชาวบ้าน ทุกชีวิตล้วนเท่าเทียมกัน แต่พวกเจ้ากลับเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์อย่างโหดเหี้ยม จับไปตัดลิ้นและกล่าวหาว่าพวกเขาทำความผิด ข้าจะนิ่งเฉยได้อย่างนั้นหรือ แม้มือข้าจะเปื้อนเลือดไปบ้าง ข้าก็ไม่นึกเสียใจ …” จากนั้น พระอาจารย์มูจินก็เผยความประสงค์ออกมา “… ข้าต้องการกำจัดตระกูลอีให้สิ้นซาก แล้วคนผู้หนึ่งจากตระกูลซงจะปรากฏตัวเพื่อสร้างราชวงศ์ใหม่ และในที่สุด แผ่นดินนี้จะปราศจากการแบ่งชนชั้น”

สิ้นคำ พระอาจารย์มูจินก็ตัดสินใจใช้ดาบปลิดชีวิตตัวเอง ท่ามกลางความมึนงงของฮันซองอน

ฮันซองอนมาหาแทกังเพื่อตรวจสอบบาดแผลจากการต่อสู้ แต่ปรากฏว่าร่างกายของแทกังไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนแม้แต่นิดเดียว ฮันซองอนที่ยังไม่รู้ความจริงเรื่องคู่แฝดแทกังจึงเกิดความสับสน แม้แต่ตัวแทกังเองก็มึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ต่อมา แจอีกับองค์รัชทายาทไปตรวจสอบสถานที่ที่พระอาจารย์มูจินใช้รักษาองค์ชายมยองอัน แจอีพบฝิ่นอยู่ในกระถางธูป … ทั้งสองจึงคิดว่าฤทธิ์ของฝิ่นนี้เองที่ทำให้ความจำของแจอีในวันเกิดเหตุรางเลือนจนจำอะไรแทบไม่ได้

รุ่งขึ้น แจอีเข้าหาแทกังที่ห้องหนังสือ แต่ภาพที่เห็นเบื้องหน้าคือ แทกังกับคู่แฝดอยู่ด้วยกันภายในห้องนั้น คู่แฝดอาศัยจังหวะที่แจอีกำลังตกใจรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว แจอีรีบวิ่งตามไปหวังตามจับให้ทัน แต่ตามไปไม่ไกลนางก็สะดุดหกล้มหัวขมำ แทกังที่วิ่งตามมาจึงปรี่เข้าไปบีบคอแจอี หวังให้นางสิ้นใจตายคามือ !?

EP.18 ไม่อาจกลับไปเป็นเหมือนเดิม

องค์รัชทายาทเข้ามาห้ามแทกังก่อนที่เขาจะบีบคอแจอีจนขาดใจตาย

แทกังยอมรับว่าเขาเป็นชาวบยอกชอน และที่เขาคิดมาตลอดคือพี่ชายฝาแฝดของเขาได้เสียชีวิตไปแล้วที่นั่น เมื่อเขาได้เจอพี่ชายอีกครั้งทำให้เขาตกใจเป็นอย่างมาก … องค์รัชทายาทยังคงเชื่อใจแทกังว่าสิ่งที่เคยเอ่ยมาเป็นความจริง

ระหว่างนั้น การเลือกตัวพระชายาเสร็จสิ้นแล้ว แต่องค์รัชทายาทกับแจอียังคงเก็บงำความรู้สึกของตัวเอง

องค์ชายมยองอันฟื้นได้สติและมีอาการกลับมาเป็นปกติ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือผมของพระองค์เปลี่ยนเป็นสีขาว เหมือนกับชิมยองและร่างทรง

พระมเหสีได้รับจดหมายลับซึ่งเนื้อหาระบุว่า ขันทีโกคือแจอี พระนางจึงเรียกให้ฮันซองอนเข้าพบ และบอกความจริงนี้ให้เขาได้รับรู้

ต่อมา ฮันซองอนเผชิญหน้ากับแจอีเพื่อขอโทษที่จำนางไม่ได้ อย่างไรก็ตาม แจอีได้บอกกับเขาไปว่านางไม่อาจกลับไปเป็นคู่หมั้นเขาได้อีกต่อไป “แม้อนาคตข้าจะไม่ได้เป็นขันทีและกลับไปเป็นมินแจอีคนเดิม แต่ข้าก็ไม่อาจกลับไปเป็นคู่หมั้นของท่านได้อีกแล้ว” … น้ำตาคลอเบ้าฮันซองอนเมื่อได้ยินคำพูดตัดสัมพันธ์จากปากของหญิงที่เขารักมาทั้งชีวิต และปวดใจยิ่งกว่า เมื่อได้รู้ว่าชายที่นางรักคือองค์รัชทายาท

คืนนั้น แจอีเข้าไปที่ห้องหนังสือ นางพบว่ามีดสั้นส่วนตัวของนางหายไป ! แจอีรู้ได้ในทันทีว่าฝาแฝดของแทกังเป็นคนเอาไป เขาเอาไปทำไม ? เมื่อคิดขึ้นได้ แจอีรีบวิ่งไปที่ตำหนักของพระชายาทันที เมื่อไปถึงก็พบพระชายานอนจมกองเลือด โดยมีมีดสั้นของแจอีวางอยู่ไม่ไกลนัก แจอีหยิบมีดเล่มนั้นขึ้นมาด้วยสีหน้าตกใจสุดขีด !?

EP.19 แผนซ้อนแผน

แจอีถูกจับในข้อหาร้ายแรง ลอบปลงพระชนม์พระชายา นางยอมรับออกมาทันทีว่านางไม่ใช่ขันทีโก แต่เป็นแจอีที่ปลอมตัวเข้ามาในวังหลวง รวมถึงสารภาพว่าลงมือปลงพระชนม์พระชายา ที่นางยอมรับอย่างง่ายดาย เพราะนางต้องการปกป้ององค์รัชทายาท โดยรับความผิดทั้งหมดเอาไว้เอง

แต่จริง ๆ แล้วผู้ที่เป็นฆาตกรตัวจริงคือคนสนิทของพระมเหสี !

ระหว่างนั้น พระมเหสีเล่าเรื่องบางอย่างให้องค์ชายมยองอันฟัง “เมื่อนานมาแล้วมีเด็กชายคนหนึ่งชื่อว่า ‘ฮยอน’ ได้กำเนิดขึ้น บิดาของเขาเป็นช่างตีเหล็ก มารดาของเขาเป็นนางคณิกา” …

ภาพย้อนกลับไปในอดีต ตอนนั้น พระมเหสียังเป็นนางคณิกา นางต้องการปลิดชีวิตตัวเอง เพราะสิ้นหวังกับชีวิตที่ต้องอยู่ในซ่องนางโลมอย่างไร้อนาคต ช่างตีเหล็กนามว่าซงจึงยื่นข้อเสนอให้นางมีชีวิตอยู่ต่อไป แลกกับการที่เขาจะไถ่ตัวนางจากซ่องนางโลม จากนั้น ทั้งสองก็ได้แต่งงานกัน โดยมีชาวบ้านบยอกชอนร่วมเป็นสักขีพยาน

พระมเหสีเล่าให้องค์ชายมยองอันฟังถึงตรงนี้ก็หยุดเล่า แล้วเอ่ยออกไปว่า เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง

เวลาเดียวกัน องค์รัชทายาทได้พบเบาะแสบางอย่างที่น่าตกตะลึง ลูกชายของซงเกิดวันเดียวกับองค์ชายมยองอัน !?

เพื่อพิสูจน์ข้อสันนิษฐานนั้น องค์รัชทายาทจึงเอาเรื่องนี้ไปให้มยองจินกับการัมสืบต่อไป โดยให้ทั้งสองไปที่หมู่บ้านแนวัง ซึ่งเป็นที่อยู่ชั่วคราวของชาวบยอกชอนเพื่อหาความจริง

คืนนั้น องค์รัชทายาทเข้าไปเยี่ยมแจอีในคุก เวลานั้นนางได้สารภาพทุกอย่างออกมาทั้งหมดของหัวใจ นางสารภาพว่าตกหลุมรักพระองค์

วันต่อมา หลังจากสั่งการบางอย่างกับแทกัง องค์รัชทายาทได้ไปคุกเข่าอ้อนวอนต่อฝ่าบาทให้ปลดพระองค์ออกจากตำแหน่ง โดยพระองค์ยอมรับความผิดที่ให้แจอีอยู่ในวังตะวันออก

ในที่สุด ฝ่าบาทก็มีพระบรมราชโองการปลดองค์รัชทายาท โดยตามธรรมเนียม องค์รัชทายาทที่โดนปลดจะต้องถูกเนรเทศออกจากวังหลวง ส่วนท่านเสนาบดีฝ่ายซ้าย ที่อยู่ข้างองค์รัชทายาทก็ถูกปลดด้วยเช่นกัน

ณ จุดนี้ โจวอนโบจึงเดินเกมต่อ โดยต่อรองกับฮันซองอนให้เขาสังหารองค์รัชทายาทระหว่างการเดินทาง แลกกับการที่เขาทูลต่อฝ่ายบาทให้พระราชทานอภัยโทษท่านเสนาบดีฝ่ายซ้าย … ฮันซองอนตกลง

อย่างไรก็ตาม แท้จริงแล้วทั้งหมดเป็นแผนการขององค์รัชทายาทที่วางเอาไว้ตั้งแต่ต้น ทั้งฝ่าบาทและฮันซองอนล้วนแล้วแต่รู้แผนทั้งหมด ดังนั้น เมื่อถึงเวลาฮันซองอนก็จัดการกับมือสังหารที่โจวอนโบส่งมาได้ทั้งหมด องค์รัชทายาทปลอดภัย

ด้านแทกังผู้แฝดก็เข้าไปช่วยแจอีระหว่างถูกนำตัวไปประหารได้สำเร็จเช่นกัน จากนั้น ทั้งหมดก็พากันไปหมู่บ้านแนวัง

ถึงตอนนี้ โจวอนโบก็รู้ตัวแล้วว่าโดนฮันซองอนหักหลัง และโดนองค์รัชทายาทวางแผนซ้อนแผนเข้าให้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น โจวอนโบเพิ่งจะรู้ว่าภรรยาของซงที่แฝงตัวอยู่ในวังหลวงก็คือ พระมเหสี !

เมื่อรู้เช่นนั้น โจวอนโบจึงโวยวายออกมาด้วยความโกรธที่โดนหลอกมาตลอด

EP.20 คืนความยุติธรรม (ตอนจบ)

โชวอนโบไปหาพระมเหสี หลังจากรู้ความจริงว่าพระนางเป็นเมียของ ‘ซง’ เขากล่าวว่า แม้องค์ชายมยองอันจะเป็นลูกชายของซง แต่เขาก็ไม่เปลี่ยนความตั้งใจที่จะให้องค์ชายมยองอันขึ้นครองราชบัลลังก์ เพื่อเป็นตัวแทนของตระกูลโช

โชวอนโบยังกล่าวกับพระมเหสีด้วยว่า เขารู้ที่ซ่อนชาวบยอกชอน และจะตามไปฆ่าเหมือนอย่างที่ทำเมื่อสิบปีก่อน พระมเหสีทนคำพูดอันชั่วช้าที่ออกจากปากโชวอนโบไม่ไหว จึงคว้าเอามีดจิ๋วออกมาหวังปาดเข้าไปที่คอของโชวอนโบ แต่ปลายมีดโดนเพียงใบหน้าจนเกิดเป็นแผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ด้านกลุ่มขององค์รัชทายาทได้เดินทางไปหมู่บ้านแนวัง เพื่อรับฟังความจริงที่เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อน แต่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยปาก ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งก็เข้าจับกลุ่มองค์รัชทายาทมัดเอาไว้ด้วยความไม่ไว้ใจ

อย่างไรก็ตาม มีชาวบยอกชอนอีกกลุ่มหนึ่งที่รู้ว่าองค์รัชทายาทมีเจตนาดี ชาวบ้านทั้งหมดจึงวางใจและแก้มัดให้ จากนั้น ฮันซองอนก็ได้เอ่ยจุดประสงค์ที่องค์รัชทายาทเดินทางมาที่นี่ ก็เพื่อรับฟังความจริง ชาวบ้านจึงเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสิบปีที่แล้ว …

เรื่องราวเริ่มต้นจากการชาวบ้านรวมตัวกันเขียนฎีกาถึงฝ่าบาท เพื่อร้องเรียนว่าพวกเขาถูกขูดรีดภาษีอย่างไม่เป็นธรรม แม้แต่หม้อที่ใช้หุงหาอาหารก็ยังโดนยึด แต่ยังไม่ทันที่ฎีกาจะถึงพระเนตรพระกรรณ ชาวบ้านก็โดนเจ้าเมือง ซึ่งเป็นญาติโชวอนโบจับไปโบยปางตาย

ในคืนนั้น ชาวบ้านอีกกลุ่มหนึ่งจึงไปขอร้อง ‘ซง’ ให้บุกเข้าไปในที่ทำการของทางการ เพื่อเข้าไปช่วยชาวบ้านที่ถูกลงโทษอย่างไม่เป็นธรรม แต่เมื่อบุกเข้าไปกลับพบว่า เจ้าเมืองได้สั่งให้ทิ้งที่ทำการ แล้วก็สร้างเรื่องว่าถูกกลุ่มชาวบ้านทำร้าย และมีการก่อการกบฏขึ้นที่บยอกชอน เมื่อเป็นเช่นนั้น ฝ่าบาทจึงสั่งให้โชวอนโบไปตรวจสอบความจริง และถ้าพบว่ามีกบฏจริงก็ให้ปราบปรามอย่างเด็ดขาด

ชาวบ้านรู้ตัวว่าได้กระทำความผิดที่บุกเข้าไปในที่ทำการ จึงปักธงขาวเอาไว้เป็นสัญลักษณ์ว่าพวกเขายอมจำนน แต่โชวอนโบกลับไม่สนใจ และได้สั่งทหารให้ฆ่าทุกคน ส่วนซงก็จับเอาไปตัดลิ้นแล้วนำร่างไปประจานที่กลางเมือง

หลังจากเหตุการณ์นี้ โชวอนโบได้รับทรัพย์สินเงินทองลาภยศจากฝ่าบาทมากมาย

เมื่อองค์รัชทายาทได้รับฟังความจริง พระองค์ก็รับปากกับชาวบ้านว่าจะคืนความยุติธรรมให้

พระมเหสีเกรงว่าโชวอนโบจะไปสังหารชาวบยอกชอนที่หมู่บ้านแนวัง พระนางจึงกราบทูลฝ่าบาท และได้กินไข่ปลาที่มีฤทธิ์ทำให้คนที่กินกลายเป็นคนสติวิปลาส

โชวอนโบนำกองกำลังบุกไปยังหมู่บ้านแนวังเพื่อหวังสังหารทุกคนให้สิ้นซาก โดยเฉพาะเขาต้องการสังหารองค์รัชทายาทที่ตอนนี้รู้ความจริงทั้งหมดแล้ว การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด โชวอนโบกับองค์รัชทายาทเผชิญหน้ากัน สุดท้ายฝาแฝดแทกังก็เข้าปกป้ององค์รัชทายาทด้วยชีวิตของตัวเอง ในขณะที่ท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายนำกองกำลังตามคำสั่งของฝ่าบาทก็เข้ามาช่วยเอาไว้ทัน โชวอนโบถูกจับกุมในที่สุด

องค์รัชทายาทได้รับตำแหน่งคืน ส่วนข้อกล่าวหาว่าเป็นกบฏของชาวบยอกชอนก็ถูกลบล้าง แจอีกับการัมก็ได้รับการลบล้างความผิดที่ตัวเองไม่ได้ก่อ พระมเหสีกลายเป็นคนสติฟั่นเฟือน องค์ชายมยองอันถูกเนรเทศออกจากวังหลวง

หลังจากเรื่องราวจบลง องค์รัชทายาทก็เสด็จออกไปหาแจอี แล้วทั้งสองก็จุมพิตยืนยันความรักที่มีให้กัน แล้วเรื่องราวก็จบลงอย่างมีความสุข

จบบริบูรณ์

Photos : ภาพหน้าจอจาก tvN Korea
ดู Our Blooming Youth ที่ Prime Video : คลิกที่นี่